เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
แอบอ่านไดอารี่.. 2010 กรุบกริบกับสองกะเหรี่ยงkeep an ire on him
แอบอ่านไดอารี่ฯ.. ตอนที่ 4: ไป DMZ กัน!!!
  • วันนี้ตื่นเช้าแบบที่ไก่เกาหลียังต้องเกี่ยงกันโห่ แต่เพราะนัดทัวร์ Demilitarized Zone หรือ DMZ ไว้ เค้านัดว่าจะมารับเราตอนเจ็ดโมง อย่างง่วง อายไลน์เนอร์ไม่ทา หน้าไม่แต่ง ผมไม่มัดเพื่อที่จะอำนวยความสะดวกในการนอนต่อบนรถ แต่อย่าได้หวังว่าจะได้หลับ พี่ไกด์แกเล่นชวนคุยตลอดทาง เพราะนางมารับเราเป็นกลุ่มแรก จากนั้นก็แวะไปรับอีกหนึ่งกลุ่ม มีบางกลุ่มเลื่อนไปวันรุ่งขึ้น เราเลยมีกันแค่สองกลุ่มสี่คน คนน้อยน่ะดี แต่พี่ไกด์แกเล่นชวนคุยไปตลอดทาง แต่ละคนก็ง่วงไม่ค่อยมีใครอยากคุยกับแกเท่าไหร่ ไอ่เราเอง เสียงพี่แกเข้าหูบ้าง ไม่เข้าหูบ้าง หูดับไปเป็นช่วงๆ

    พอถึงที่จอดรถตรง หมู่บ้านอิมจินกัก (Imjingak Village) พี่ไกด์แกคงทำเวลามากไป เราเลยมีเวลาหาอะไรรองท้องเอาไว้ก่อน แล้วก็กำชับว่าอย่าลืมเอาพาสปอร์ตมาด้วยเด็ดขาด กรุ๊ปของเรามีทั้งหมด ห้าคน นักท่องเที่ยวสี่ ไกด์หนึ่ง ตอนจะเข้า DMZ เราต้องไปรวมตัวกับกรุ๊ปอื่นๆ โดยเราต้องไปกับรถบัสที่ทาง DMZ เตรียมไว้ให้เท่านั้น ไกด์ส่วนตัวเราก็มี แต่บนรถเค้าก็มีไกด์จาก DMZ มาด้วย นางตลก นางเล่นมุขตลอดเวลา 

    เกิดเหตุการณ์ให้ตื่นเต้นนิดนึง คือทางทัวร์จะให้เราแวะลงไปชมสถานที่ต่างๆใน DMZ เป็นจุดๆไป ตอนที่เราแวะที่สถานีโดราซาน (Dorasan Station) สถานีที่ทำไว้เตรียมเปิดเป็นเส้นทางวิ่งไปสู่เกาหลีเหนือ พอได้เวลาขึ้นรถไปยังจุดอื่น ก่อนออกรถเจ้าหน้าก็ทำการนับจำนวนคน ปรากฏที่นั่งของนักท่องเที่ยวคนหนึ่งเกิดว่างทั้งไกด์ของทาง DMZ และไกด์ส่วนตัวหาตัวกันจ้าละหวั่น ปรากฏว่า พ่อเจ้าประคุณรุนช่อง นางย้ายที่นั่งก็ไม่บอกใคร แถมตอนที่เค้าหาตัวกัน นางก็ยังไม่รู้ตัวอีกว่าเค้าหานางกันอยู่นั่นแหละ พ่อออออเอ้ยยยยยย

    สำหรับที่ DMZ นั้น เราจะได้รับอนุญาตให้แวะหรือถ่ายรูปตามที่ที่เค้ากำหนดเท่านั้น ตั้งแต่สถานีโดราซาน ที่เราสามารถเอาตราประทับ ประทับลงบนกระดาษให้รู้ว่าเรามาเยือนแล้วจริงๆ พี่ไกด์ของเราย้ำแทบจะทุกๆห้านาทีว่าอย่าได้อุตริเอาพาสปอร์ตเล่มจริงมาประทับโดยเด็ดขาด 

    จากสถานีโดราซาน เราจะไปต่อกันที่ริมชายแดนเข้าใกล้เกาหลีเหนือเข้าไปอีกหน่อย เราได้รับอนุญาตให้สอดแนมวิถีชีวิตชาวเกาหลีเหนือจากกล้องที่ทางเกาหลีใต้ติดตั้งไว้ให้ สนนราคาครั้งละห้าร้อยวอนและการถ่ายภาพต้องถ่ายเฉพาะที่ที่จัดไว้ให้เท่านั้น

    แล้วเราก็ถูกต้อนไปดูวีดีโอสงครามเกาหลีที่ทำเอาหดหู่ไปได้เหมือนกัน ภาพเหล่านั้นยังคงติดตาอยู่เลย สงครามไม่ว่าจะฝ่ายแพ้หรือชนะ มักตามมาด้วยน้ำตาของผู้ที่อยู่รอดเสมอ

    ภายในอาคารจัดแสดง มีการจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับอุโมงค์ที่สาม (The Third Tunnel) อุโมงค์ที่ทางเกาหลีใต้อ้างว่าเกาหลีเหนือเป็นผู้ขุดเข้ามา (แต่ทางเกาหลีเหนือก็อ้างว่าเกาหลีใต้เป็นผู้ขุดเช่นกัน เลยไม่รู้จะเชื่อฝ่ายไหนดี) อุโมงค์ที่ทางเกาหลีใต้พบนั้นมีทั้งหมด ประมาณสี่อุโมงค์ แต่ทางเกาหลีเหนือบอกว่าจริงๆแล้วมียี่สิบกว่าอุโมงค์ ซึ่งดูเหมือนจะเป็นการยอมรับอยู่เป็นนัยๆว่า เจ้าของอุโมงค์เหล่านี้คือใคร

    เราได้รับโอกาสให้ลงไปเดินที่อุโมงค์ที่สาม เหตุใดอุโมงค์ที่สามจึงได้รับการยกระดับให้สำคัญว่าอุโมงค์อื่นๆ นั่นเป็นเพราะว่า อุโมงค์ที่สามนั้นเข้าใกล้โซลมากกว่าอีกสามอุโมงค์ที่เหลือ ห่างจากโซลเพียงห้าสิบสองกิโลเมตรเท่านั้น การลงไปข้างล่างที่ลึกลงไปประมาณเจ็ดสิบเมตร ร่างกายควรจะแข็งแรงพอควร ผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีโรคประจำตัว ไม่ควรจะลงไป เพราะข้างล่างระดับออกซิเจนมีเบาบางเหลือเกิน สำหรับการลงไปนั้น มีสองวิธีคือการเดินและการนั่งรถโมโนเรลลงไป ขาลงนั้นธรรมดามาก ระยะทางไม่ได้ไกลแต่ความชันอยู่ในระดับสามจุดห้าเต็มห้า เกร็งน่องกันพอเมื่อย ด้วยความที่มันค่อนข้างชัน เดินสักสี่-ห้านาทีก็ถึง แต่การเดินกลับขึ้นมานี่น่ะสิ ฉันนั้นออกกำลังกายครั้งล่าสุดนั้น ... จำไม่ได้ซะแล้วการเดินขึ้นทำเอาปอดของฉันฟีบ ฉันรู้สึกว่าร่างกายของฉันเค้นเอาออกซิเจนเฮือกสุดท้าย จากถุงลมหลืบในสุด ใจฉันจะประท้วงหยุดทำงานขึ้นมาให้ได้ ฉันหายใจไม่ทัน หยุดพักพร้อมๆกับเหล่ากง เหล่าม่าอยู่บ่อยๆ จนพี่ไกด์คงเกรงว่าฉันจะไม่ไหว แกเลยมาเดินอยู่ข้างหลังฉันด้วยหวังว่าจะจับฉันทัน หากฉันหงายหลังกลิ้งลงไป เมื่อฉันเดินขึ้นมาถึงด้านบน ฉันรู้สึกตอนนั้นเหมือนคนที่วิ่งหนีสุนัขที่ไล่มานานนับชั่วโมง เหนื่อย หายใจไม่ออก พยายามหายใจลึกๆ อาการแสบหน้าอก แสบคอกลับมาอีกครั้ง ฉันพยายามฝืนยิ้มให้พี่ไกด์และลูกทัวร์ที่ยืนรออยู่หน้ารถบัส ต่างถามว่าฉันไหวมั้ย โอเคมั้ย ฉัน ... ตอบอะไรไม่ได้ นอกจากทำมือเป็นสัญลักษณ์ว่าฉันยังโอเค ทั้งที่ข้างในมันแสบไปหมดแล้ว หลังรถบัสเคลื่อนออกมาได้ห้านาที รถของเราได้หยุดเพื่อให้เราได้ซื้อของที่ระลึก ทั้งที่เกี่ยวกับ DMZ และไม่เกี่ยวอย่างเช่นเหล้าโซจู เป็นต้น ฉันยังมีอาการปวดหัว ตึงๆหัว น่าจะมาจากผลพลอยได้ของอาการเมื่อสักครู่ ลูกเรือของฉันแนะนำว่าฉันควรจะทานช็อกโกแลตสักหน่อย เผื่อความหวานจะช่วยให้ฉันกลับมามีแรงอีกครั้งฉันฝืนกินทั้งที่คอฉันแสบจนไม่อยากจะกลืนอะไรใดๆลงไปทั้งสิ้น

    ทัวร์ DMZ สำหรับนักท่องเที่ยวจบลงแล้ว คณะทัวร์ของเราพร้อมจะกลับเข้าโซล หากแต่ทัวร์เยี่ยมชมอเมทิสต์ยังรอเราอยู่ อีกหนึ่งสถานที่ที่เป็นไฟลท์บังคับตามตารางทัวร์ของเรา ระหว่างที่เราเดินๆ ดูอยู่นั้น เราก็จะได้พบลูกทัวร์เยอะแยะมากมาย หลากหลายชาติ ผู้ขายเองก็มากมายเช่นกัน และแต่ละคนก็ชำนาญภาษาอื่นๆอีกคนละภาษา ฉันเดินเข้าไปชะโงกหน้าดู สาวน้อยที่ยืนฝั่งตรงข้ามฉันถามว่าฉันมาจากที่ไหน หลังจากฉันตอบไป เธอตะโกนเรียกสาวอีกนางหนึ่ง ฉันได้ยินเธอบอกราคาสินค้าเป็นภาษาไทย ผู้คนมากมายตบเท้าเข้ามาเพื่อเสียสตางค์ เราเองก็เป็นหนึ่งในเหยื่อของเหตุการณ์ครั้งนี้เช่นกัน จ่ะ…

    ทัวร์จบลงแล้ว พี่ไกด์ถามเราว่าเราจะไปไหนกันต่อ พี่เค้าจะขับไปส่ง เราบอกที่ไหนก็ได้ที่เป็นทางผ่านพี่เค้า ลูกทัวร์อีกสองคนจะไปย่านอีแทวอน (Itaewon) เราเลยตัดสินใจลงด้วยแล้วค่อยนั่งรถไฟใต้ดินไปต่อ

    ย่านอีแทวอน (Itaewon) เป็นแหล่งรวมชาวต่างชาติทุกสารทิศ ไม่เฉพาะทหารอเมริกันที่มาตั้งฐานทัพอยู่ละแวกนี้ ณ วันที่เราไปนั้น ถนนเส้นนี้มีงานอะไรไม่ทราบได้ แต่เราเห็นทหารอเมริกันหลายนายกำลังบรรเลงเพลงด้วยเครื่องดนตรีวงโยธวาทิตอย่างสนุกสนาน ที่อีแทวอนนี้ไม่ใช่ที่หมายของเรา แต่ไม่ใช่ปัญหา ฉันพาลูกเรือเดินจากสุดถนนฟากหนึ่ง ไปขึ้นรถไฟใต้ดินอีกฟากจุดมุ่งหมายที่ต่อไปคือ ฮงแด (Hongdae) ไปหาสามชั้นกินกันดีกว่า

    ฉันถูกใส่ข้อมูลมาจากไหน ฉันเองก็จำไม่ได้จริงๆ หากว่าด้วยเรื่องของสามชั้นย่างหรือซัม-กยอบ-ซัลนั้น ต้องมาที่ย่านฮงแด ร้านเรียงรายเต็มไปหมด เลือกไม่หวาดไม่ไหว แต่เพราะเรามาไม่ตรงมื้ออาหาร ทำให้บางร้านไม่สามารถให้บริการเราได้ เดินเข้าร้านนั้นออกร้านนี้อยู่นาน สุดท้ายทอยลูกเต๋าไปออกที่ร้านหนึ่งเห็นมีคนนั่งทานอยู่หนึ่งโต๊ะ เจ้าของร้านไม่ว่าอะไร เอาล่ะ เข้าไปเลยแล้วกัน

    ชี้ๆ บอกคุณป้าว่าเราประสงค์จะกินอะไร เลือกหมูสามชั้นธรรมดามาหนึ่งชุด หมูสามชั้นหมักซอสมาอีกหนึ่งชุด เมนูเรียกน้ำย่อยก่อนอาหารจานหลักจะมาคือ ไข่ม้วนที่มาม้วนบนเตานั่นแหละ แค่นี้ยังอร่อยเลย จากนั้นถึงตาพระเอกของเรา คุณป้าเอาแบบธรรมดาลงก่อนแกมาจัดการให้หมด ทั้งย่าง ทั้งตัด แต่พอคุณป้าเดินไปดูโต๊ะอื่น เราก็แอบจัดการของเราเองบ้าง เพราะหมูคุณป้าตัดชิ้นใหญ่มาก อย่าคิดว่าจะอิ่ม สั่งหมูหมักมาเพิ่มอีกจานหนึ่ง เอาให้สมกับความอยาก ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ซัม-กยอบ-ซัลสามารถทำให้ลูกเรือของฉันทานผักได้เป็นจานๆ แม้ว่าเธอจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่แคร์ว่าจะเสียเวลาเขี่ยต้นหอมออกจากข้าวผัดก็ตาม เห็นแล้วน้ำตารื้นแทนแม่จริงๆ

    หลังจากเสียค่าเสียหายเสร็จแล้ว ไหนๆก็มาถึงฮงแดแล้ว เราไม่พลาดออกเดินหา คอฟฟี่ปริ้นซ์ ร้านกาแฟที่มาจากซีรี่ย์ชื่อดัง ที่ทั้งฉันและลูกเรือไม่เคยดู แผนที่อะไรก็ไม่มี มีแต่พิกัดคร่าวๆ ที่ดูจะคร่าวไปสักนิด เดินถามมาตลอดทาง ข้อดีของฮงแดก็คือ เป็นแหล่งรวมนักศึกษา เพราะฉะนั้นภาษาอังกฤษสามารถเอามาช่วยสื่อสารได้อยู่บ้าง หลังจากเดินหา ถาม เกาะๆ คลำๆ มาเรื่อยๆ เราก็มาถึงร้าน (ซะที) ยังน่ารักอยู่เลย ถึงแม้บางส่วนของร้านพี่เค้าเล่นเอากระดาษสีดำมาแปะ ปกปิดความเขินอายอะไรไว้ก็ไม่รู้ เลยทำให้ร้านหมดเสน่ห์ไปสี่สิบเปอร์เซ็นต์

    ..เสร็จสิ้นกับภารกิจวันนี้ มีทุกรสชาติ เลือดรักชาติก็มา เลือดข้นไปด้วยคอเลสเตอรอลก็มีหรือจะเลือดที่มากไปด้วยน้ำตาลก็ไม่พลาดเช่นกัน .. ค่อยสำนึกผิดทีหลังละกันเนาะ

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in