เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
องศาเดียวราเมงหมายเลข8
ตอนที่ 4 : ครั้งแรก
  •               “เป็นไรอีกแชงมองเพื่อนที่วันนี้ดูซึมผิดปกติ ไม่พูดไม่จา เมื่อวานยังเห็นเริงร่าอยู่เลยจนเขาแทบจะปรับตัวไม่ทันกับอารมณ์แปรปรวนของเพื่อนสาว


                   “เปล่า


                   “เปล่าได้ไงแชงว่าเสียงดุ เมื่อวานยังดีๆอยู่เลย


                   “เหนื่อยอ่ะบี๋พูดยานคางไม่ยอมสบตาแชงที่มองมาอย่างจับผิด


                   “รู้ใช่ไหมว่าตัวเองโกหกได้ห่วยแตกมากแชงเลิกสนใจ เปล่าก็เปล่า” ถ้าเจ้าตัวอยากบอกก็คงบอกเอง


    บี๋เหลือบมองเพื่อน ด้วยความรู้สึกผิดเล็กๆที่เกิดขึ้น ไม่อยากจะโกหกหรอกนะ แต่สำหรับเธอแล้วมันไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรจนต้องเอาไปปรับทุกข์ แค่ต้องใช้เวลานิดเดียวก็เท่านั้นเอง เดี๋ยวเดียวก็หาย


                   “อ้าว ไอ้ลีแชงพยักหน้ายกมือทักทายเมื่อเห็นลีอยู่ไม่ไกล มาเช้าเหมือนกันนี่หว่า


    ลีทักทายกลับ ก่อนจะเดินตรงมา เออ วันนี้ตื่นเช้าว่ะ”


                   “ตอนเย็นมึงจะมาเล่นด้วยไหม


                   “ดูก่อนว่ะ ไม่มั่นใจลีว่า แล้วนี่มึงมาคนเดียวหรอ” 


                   “เปล่า กับไอ้บี๋ไง


                   “ไหนบี๋


                   “ก็…” แชงมองขวาซ้ายสลับไปมา อ้าวหายไปไหนของมัน” ก่อนจะมองไปรอบๆ เมื่อกี้ก็ยังยืนตรงนี้อยู่เลย” แชงชี้ที่ข้างตัวด้วยสีหน้างงงวย


                   “ตอนมึงทักกูก็ไม่เห็นมีใครนะแชงมองหน้าลีเพื่อเช็คความแน่ใจว่าไม่เห็นไอ้บี๋จริงดิ


                  “ช่างมันเหอะ คงเดินไปห้องแล้วมั้งแชงว่าอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะคุยกับลีระหว่างทางไปตึกเรียน แต่ก็ไม่วายหันมองรอบตัวอยู่ดี

     





    บี๋นั่งลง หอบหายใจแรงด้วยความเหนื่อย นี้สินะที่เขาบอกว่าถ้าชอบใครสักคน ก็จะเห็นคนคนนั้นอยู่ในสายตาแม้จะอยู่ท่ามกลางฝูงชนต่อให้ไกลกันเป็นโยชน์ก็ตามเถอะ


                   “หนีไรมาหรอ ทำไมดูเหนื่อยแบบนี้ล่ะฟางมองคนหอบแฮกๆข้างตัว


                   “ปะ ป่าวบี๋หอบ พูดแทบไม่เป็นคำก่อนจะสะบัดมือไปมาเพราะว่าพูดไม่ไหว นะ เหนื่อย

    ฟางเห็นแบบนั้น จึงหยิบขวดน้ำออกจากกระเป๋าก่อนเปิดฝาและยื่นให้บี๋


                   “ขอบใจน้าฟางกินเกือบหมดขวดก็เอาหัวไถไหล่อีกฝ่ายด้วยความประจบ ฟางใจดี๊ใจดี


                   “ไม่ต้องการคำขอบคุณ แค่ซื้อคืนก็พอ


    บี๋มองไปหาต้นเสียงในขณะที่หัวก็ยังซบอยู่ที่เดิม ฟางยังไม่พูดไรเลย”


                  “เออ ฟางไม่กล้าไง กูเลยพูดแทนแชงว่าพร้อมทิ้งกระเป๋าลงบนโต๊ะเสียงดังโครม ทำไมขึ้นมาก่อนก่อนจะหันเก้าอี้มาทางที่บี๋นั่ง  


                   “ร้อน


                   “หันมา


    บี๋จำใจยกศรีษะขึ้น ก่อนจะหันหน้าไปทางแชงดูจากสีหน้าที่จริงจังแล้ว ต้องขอบอกว่าเธอก็แอบกลัวอยู่นิดๆเหมือนกัน


                   “ร้อนไง ร้อนมาก ดูเหงื่อสิบี๋เสยผมข้างหน้าขึ้นชี้เหงื่อที่ไหลตามไรผมให้แชงดู หยดติ๋งๆเลย” ประโยคสุดท้ายเบาลงเรื่อยๆ ดูเหมือนเพื่อนจะไม่ตลกด้วยสักเท่าไหร่


                   “โธ่ อย่าทำหน้างั้นดิ เรากลัวนะบี๋หลุบตาแกล้งทำเสียงหงอย


                   “ก็บอกมาสิ ว่าเป็นไร ทำไมไม่รอบี๋เงยหน้าสบตาแชงแปปเดียวก็ต้องผละออก โห ทำไมตามันดุจังวะ


                   “เปล่า


                   “เพราะไอ้ลีใช่ไหม


                   “ไม่ใช่นะบี๋สั่นหัวแทบไม่ทัน เมื่อได้ยินชื่อของคนที่เป็นต้นเหตุ


                   “ใช่แน่นอน” “ชัวร์ป้าบ


                   “ตกใจหมดสัส!” แชงหันไปด่าเมื่อจู่ๆจีและปั้นยื่นหน้าขนาบซ้ายขวาพร้อมกันแบบไม่ทันตั้งตัว


                   “ไม่ใช่ซะหน่อยบี๋ยืนกราน


                  “ไม่ใช่ซะหน่อยจีบีบเสียงเลียนแบบ โด่ ใครเชื่อก็บ้าปั้นพยักหน้าเห็นด้วย


                   “บอกมา เกิดไรขึ้นน้ำเสียงคาดคั้นจากแชงทำให้บี๋ไม่กล้ามองหน้า แต่จะให้บอกว่าไม่มีอะไรอีกครั้ง ก็ไม่กล้าเหมือนกันเพราะตอนนี้แชงน่ากลัวชิบ


                   “บอกมาบี๋เหลือบมองแชงอีกครั้งก่อนหันไปหาอีกสองตัว ที่ทำหน้าอยากรู้อยากเห็นสุดๆ ฟางเห็นบรรยากาศท่าจะไม่ดีจึงลุกออกไป เพื่อให้ทั้งสี่คนได้คุยกันอย่างสะดวก


                   “บอกก็ได้บี๋พูดเสียงอ่อยดูท่าหากไม่พูดให้พวกนี้ฟังล่ะก็ มีหวังงอนเธอยกกลุ่มแน่ๆ


                   “ถึงได้เดินหนีมัน ว่างั้นแชงถามเมื่อฟังเรื่องทั้งหมดบี๋พยักหน้าช้าๆ


                   “แล้วตอนนี้เป็นไงจีถามบ้าง โอเคไหมบี๋มองหน้าจี แม้จะไม่แสดงออกมานักแต่ก็รู้ว่ามันเป็นห่วง  


                   “จะบอกว่าโอเคดีก็...บี๋อดยิ้มขึ้นมาไม่อย่างช่วยไม่ได้ก่อนจะเม้มปากคิดหาคำตอบ มันก็ อืมมม ก็ต้อง...ไม่โอเคอยู่แล้ว


                   “ร้องไห้หรือเปล่าด้วยความเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็กแชงย่อมรู้ดีอยู่แล้ว ว่าอาการแบบนี้ ไม่โอเคแบบสุดๆ ไม่โอเคแบบมากๆไม่งั้นเพื่อนเขาคงไม่พยายามฝืนยิ้มแบบนี้หรอก


    บี๋ส่ายหัวเมื่อได้ยินคำถาม ดีแล้ว” แชงว่าขึ้น อย่างน้อยก็ไม่สาหัสมาก


                   “กลั้นไว้น่ะ


    แชง ปั้น จี หันขวับ มองหน้ากันอย่างอัตโนมัติ 


                                      นี้มันสาหัสสุดๆเลยนี่หว่า

     

    .

    .



    เมื่อเห็นว่าในห้องตอนนี้บี๋กำลังจับกลุ่มคุยกันตามประสาผู้หญิงที่โต๊ะตัวเอง จีจึงหันมาถามปั้นทันที มึงรู้ว่าไอ้ลีมีแฟนแล้ว แล้วทำไมมึงไม่บอกไอ้บี๋มันวะ”


                   “กูบอกแล้วเหอะ พวกมึงก็อยู่ด้วยจีนึกตามก่อนจะโบกกบาลสักป้าบเมื่อนึกออกว่ามันพูดตอนไหน


                   “บอกด้วยมุขควายๆของมึงเนี่ยนะจีหัวเสีย เหี้ยเหอะ”


                   “เออ กูผิดเองแหละ ที่ไม่รีบบอกไอ้บี๋อ่ะปั้นว่าอย่างรู้สึกผิดกูก็นึกว่ามันจะแอบชอบเฉยๆ ไม่นึกว่าจริงจังขนาดนี้ รู้งี้ไม่น่าเล่นมุขตั้งแต่แรกเลยกู


                   “เออ เลิกเล่นไปทั้งชีวิตได้ยิ่งดีจีเห็นด้วยพร้อมผลักหัวปั้นอีกรอบ


                   “พวกมึงไม่ต้องเถียงกันไปหรอก เดี๋ยวมันก็ดีขึ้นแชงเหลือบมองเจ้าของปัญหาที่พวกเขาพูดถึง


                  “ไอ้เดี๋ยวนี้กูก็รู้จีมองหน้าแชง ปัญหาคือเพื่อนพวกมึงเคยเป็นแบบนี้หรือเปล่าจีมองหาคำตอบก็ไม่ใช่ไหมล่ะ”  


    ซึ่งทั้งสามก็เห็นพ้องต้องกันว่าไม่เคยเห็นเพื่อนผู้หญิงเพียงคนเดียวในกลุ่มเป็นแบบนี้ตั้งแต่รู้จักกันมา ไม่ติงต๊อง บ้าๆบอๆ ก็โกรธโมโหสุดๆไปเลย ไม่มีหรอก ไอ้ท่าทางเซื่องซึมอารมณ์ครึ่งๆกลางๆแบบนี้


                   “คนพึ่งเคยอกหักก็แบบนี้แหละ พวกมึงอย่าห่วงมันมากเลย


                   “เงียบไปเลยสัสปั้นจีว่า ไอ้คนมาทีหลัง”  


                   “โห เหี้ยจีเพราะสามตัวนั้นรู้จักกันตั้งแต่เด็กด้วยความที่เขาเข้ากลุ่มเป็นคนสุดท้าย จึงโดนพวกมันว่าแบบนี้บ่อยๆซึ่งบอกตรงๆว่าเขาโคตรเกลียดคำนี้เลย ยิ่งบอกมันว่าไม่ชอบ แม่งยิ่งพูดไม่หยุด ค๊วย รู้งี้ไม่บอกดีกว่า



     .

    .

    .


    ผ่านมาจะสองอาทิตย์ บี๋พยายามเลี่ยงไม่เจอหน้าลี ทักทายบ้างเมื่อมันสุดวิสัยสุดๆ หนีไม่ทัน หลังๆได้แต่บอกตัวเองว่าเป็นเพื่อนกันก็ดีออก เพียงเพราะเขามีแฟนก็เลยจะปล่อยไปง่ายๆอย่างนี้หรอ ไม่แน่ลีอาจจะเป็นเพื่อนที่ดีในอนาคตก็ได้ 


    แต่ทำได้แค่คิด เพราะในความเป็นจริงนั้น ไม่อยากได้เพื่อนโว้ยยย อยากได้แฟนอ่ะ แฟนตัวเป็นๆ เข้าใจไหม เพื่อนมีเยอะแล้วส่วนเพื่อนสนิทก็มีตั้งสามคน ไม่อยากได้เพิ่มแล้ว พอแล้ว

     

    ส่วนไอ้การจะชอบใครสักคนมันใช่จะเกิดกับใครง่ายๆซะที่ไหนเกิดมาก็พึ่งเคยมีความรู้สึกแบบนี้ครั้งแรก พอเจอ เขาก็ดันมีแฟนซะงั้น โถชีวิตของไอ้บี๋


    พึ่งลิ้มลองรักใสๆวัยมัธยมเหมือนคนอื่นเขาได้ไม่ถึงสองเดือนก็ต้องผิดหวังซะแล้ว

     

    รู้อย่างนี้ วันแรกที่เจอ ไม่น่ามองไปทางนั้นเลย  ตรงที่ลียืนอยู่


                   “ช่างเถอะ เดี๋ยวก็ลืม”  

       

     

     

      

     

     

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in