เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ไพลินเคียงหยกlokathunya
๑๑ ลาวคำหอม
  • เช้าตรู่ของวันงานโวกรรณและวรรณเสวทก็ได้มาถึงเรือนฟ้านรันดร์ตามเวลานัดหมายยามเรือเทียบถึงท่าก็พากันเดินเข้าสู่สถาณที่จัดงาน พบฟ้านรันดร์กำลังยืนสั่งความอยู่กับหัวหน้าบ่าวแรงงานอยู่บริเวณสวนจึงเดินเข้าไปสมทบเจ้าเรือนนั้นเมื่อเห็นสองสหายที่เพิ่งมาถึงจึงรวบรัดสั่งความแล้วพากันเดินเข้าสู่โถงภายในของอาคารแต่เดิมนั้นก็งดงามโอ่อ่าด้วยสถาปัตย์แบบตะวันตกก่อด้วยหินอ่อนสีขาวพร้อมด้วยเครื่องเรือนหรูหราที่เข้ากันอยู่ก่อนแล้วเพียงเพิ่มการประดับประดาด้วยโถบรรจุเครื่องหอม เครื่องแขวนลายวิจิตรหลากขนาดและดอกไม้สดเพิ่มอีกเล็กน้อย ก็กล่าวได้ว่าเจริญทั้งตาและจมูกพร้อมเลยทีเดียวนอกจากนี้ยังมีปะรำเวทีมุงแต่งด้วยผ้าเนื้อบางที่สร้างไว้ชั่วคราว เพื่อเตรียมสำหรับวงมโหรีและการแสดงอีกด้วย 

    มีอะไรขาดตกให้พวกข้าช่วยอีกหรือไม่โวกรรณเอ่ยถามสหายเจ้าเรือนแม้ตนกับสหายเวทจะส่งคนและข้าวของมาช่วยงานที่เรือนก่อนแล้วแต่ก็ยังอดที่จะถามห่วงไม่ได้

    ทุกอย่างเรียบร้อยดีท่านอย่ากังวลไปเลยฟ้านรันดร์ยิ้มตอบกลับมาเพราะหากว่าถึงเรื่องการจัดงานสังสรรค์รื่นเริงแขนงไหนๆก็ไม่เคยเกินมือฟ้านรันดร์เจ้าวาณิชย์ให้เสียชื่อเพียงสักครั้งหลังจากคุยสัพเพเหระไปได้ครู่ เจ้าเรือนจึงเอ่ยถามกับสหาย

    พวกท่านทานอะไรมาหรือยังไปหาอะไรรองท้องก่อนดีไหม อีกนานกว่าจะถึงเวลาจัดเลี้ยง ท่านธัญเองก็น่าจะยังอยู่ที่เรือนไฟด้วยว่าเวลานี้ยังเช้าอยู่มากหากรอให้ถึงเวลางาน ท้องไส้ของสหายทั้งสองอาจขาดด้วยความหิวไปเสียก่อนทั้งสองจึงพยักหน้ารับคำชวน แต่ประโยคหลังของสหายเจ้าเรือนนั้นกลับสร้างความประหลาดใจแก่คนฟังเล็กน้อย

    หือ ท่านธัญมาถึงแล้วรึสหายเวทเลิ่กคิ้วสงสัย คิดว่ายามนี้ก็ว่ายังเช้าอยู่มากคาดไม่ถึงว่าสหายเจ้าหมื่นจะมาถึงก่อนพวกตน

    มาเทียบท่าหลังจากพระสงฆ์เจ้าท่านมารับบิณฑบาตเสร็จเพียงครู่น่ะฟ้านรันดร์ตอบยิ้มๆส่งมา ทำให้สหายทั้งสองยืนมองหน้ากันอยู่ครู่แม้ไม่ต้องเอ่ยถามใดๆ แต่ก็พอจะรู้ทันความคิดกัน

    “...ที่ข้าคิด...ใช่หรือไม่

    ใช่ ดั่งท่านคิดนั่นหละแต่ไม่ทันจะได้พูดสิ่งใดต่อ สหายทั้งสามก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกลอยก้องมาไกลๆฟ้านรันดร์ โวกรรณ และ วรรณเสวทจึงหยุดบทสนทนาและหันไปยังต้นเสียงไม่ช้าเสียงคนเถียงกันก็ดูเหมือนจะเข้าใกล้ขึ้นมาเรื่อยๆทำให้สามารถจับความถึงบทสนทนาได้ถนัดและพบว่าเสียงโวยวายนั้นช่างคุ้นหูเอาเสียเหลือเกิน

    โทษข้าคนเดียวได้อย่างไรเล่าพี่ก็ด้วยไม่ใช่รึที่เอาแต่กินเสียงใหญ่ห้าวของสหายเจ้าหมื่นดังก้องมาตามทางที่เชื่อมเข้ากับห้องโถงใหญ่ที่พวกฟ้านรันดร์ยืนอยู่ 

    ข้าไม่ได้เป็นคนยุ่งกับของที่เตรียมไว้เช่นนายน้อยสักหน่อยนี่ไม่นานต้นเสียงโวยวายทั้งสองถึงเดินเลี้ยวเข้าห้องโถงรับรองให้เห็นตัวและไม่เห็นเถียงกันเปล่ายังเห็นพี่เลี้ยงสาวดึงคอเสื้อนายน้อยลากให้เดินตามอีกด้วย

    วัลลาที่เดินลากยื้อเสื้อนำมาเมื่อเห็นกลุ่มสหายของเจ้านายน้อยจึงปรี่ตรงดิ่งมายังวงแล้วถึงจะสะบัดมือปล่อยจากคอเสื้อฟ้านรันดร์ที่เห็นภาพตรงหน้าก็รู้สึกอดขำปนสงสัยเสียไม่ได้จึงเอ่ยถามถึงเหตุที่ทำให้คนเรือนบดินทรักษ์ต้องตีกันเองโฉงเฉงเยี่ยงนี้

    สหายท่านน่ะสิดอดไปฟาดมะยงชิดที่ริ้วเตรียมไว้เสียยกถาดจนยายสร้อยต้องให้ข้าลากออกมาให้พ้นเรือนไฟวัลลาฟ้องเอากับเจ้าเรือนส่วนสหายเจ้าหมื่นที่กำลังยืนจัดเสื้อที่ถูกยื้อจนยับให้เข้าที่ก็หันมาทำหน้ายู่ลับหลังใส่พี่สาว

    ให้ข้าเดาไหม ว่าใครเป็นคนริ้วฟ้านรันดร์ยิ้มหยอกถามเอากับวัลลา

    ถูกวัลลาเฉลยทั้งไม่ต้องรอคำตอบด้วยเสียงเอือม

    เฮอะ อะไรก็โทษเอาแต่กับข้าเจ้าหมื่นธัญก็ไม่วายบ่นอู้อี้ตามมาติดๆด้วยอาการไม่อยากยอมแพ้วัลลาที่รำคาญความดื้อด้านจึงกลอกตาใส่ให้หนึ่งทีแล้วพูดตัด

    เรื่องของนายน้อยเถอะเจ้าค่ะอยู่กับสหายท่านไปแล้วกันหลังจากพูดเสร็จจึงหันหลังเดินฉับออกจากโถงไป

    สหายฟรันสงสัยพวกข้าคงไปหาอะไรรองท้องที่เรือนไฟไม่ได้แล้วกระมัง หึหึสหายเวทกล่าวแก่ฟ้านรันดร์แต่กลับส่งยิ้มกวนอารมณ์ให้กับสหายเจ้าหมื่นที่ยืนอยู่ข้างๆ จึงได้ศอกถองป้อนเข้าท้องแทนข้าวเช้าจนร้องอุ่กแทนสหายเจ้าเรือนจึงออกปากให้สหายทั้งหมดไปรอที่เรือนรับรองกลางเสียก่อนจนกว่าจะถึงเวลาซึ่งทั้งสามก็ตกลงรับคำแต่โดยดีด้วยว่ายังต้องหารือเตรียมตัวกันอีกเล็กน้อย

    ด้วยประเทศสยามในเวลานี้ได้เปิดประเทศมากขึ้นการค้าขายระหว่างชาติก็ย่อมรุ่งเรืองขึ้นตามเป็นลำดับ งานเลี้ยงสังสรรค์ร่วมการค้าของพระนครที่จัดขึ้นครั้งนี้แม้จะฟังดูรื่นเริงน่าสนุกดีอยู่แต่นั่นก็เป็นเพียงจุดประสงค์ข้อท้ายๆเท่านั้นส่วนเหตุผลหลักสำคัญคือเป็นการสานสัมพันธไมตรีระหว่างผู้ค้าขายกับฝ่ายหลวงให้เป็นไปในทางอันดีเพื่อรักษาผลประโยชน์ให้คงไว้แก่ทั้งสองฝ่ายเสียมากกว่า และหน้าที่เจ้าภาพจัดงานก็ตกมาถึงเจ้าหมื่นธัญธิษณ์บุตรชายแห่งเจ้าพระยากรมเวียงประจำพระนคร เพื่อธำรงไว้ด้วยความเป็นกลางและโปร่งใสพ่วงด้วยคุณสมบัติที่สามารถพูดภาษาต่างเมืองได้ถนัดคล่องแคล่วจึงได้รับหน้าที่นี้มาดูแล

     ในเวลาสายแขกเหรื่อก็เริ่มเดินทางมาถึง ทั้งขุนคลังวังหลวงข้าราชพ่อค้าต่างๆที่ได้รับเชิญต่างแต่งองค์ทรงเครื่องตามยศถากันเต็มที่ดูเพลินตายิ่งเฉพาะเหล่าบุตรีหน้าหวานอรชรทั้งหลายที่ติดตามบิดามามากเป็นพิเศษ ส่วนสาเหตุนะหรือหากให้เดาก็น่าจะมาจากสถานะไร้คู่หมั้นตีตราของเจ้าภาพและสหายเจ้าเรือนทั้งสองนั่นแลที่ดึงดูดให้เหล่าสาวเจ้าที่ปกติจะอยู่แต่กับเรือนหันมาทรงเครื่องแต่งตัวเต็มยศออกงานสังสรรค์บัดนี้ในห้องโถงใหญ่จึงคราคร่ำไปด้วยผู้คนมากหน้าหลากยศ ส่วนทางประลำเวทีที่เตรียมไว้ก็มีวงมโหรีมาบรรเลงเพลงสร้างบรรยากาศให้ไม่จืดชืดรอพร้อม  

    สี่สหายที่ทำหน้าที่เป็นเจ้าภาพร่วมเมื่อถึงเวลาก็พบกับภารกิจมากมายทั้งต้องทักทายบรรดาแขกด้วยมรรยาทอันดี พูดคุยธุระเกลี่ยความกันไม่หยุดแต่ที่หนักหน่อยก็สองสหายรูปงามรวยยศนั่นประไร เพราะนอกจากหน้าที่ที่กล่าวมาข้างต้นแล้วนั้นยังต้องทำความรู้จักเสวนากับเหล่าลูกสาวของบรรดาแขกทั้งหลายพ่วงมาอีก แม้แรกๆจะปฏิบัติด้วยมารยาทหน้าที่แต่พอผ่านไปสักครู่ ทั้งสองก็รู้สึกว่าเป็นภาระมากกว่ากิจสมควรเสียแล้วหากแต่ก็ไม่คณามือทั้งสองเท่าใดนัก จึงได้แต่กล่าวทักทายและพูดคุยพอเหมาะเพื่อรักษาเกียรติของหญิงสาวเหล่านั้นตามสมควร

    “ถูกใจคนไหนบ้างหรือยังเล่าท่าน”วรรณเสวทที่เห็นสถานการณ์ทั้งหมดเดินดุ่มเข้ามาคุยหยอกกับสหายเจ้าหมื่นและสหายฟรันที่กำลังหลบมายืนถือขันเงินซดน้ำลอยมะลิโฮกๆดับกระหาย 

    “ท่านล่ะ สนสักคนไหม” เจ้าหมื่นธัญต่อปากกับสหายสนิทแม้จะคอแห้งผากขนาดไหนก็อดต่อคำด้วยไม่ได้

    “โฮ่ ท่านลืมแล้วหรือ ว่าข้านั้นมีคู่หมั้นหมายไว้แล้ว...ถึงจะยังไม่เคยเห็นหน้าค่าตาก็เถอะเอ หรือจะเปลี่ยนใหม่หาเอาจากที่นี่ดีนะ...” ไม่วายพูดติดตลกหวังผ่อนคลายให้แก่สหายซึ่งก็สามารถทำได้ตามประสงค์

    “จวนถึงเวลาสำรับเที่ยงแล้ว หลังจากนั้นจักมีการแสดงต่อคงได้พักบ้างนะท่าน” ฟ้านรันดร์บอกกำหนดการณ์คร่าวๆให้ฟังก่อนจะปลีกตัวไปดูความเรียบร้อยทิ้งให้สหายเจ้าหมื่นรับมือต่อไป และเมื่อถึงเวลาสำรับเที่ยง ฟ้านรันดร์จึงทำหน้าที่เจ้าเรือนเชิญแขกเหรื่อไปยังเรือนรับรองใหญ่เพื่อจัดการเลี้ยงอาหารโดยภายในเรือนนั้นได้จัดโต๊ะกลมและเก้าอี้ยกระดับที่พอดีรับกับความสูงของขันโตกเพื่อความสะดวกรอเพียงครู่บรรดาบ่าวจึงยกสำรับโตกมาให้แขกแต่ละคน ภายในโตกนั้นมีอาหารหลากหลายที่ถูกจัดแต่งสลักปราณีตใส่ในถ้วยจานกระเบื้องขนาดเล็กสำหรับหนึ่งคนทานแลดูจิ้มลิ้มประดิดประดอยเนื่องด้วยประเภทอาหารนั้นมีมากจึงต้องยกแยกมาเป็นโตกคาวและหวาน สร้างความเจริญตาและปากให้กับเหล่าแขกมาเยือนได้อย่างดีส่วนเจ้าภาพที่ได้สำรับมาแล้วก็พิศดูผักผลไม้สลักวิจิตรต่างๆเพลิน ด้วยนึกถึงคนสลักอยู่เนืองๆ 

    หลังจากเสร็จสำรับเที่ยงกันเป็นส่วนใหญ่แล้วเจ้าเรือนฟ้านรันดร์จึงนำแขกกลับสู่โถงจัดเลี้ยงด้วยว่าจะมีการแสดงให้ได้รับชมอีกเมื่อกลับถึงอาคารจัดเลี้ยงหลักแล้วก็พบว่ามีเก้าอี้มาตั้งรออยู่หน้าประลำเวทีเตรียมรอไว้แล้วเจ้าหมื่นธัญธิษณ์และฟ้านรันดร์จึงไปนั่งอยู่บริเวณริมแถวด้านหน้าเพื่อสะดวกแก่การลุกนั่งส่วนโวกรรณกับวรรณเสวทนั้นก็นั่งตามติดถัดหลังลงมายามเมื่อวงมโหรีถูกเปลี่ยนเป็นวงใหญ่ การแสดงรำจากคณะที่ดีที่สุดในพระนครก็เริ่มขึ้นแรกก็เริ่มด้วยการรำเดี่ยวฉุยฉายต่างๆ เรื่อยไปจนถึงรำหมู่โคมสร้างความจรรโลงใจแก่แขกร่วมงานโดยทั่ว...

    แต่ก็ขอยกเว้นกับเจ้าภาพยศหมื่นไว้สักคนเสียแล้วกันที่ตอนนี้นั่งชมตาเหม่อ เพราะความที่ตนนั้นได้ดูการรำฟ้อนมานับครั้งไม่ถ้วนจากการเที่ยวเตร่บวกกับโสตประสาทก็ไม่ค่อยนิยมศิลป์แขนงนี้สักเท่าใดนักรวมแล้วจึงกลายเป็นนั่งเอนตัวตาหลุกหลิกมองไปทั่วบริเวณ และพบว่าตามหน้าต่างนั้นมีพวกบ่าวที่แห่มาเกาะหน้าต่างแอบดูรำเช่นกัน หากแต่ไล่สายตากวาดไปเรื่อย ตาก็จับได้ถึงคนหน้าคุ้นคนหนึ่งกำลังใช้แขนสมาสพาดกับหน้าต่างใช้เป็นที่รองคางทำตาวาวเกาะอยู่ด้านนอกกำลังตั้งใจดูนางรำตรงหน้าตนที่เบื่อเสียเต็มประดาเห็นดังนั้นเจ้าคุณธัญจึงเปลี่ยนเป้าสายตาจากการร่ายรำตรงหน้าไปปักที่หน้าต่างแทนฟ้านรันดร์ที่นั่งอยู่ข้างๆจึงเอ่ยหยอกสหายเจ้าคุณโดยไม่มองหน้าตามองเวที

    "ทนเอาหน่อยเถิดสหายอย่าเพิ่งเบื่อจนพุ่งออกนอกหน้าต่างไปเสียก่อนเล่า หึหึ"

    "คนสติดีที่ไหนจักโดดออกนอกหน้าต่างดั่งท่านว่าเล่า"

    แถวนี้ข้าว่าก็มีอยู่คนสองคนนะท่านฟ้านรันดร์ชายมองด้วยหางตา ส่งยิ้มมุมปากกวนประสาทให้แล้วชิงรีบพูดตัดเมื่อเห็นว่าสหายเจ้าหมื่นกำลังจะง้างปากโวยวาย

    "อีกสักพักจักจบชุดแรกแล้วอดทนเข้า อดทนเข้า" ได้ยินดังนั้นสหายเจ้าหมื่นจึงเอียงตัวนั่งเอากำปั้นเท้าแก้มด้วยขี้เกียจเถียงให้เมื่อยปากพาอารมณ์บูดขึ้นแต่เมื่อครั้นที่การแสดงฟ้อนรำจบลงแล้วนั้นเจ้าตัวกลับดีดตัวจากที่นั่งพุ่งไปยังหน้าต่างแทบจะทันทีวรรณเสวทที่นั่งอยู่ไม่ห่างก็อดชะเง้อมองตามและพูดแซะเอากับสหายที่ยังนั่งติดเก้าอี้อยู่ด้วยไม่ได้

    ท่านเห็นรึไม่คนสติดีแถวนี้กำลังพุ่งไปที่หน้าต่างแล้ว นั่นๆ ดูท่าจักโดดออกไปจริงๆด้วยกระมัง”....

    ทางด้านโลกาที่ช่วยงานครัวเสร็จแล้วมาเกาะกำแพงดูรำอยู่ด้านนอกนั้นเมื่อการแสดงจบลงก็ผละออกจากหน้าต่างเพื่อเปิดทางสลับให้คนอื่นๆได้แลกที่ดูบ้างหากแต่หันหลังเดินจากไม่ทันไร เสียงทุ้มใหญ่ที่แสนคุ้นเคยก็ทักเรียกดังมาจากภายใน

    มาแอบดูนางรำกับเขาด้วยรึเมื่อหันหาต้นเสียงก็พบเจ้าคุณธัญยืนเอามือไพล่หลังถามอยู่ที่ริมหน้าต่างบานเดียวกับที่ตนใช้เป็นที่แอบดูการแสดงที่บัดนี้กลับโล่งเตียนไร้คนมุงเหมือนเมื่อครู่  

    ก็บ่าวไม่ค่อยได้เห็นนี่ขอรับนานๆเข้าถึงจะได้ดูสักทีโลกาเดินกลับเข้ามาใกล้ๆเงยหน้าตอบเอากับนายตนด้วยพื้นด้านนอกนั้นมีระดับต่ำกว่าภายใน

    ชอบรึ

    ก็ดูเพลินงามตาดีขอรับ

    ถ้าเช่นนั้น เข้ามาใกล้ๆนี่ข้าจะบอกที่ดูดีๆให้เจ้าคุณธัญเดินเอามือมาเท้ายันหน้าต่างแล้วชะโงกตัวไปด้านนอกเล็กน้อยส่งยิ้มมุมปากให้โลกาทำหน้าสงสัยแต่ก็ไม่ได้ซักไซ้อะไรมากแล้วเดินเข้าหาตามคำเมื่อครู่

    "เดินมาใกล้อีก เอ้า ทีนี้เขย่งเท้าด้วย" เมื่อเข้าใกล้ได้ระยะโลกาที่กำลังเขย่งขายืดเท้าส่งตัวตามคำอยู่นั้น ก็ถูกเจ้าคุณธัญที่รอจังหวะอยู่โน้มตัวเข้าหาพร้อมใช้มือใหญ่สอดเข้าใต้แขนด้วยความรวดเร็วและออกแรงโอบอุ้มคนที่อยู่ภายนอกจนตัวปลิวขาลอยไม่ติดพื้น แบกลากข้ามหน้าต่างเข้ามาสู่ภายในอาคารจับมาประคองยืนทำหน้าเหรอหราอยู่ตรงหน้าตน

    เจ้าคุณขอรับบ่าวไม่ควรเข้ามาในนี้โลกาหน้านิ่วพร้อมพูดแค่นเสียงเบายืนหลบสายตาแขกรอบๆพยายามไม่ให้เป็นจุดสนใจ แต่กลับเห็นเจ้าคุณธัญกลั้นหัวเราะคึ่กๆในลำคอส่งมาให้

    "ก็เข้ามาแล้วนี่จะเป็นไรไป" โลกาที่รู้สึกได้ถึงสายตาของผู้คนที่เริ่มหันมาจับมองมากขึ้นเรื่อยๆจึงลุกลี้ลุกลนมองหาทางออกพร้อมเถียงนายฟ่อๆ

    "เป็นสิขอรับบ่าวจะออกไปแล้ว" พูดเสร็จก็หันรีหันขวางเตรียมหาทางออก

    หน้าเอ็งตอนตื่นนี่ดูเพลินกว่านางรำเมื่อครู่เสียอีกหึหึ อยากดูเค้ารำกันมิใช่รึไร ตามข้ามาเจ้าคุณธัญหัวเราะหยอกก่อนจะคว้าเสื้อบ่าวลากเดินฝ่ากลุ่มคนตามตนลับไปด้านหลังพาข้ามโถงไปหยุดที่เชิงบันไดหินอ่อนสีขาวที่ยกระดับทอดทางขึ้นสู่ด้านบน

    "ห่างนิดหน่อย แต่ตรงนี้คนมิพลุกพล่านนัก"พูดเสร็จก็ปล่อยมือจากเสื้อแล้วมายืนกอดอกมองคนหน้าตื่นอยู่ข้างๆ

    "บ่าว...อยู่ดูได้ จริงๆหรือขอรับ"

    "ข้าก็ยืนอยู่ตรงนี้ใครจักมาไล่ก็ลองดู"

    "แล้ว...เจ้าคุณไม่ต้องไปนั่งที่-"

    "ช่างที่ข้าเถอะอยู่ตรงนั้นข้าก็เบื่อจักแย่" ได้ยินดังนั้นโลกาจึงยิ้มเจื่อนตอบประกอบกันกับประลำเวทีที่กำลังเริ่มการแสดงชุดใหม่พอดีดูเหมือนว่าจะเป็นประเภทขับร้องประสานวงมโหรีที่ปรับเครื่องดนตรีเหลือเพียงไม่กี่ชิ้นจึงหันไปชี้ชวนให้เจ้าคุณดูคนเตรียมแสดงคลายเบื่อ แต่เมื่อเห็นเจ้าคุณขี้หน่ายตีหน้าเรียบมองลอยออกไปทางอื่นจึงยืนเงียบๆไม่ต่อความชวนคุยอีก...

    หากแท้จริงแล้วคนที่ทำทีตีหน้าซังกะตายก็แอบลอบมองกลับมาเป็นระยะและถือโอกาสหลบความวุ่นวายทั้งหลายมาพักผ่อนใจบ้าง ด้วยธุระงานราชหลวงที่ต้องเจรจาต่างๆนั้นไม่สร้างความลำบากเท่าไหร่ดอกแต่บรรดาพ่อๆทั้งหลายที่หิ้วลูกสาวมาประเคนให้ดุจงานดูตัวจองคู่นั้นสิเล่าช่างน่าหน่ายนักเมื่อนึกถึงข้อนี้จึงได้จึงเผลอถอนหายใจเฮือกใหญ่

    "เหนื่อยหรือขอรับ ให้บ่าวไปหาน้ำมาให้ไหม"โลกาที่ยืนเคียงอยู่ข้างๆจับสังเกตได้จึงเอียงคอถามห่วงมา แม้ไม่ได้ฟังคำตอบก็เตรียมหันหลังวิ่งไปหาน้ำมาให้ตามว่าแต่ไม่ทันจะได้ก้าวขาออกเดินข้อมือซ้ายก็ถูกคว้ายึดตรึงไว้ด้วยมือใหญ่ของเจ้าคุณธัญที่ยืนอยู่ข้างๆ

    "อย่าไป อยู่ข้างๆข้าน่ะดีแล้ว" พูดจบมือแกร่งของเจ้าคุณธัญที่กำข้อมือเมื่อครู่ก็คลายออกแล้วไล้เคลื่อนกางมือมาสอดนิ้วสานกุมมือโลกากระชับแน่นไว้  

    “ขออยู่เยี่ยงนี้ สักพักเถิด”โลกาได้แต่ผงกหัวรับแล้วมายืนแข็งทื่อข้างๆ สักพักเจ้าคุณธัญถึงจับสัมผัสของเจ้าของมือนุ่มที่กุมตอบกลับมาได้เบาๆแม้จะเจือสั่นอยู่บ้างแต่ก็ทำให้สบายใจกว่าการดูสิ่งเพลินตาไหนๆ จึงดึงมือโลกามาซุกแนบข้างกายตนบรรเทาสั่นและเมื่อมองย้อนไปยังดวงหน้าที่เคยคุ้น แม้จะเห็นเพียงด้านข้างก็พบว่าพวงแก้มขาวกำลังแดงริ้วเรื่อเจือฝาดบางๆในใจก็นึกเทียบว่าการแสดงระบำรำฟ้อนไหนเลยจะดูน่ามองเท่านี้ และไม่นานเสียงซอหวานเสนาะหูก็ดังแว่วลอยเข้าหูตามมาด้วยการขับร้องเสียงเอื้อนที่หวานไม่แพ้กันคลอก้องตามมาจากประลำเวที

    *ยามเมื่อลมพัดหวน ลมก็อวลแต่กลิ่นมณฑาทอง

    ไม้เอยไม้สุดสูง อย่าสู้ปอง ไผเอยบ่ได้ต้องแต่ยินนามดวงเอย

    โอ้เจ้าดวง เจ้าดวงดอกโกมล กลิ่นหอมเพิ่งผุดพ้นพุ่มในสวนดุสิตา

    แข่งแขอยู่แต่นภา ฝูงภุมราสุดปัญญาเรียมเอย

    โอ้อกคิดถึง คิดถึงคะนึงนอนวัน

    นอนไห้ใฝ่ฝัน เห็นจันทร์แจ่มฟ้า

    โอ้อกคิดถึง คิดถึงคะนึงนอนวัน

    นอนไห้ใฝ่ฝัน เห็นจันทร์แจ่มฟ้า

    ทรงกลด สวยสดโสภา

    แสงทองส่องหล้า ขวัญตาเรียมเอย

    ทรงกลด สวยสดโสภา

    แสงทองส่องหล้า ขวัญตาเรียมเอย*


                    ในเวลายี่สิบปีเศษของช่วงชีวิตเจ้าคุณธัญธิษณ์นั้นได้รับฟังเพลงบรรเลงจากวงมโหรีทั้งเล็กใหญ่มาก็นับครั้งไม่ถ้วน แต่คราวนี้ไฉนเอยเสียงซออู้ถึงได้หวานติดหูยิ่งกว่าครั้งใด เพลงลาวคำหอมที่ไม่เคยจะตั้งใจฟังเพียงซักครั้งกลับตรึงใจจนไร้กวีบทไหนเทียบเสมอเหมือน เสียงทุ้มที่ดังตึงมาก็ชักไม่แน่ใจนัก ว่าลอยมาจากโทนหรือในอกตัวในหัวพานึกถึงอาการประหลาดนึกหาเหตุ จะว่าด้วยวงมโหรีนั้นแสดงดี...หรือเพราะมีมือคนที่ยืนเคียงคู่อยู่ข้างคอยกุมสอดไว้ข้างกายยามฟังไปด้วยจนจบเพลงกันหนอและไร้คำเรียกเอ่ยใดๆทั้งคู่หันมามองหน้าหากัน สบนัยน์ประสานจ้องตรึงตาเป็นครั้งแรกนับจากที่เจ้าคุณธัญธิษณ์จากไปไกล...และคำสัญญาในคืนนั้น กลับดังแว่วสู่ใจโลกาอีกครั้ง...”ข้าจะไม่ลืม”

    แต่กาลเวลาย้อนระลึกหวนที่ดูเหมือนจะหยุดลงไว้เพียงครู่ได้ถูกฝืนให้เดินต่อด้วยเสียงสหายที่ทักเรียกหาเจ้าคุณธัญธิษณ์ดังแว่วมา

    “ท่านธัญมาอยู่นี่เองรึ ท่านขุนรงค์หาตัวท่านอยู่แหน่ะ” โลกาที่เห็นโวกรรณเดินตรงรี่เข้ามาเรียกหาเจ้าคุณธัญจึงรีบสะบัดชักมือกลับรวดเร็วพร้อมก้มหน้าแล้วรีบกระเถิบตัวออกทิ้งระยะห่าง ส่วนคนถูกเรียกนั้นจ้องค้างอยู่ครู่  

                    “รอข้าอยู่แถวนี้ ประเดี๋ยวข้ามา”เจ้าคุณธัญพูดสั่งกับคนที่เพิ่งชักมือหนีจากตน หันหลังเดินไปสบทบกับสหายที่มาเรียกตามตัวแล้วรีบเดินลัดเข้าสู่กลางฝูงแขกเหรื่อบรรดาศักดิ์หายลับตาไปปล่อยบ่าวหน้าแดงยืนไว้เพียงลำพัง และเมื่อต้องทำตามสั่งโลกาจึงไปหาที่รออยู่มุมห้องหลบสายตาคนแต่หลบมุมได้ไม่นานก็ถูกปลายพัดสะกิดเรียก...

     

    ......................................................................................


    สวัสดีค่ะ หายไปนานเลย ฮือ T v T พอดีติดภารกิจค่ะเลยอัพช้ามากกก ขอโทษนะคะ

    ได้อ่านคอมเมนต์ของทุกคนแล้วดีใจมากเลยค่ะ ขอบคุณที่ชอบแล้วยังติดตามฟิคที่ดองเก่งแบบนี้นะคะ /ตัดเมนต์แปะฝาบ้าน

    หากเราไม่ได้ตอบใครในช่องทางไหน ขอโทษนะคะ แต่เรามั่นใจว่าอ่านครบค่ะ

    ตอนนี้เขียนถึงเพลงลาวคำหอมด้วยตอนรีเสิชข้อมูลเจอว่าเพลงนี้ถูกแต่งขึ้นประมาณช่วงต้นรัตนโกสินทร์(สมัยรัชกาลที่1-3)โดยจ่าเผ่นผยองยิ่ง หรือคุณจ่าโคมค่ะ (แน่นอนว่าสาระความรู้แบบนี้เรากูเกิ้ลค่ะ 5555) ซึ่งเนื้อเพลงเราคิดว่าเหมาะกับทั้งคู่ดี

    แล้วก็เป็น Ost.ของเรื่องสี่แผ่นดินด้วยค่ะ ลองไปหาฟังกันน้า

    สุดท้ายนี้มีคุณรี๊ดบอกว่าให้ตั้งแทคตอนแรกเราไม่คิดว่าจะมีคนเขียนถึงเลยไม่ได้คิดค่ะ มาตอนนี้เลยคิดไม่ออก O(-(

    เลยขอตั้งเป็น #ไพลินเคียงหยก ไปเลยค่ะ (สิ้นคิดยันแทค 555)เข้าไปคอมเมนต์หรือส่งฟีดแบ็คได้นะคะ

    เจอกันตอนหน้าค่า (จะพยายามอัพให้ได้ค่ะ ฮือ)

    ปล.ตอนนี้ลองเขียนให้ผูกกับตอนแรกด้วย ไม่รู้ว่าจะแปลกๆไม๊ แฮ่....


     

     

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in