เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
US AND THEM จากอัมสเตอร์ดัมถึงบาร์เซโลน่า และบทสนทนาของมหานครSALMONBOOKS
คำนำ






  • คำนำสำนักพิมพ์


    เรื่องมันเริ่มจากความสัมพันธ์ของชายหญิงคู่หนึ่ง

    ฝ่ายชายคือ จิรัฏฐ์ ประเสริฐทรัพย์ นักเขียนเรื่องแต่งทั้งสั้นทั้งยาวผู้เคยฝากผลงานไว้กับเราหลายเล่ม

    ฝ่ายหญิงคือ ไข่มุก แสงมีอานุภาพ กราฟิกดีไซเนอร์และฟู้ดสไตลิสต์ผู้ใช้เวลาว่างเขียนบทความไลฟ์สไตล์ได้น่าสนใจคนหนึ่ง

    ชายหญิงคู่นี้เพิ่งตัดสินใจแต่งงานกัน และตามประสาของคู่แต่งงานใหม่หมาด ทั้งสองก็พากันออกนอกประเทศ

    เนเธอร์แลนด์ เบลเยียม ฝรั่งเศส สเปน อิตาลี ห้าประเทศในระยะเวลาสองเดือน ดูอย่างไรก็เป็นการไปฮันนีมูนชัดๆ

    นี่ไม่ใช่การฮันนีมูน

    จิรัฏฐ์ค้านเสียงแข็งเมื่อเราแซวว่าทริปน้ำผึ้งพระจันทร์สนุกไหม เขาอธิบายต่อว่า เตรียมทริปนี้ไว้ล่วงหน้านานแล้ว นานกว่าตอนเตรียมงานแต่งเสียอีก

    เออ เอาเถอะ—เราคิดในใจ เพราะต่อให้พูดอย่างไร นักเขียนหนุ่มคนนี้ก็คงไม่ยอมรับง่ายๆ เช่นเดียวกับที่เขาไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นฮิปสเตอร์ ทั้งที่ไลฟ์สไตล์ของเขาคือการละเมียดกาแฟดริป ดื่มด่ำคราฟต์เบียร์ ฟังเพลงจากแผ่นเสียงทุกวี่วัน

    แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น เท่ากับเมื่อแรกคุย เขาบอกว่าจะนำทริปการท่องเที่ยวที่ไม่ใช่การฮันนีมูนมาเขียนเป็นหนังสือ โดยเขาและไข่มุกจะสลับกันเขียนคนละบท

    นี่ไม่ใช่หนังสือบันทึกการเดินทาง

    จิรัฏฐ์เริ่มมีน้ำเสียงหงุดหงิดเมื่อเราสรุปไปก่อนว่าต้นฉบับที่เขาพูดถึงคือหนังสือบันทึกการเดินทางชัดๆ คราวนี้เขาไม่ปล่อยให้เราพูดอะไรต่อ หากทวนถามถึงนิยามของเราว่าหนังสือบันทึกการเดินทางที่ว่านั้นเป็นอย่างไร เพราะถ้าหมายถึงการแนะนำสถานที่เด่นดังเช่นไกด์บุ๊คทั่วไป คงไม่ใช่ เขาและไข่มุกมีเรื่องราวให้อยากพูดถึงมากกว่านั้น

    เมือง ศิลปะ วัฒนธรรม คือสิ่งที่ไข่มุกสนใจ ส่วนคนและสังคม คือสิ่งที่จิรัฏฐ์เพ่งมอง

    แล้วมันไม่ใช่หนังสือบันทึกการเดินอย่างไร?

    คุณอาจสงสัยเช่นเดียวกับเรา

    เรื่องราวตลอดระยะเวลาสองเดือนในเมืองเล็กใหญ่ถูกเล่าสลับกันไปโดยไข่มุกและจิรัฏฐ์ ด้วยน้ำเสียงและกลวิธีที่ไม่เหมือนกัน

    จากที่เคยเขียนแต่เรื่องไลฟ์สไตล์ ไข่มุกหันมาขุดลึกว่าอะไรในแต่ละเมืองที่ทำให้เธอใหลหลง

    จากที่เคยเขียนแต่เรื่องแต่ง จิรัฏฐ์หันมาเขียนบทความกึ่งสารคดีที่ยังคงสไตล์จัดไม่ต่างจากงานก่อนๆ

    ใครที่กำลังเป็นห่วงว่าเรื่องราวคงพัวพันซ้อนทับกันยับเยินแน่ๆ โล่งใจได้เลย เพราะจิรัฏฐ์และไข่มุกทำเส้นเวลาของการเดินทางให้พร่าเลือน

    Us & Them จึงไม่ใช่หนังสือบันทึกการเดินทางในแบบที่เรา—สำนักพิมพ์แซลมอนเข้าใจในตอนต้น มันไม่ใช่หนังสือไกด์บุ๊ค มันไม่ใช่หนังสือบันทึกสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ แต่เป็นหนังสือ (ที่เรายังจะเรียกว่า) บันทึกการเดินทางที่มีความเฉพาะตัว

    ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงเอกลักษณ์โดดเด่นที่ทำให้แปลกต่างจากหนังสือทั่วไป แต่เราหมายถึงหนังสือที่บันทึกความสนใจเฉพาะตัวระหว่างการเดินทางของจิรัฏฐ์และไข่มุกเอาไว้

    การเดินทางที่ไม่เฉียดใกล้คำว่าฮันนีมูน การเดินทางที่นานวันจะมีเหตุการณ์พิเศษ การเดินทางที่มีทั้งความฮิปและไม่ฮิป การเดินทางที่เต็มไปด้วยการชื่นชมบ้านเมืองและเฝ้ามองผู้คน การเดินทางที่มีแต่บทสนทนาระหว่างคนรู้จักและไม่รู้จักของกันและกัน การเดินทางที่ทำให้เรากลับมานึกถึงชีวิตประจำวันและสิ่งต่างๆ รอบตัว 

    ทั้งที่มันเป็นการเดินทางที่เริ่มจากความสัมพันธ์ของชายหญิงคู่หนึ่งเท่านั้นเอง


    สำนักพิมพ์แซลมอน


  • คำนำผู้เขียน
    – US & THEM


    จิรัฏฐ์ไม่เคยอ่าน บันทึกลับของแอนน์ แฟรงค์ เขาบอกกับฉันว่าคิดจะอ่านหลายครั้งแล้ว หากก็เป็นเช่นเดียวกับ เจ้าชายน้อย ดอนกิโฆเต้ แห่งลามันช่า จิรัฏฐ์ สารภาพว่ารู้จักหนังสือเหล่านี้มาตั้งแต่เด็ก แต่ไม่เคยและไม่คิดจะอ่านพวกมัน

    ให้ตายสิ ชายหนุ่มข้างๆ ฉันโกหกตัวเองว่าเป็นนักอ่านได้อย่างไรกัน

    บทสนทนาของเราเกี่ยวกับหนังสือ บันทึกลับของแอนน์ แฟรงค์ เกิดขึ้นในเที่ยวบินโดฮา-อัมสเตอร์ดัม ขณะที่ฉันกำลังนั่งดูแอพพลิเคชั่นที่เล่าเรื่องบ้านของแอนน์ แฟรงค์ ที่เพิ่งโหลดลงโทรศัพท์มือถือระหว่างนั่งรอเปลี่ยนเครื่อง

    แผนการในสองเดือนต่อจากนี้ของเราคือบินไปลงเนเธอร์แลนด์ นั่งรถไฟต่อไปเบลเยียม แวะเยี่ยมมิตรสหายที่ฝรั่งเศส ก่อนจะบินต่อไปที่สเปนและอิตาลีตามลำดับ และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมฉันจึงหยิบยกหนังสือที่เป็น ‘a must’ ของประเทศนั้นๆ ขึ้นมาพูด

    จิรัฏฐ์เถียงว่า บันทึกลับของแอนน์ แฟรงค์ ไม่ใช่หนังสือที่เป็นสมบัติของคนดัตช์ แอนน์เป็นคนดอยตช์ที่อพยพมาอยู่ในเมืองดัตช์ต่างหาก และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมเขาถึงไม่เคยอ่าน ทั้งเขายังยืนยันอีกว่าหนังสือเล่มนี้ไม่ได้บอกอะไรเกี่ยวกับความเป็นเนเธอร์แลนด์เลย นอกจากทำเลของบ้านที่ครอบครัวแอนน์ย้ายมาอยู่

    จริงของเขา แต่ประเด็นก็คือนอกจากบ้านของแอนน์ที่เป็นแลนด์มาร์กลำดับต้นๆ สำหรับนักท่องเที่ยวทุกคนที่เลือกไปเยือนอัมสเตอร์ดัมแล้ว ฉันให้เขาลองเอ่ยชื่อหนังสือที่เป็น world famous ของเนเธอร์แลนด์ขึ้นมาสักเล่ม

    ไม่ใช่ไม่มี เพียงแต่ฉันไม่รู้ และเขาก็ไม่รู้

    น่าแปลกเหมือนกันว่าในขณะที่เราเอ่ยชื่อของเรมบรันต์ เฟอร์เมร์ หรือแวน โก๊ะ ผู้คนที่มีความสนใจในศิลปะอยู่บ้างอาจนึกภาพที่ศิลปินทั้งสามคนนี้วาดออก แต่หากพูดถึงนักประพันธ์ เรากลับนึกหน้าใครไม่ออก แต่ก็อย่างที่บอก ไม่ใช่ไม่มี เพียงแค่เราไม่อาจเข้าถึงช่องทางของการอ่านได้

    “อีราสมุสไง” เขาโพล่งขึ้นมา

    อืมใช่, เรารู้ว่าอีราสมุสเป็นใคร แต่เราทั้งคู่ก็แทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับนักปรัชญาชาวดัตช์คนนี้มากไปกว่าการรู้ว่าชื่อของเขาถูกนำมาใช้เป็นชื่อทุนการศึกษาของสหภาพยุโรป

    เราไม่ได้คุยกันต่อถึงประเด็นนี้ ฉันกลับไปจดจ่อกับโทรศัพท์มือถือ ส่วนเขาก็กลับไปอ่านหนังสือของเขาต่อ

    “เชยจังเลยที่เราคุยกันถึงตัวแทนของประเทศนั้นประเทศนี้ นี่กำลังจะจัดอันดับนักเขียนโอลิมปิกโลกหรือยังไง” เขาพูดขึ้นหลังจากเราต่างเงียบไปได้ราวห้านาที

    ฉันเถียงกลับไปว่า “คนที่บอกตัวเองว่าชอบอ่านหนังสือ แต่ไม่เคยอ่านหนังสือของแอนน์ แฟรงค์ หรือแม้แต่ เจ้าชายน้อย น่าจะเชยกว่านะ”

    “เอาน่า อย่างน้อยก็เคยอ่าน พระอภัยมณี สมัยประถมฯ” เขายิ้มให้ฉัน ด้วยคิดว่านั่นคืออารมณ์ขัน

    ฉันกลอกตามองขึ้นไปยังช่องเก็บของเหนือศีรษะ...

    ลมหนาวปลิดปลิวสีเขียวของต้นไม้ให้เหลือแต่ลำต้นแห้งๆ สีน้ำตาล ดูคล้ายเด็กเพิ่งหัดวาดรูปต้นไม้ มีเส้นตรงเป็นลำต้นและเส้นยึกยือเป็นกิ่งก้าน เรามาถึงอัมสเตอร์ดัมในช่วงปลายฤดูหนาวด้วยหวังว่าอุณหภูมิของยุโรปค่อนไปทางเหนือจะอบอุ่นขึ้นบ้าง ผิดถนัด! ทันทีที่ก้าวเท้าออกจากสนามบิน เราต่างนึกว่ากำลังเดินเข้าสู่ตู้เย็น เมื่อนึกถึงแดดช่วงต้นฤดูร้อนอันแผดจ้าและเหนียวเหนอะที่เมืองไทยแล้ว ฉันเผลอคิดไปว่าดินแดนทั้งสองแห่งอยู่กันคนละโลก

    จิรัฏฐ์และฉันเดินทางมาที่นี่หนึ่งเดือนหลังจากเราแต่งงานกัน แต่จะเรียกทริปนี้ว่าเป็นการดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ก็คงไม่ถูกเสียทีเดียว เพราะนี่เป็นทริปที่เราวางแผนด้วยกันข้ามปีก่อนตัดสินใจแต่งงานกันเสียอีก หนำซ้ำยังมีเพื่อนร่วมทางเพิ่มมาอีกสองคน

    พี่แตนกับพี่เหมาเป็นคู่สามีภรรยา และเป็นเพื่อนรุ่นพี่ที่ฉันและจิรัฏฐ์สนิทสนมด้วยที่เชียงใหม่ พี่แตนเป็นกราฟิกดีไซเนอร์ เคยทำงานอยู่บริษัทเดียวกับจิรัฏฐ์ (และลาออกจากบริษัทมาพร้อมกัน) ส่วนพี่เหมาเป็นข้าราชการที่มีชีวิตอีกภาคเป็นคนทำคราฟต์เบียร์ เราสี่คนพบกันบ่อยๆ ตามร้านกาแฟยามบ่ายและบาร์ยามค่ำ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เราไปเที่ยวด้วยกันไกลๆ

    ไม่บ่อยหรอกที่ฉันและจิรัฏฐ์จะไปเที่ยวพร้อมกับเพื่อนคนอื่น เราสองคนไม่นิยมการเฮโลกันเป็นหมู่คณะ และก็ไม่นิยมไปร่วมหัวจมท้ายกับครอบครัวคนอื่นนานๆ ด้วย แต่พี่แตนกับพี่เหมาเป็นข้อยกเว้นที่ต่างออกไป สองคนนี้มีเคมีบางอย่างคล้ายคู่เรา ไม่ใช่เพราะชอบปาร์ตี้ด้วยกันเท่านั้น แต่เราต่างมองโลกด้วยอารมณ์ขันร้ายคล้ายๆ กัน เป็นคู่ที่คอยกวนประสาทกันและกัน ชอบศิลปะเหมือนกัน ชอบดูหนังสยองขวัญเกรดบีเหมือนกัน (อันนี้เฉพาะพี่แตนกับฉัน) เป็นพวกกระแสหลักที่เกลียดความเป็นกระแสหลักเหมือนๆ กัน (อันนี้เฉพาะพี่เหมากับจิรัฏฐ์) และไม่ชอบ
    เฮโลกันไปเป็นหมู่คณะเหมือนๆ กัน

    ตลกดี, อาจเพราะเราต่างไม่ชอบเที่ยวกันเป็นหมู่คณะ เราเลยเชื่อว่าหมู่คณะของเราจะไปด้วยกันได้!

    พี่แตนกับพี่เหมาจะอยู่อัมสเตอร์ดัมกับเราหนึ่งสัปดาห์ ก่อนจะไปเบลเยียมพร้อมกันอีกหนึ่งสัปดาห์ แล้วค่อยแยกกันที่ปารีส พวกเขาจองอพาร์ตเมนต์ในย่านเลอ มาเรส์ (Le Marais) ไว้ ส่วนเราสองคนด้วยกระเป๋าสตางค์ที่บางกว่าและต้องอยู่เที่ยวนานกว่า จึงย้ายไปอาศัยอยู่กับญาติผู้ใหญ่ของฉัน (สลับกับการไปอยู่บ้านของเพื่อนสาวด้วยอีกคน) ทั้งสี่คนนี้ มีพี่เหมาเพียงคนเดียวที่ทำงานประจำ จึงมีเวลาลาพักร้อนจำกัด เขากับพี่แตนจึงต้องกลับก่อนเราหนึ่งเดือน หลังจากนั้นฉันและจิรัฏฐ์จะไปเที่ยวที่เมืองอื่นต่อ

    แผนการทั้งหมดถูกวางไว้เช่นนี้ กิน ดื่ม และเที่ยว... กระทั่งระหว่างเครื่องลงจอดที่สนามบินสคิปโฮล (Schiphol Airport) จู่ๆ จิรัฏฐ์ก็ชวนฉันเขียนหนังสือ

    “ลองเขียนเป็นเล่มเดียวกันมั้ย แกเขียนบันทึกบ้านเมืองของแกไป พี่จะเขียนถึงผู้คนที่เราเจอระหว่างทาง และเล่าสลับกันคนละบท”—ไอเดียของเขาเป็นเช่นนั้น

    อย่างไม่ลังเล ฉันรีบปฏิเสธ

    แหงล่ะ ฉันไม่ใช่นักเขียนอาชีพ ด้อยความสามารถในการบันทึกอะไรยาวๆ และทำให้ชวนติดตาม หรือถ้าจะพอมีพลังเขียนอยู่บ้างก็ค่อนข้างมั่นใจว่าชีวิตหลังจากจบทริปนี้ไป น่าจะต้องเคลียร์งานที่คั่งค้างมหาศาล จะให้เอาเวลาที่ไหนไปเขียน

    จิรัฏฐ์ยังคงรบเร้า เขาบอกว่าก็ไม่เห็นจำเป็นต้องรีบเขียน มีเวลาเมื่อไหร่ก็เขียนเก็บไว้ จะเสร็จปีนี้ ปีหน้า หรืออีกชาติหนึ่งก็ไม่เห็นเป็นไร ขอแค่ได้เขียน เขาแค่อยากทำมันเป็นที่ระลึก (พูดด้วยท่าทีแบบลุ่มลึกโรแมนติก)

    แหม...

    “แกจะเขียนแบบไหนหรือเขียนอะไรก็เรื่องของแก แต่อย่าเขียนพวกประโยคเห่ยๆ อย่าง ‘ไปชมกันเลยค่าาาา’ หรือ ‘หากผิดพลาดประการใดก็ขออภัยมา ณ โอกาสนี้ด้วย’ เสียลุคหมด” เขาออกตัว ทั้งที่ฉันยังไม่รับปากว่าจะเขียนด้วยซ้ำ

    ที่มาของหนังสือเล่มนี้เป็นเช่นนี้ ฉันเขียนบันทึกถึงเมืองที่เราไปเยือนมา ส่วนจิรัฏฐ์จะเขียนถึงผู้คนในเมืองนั้นๆ ฉันเล่าก่อน เขาเล่าตาม โดยไม่ได้ออกแบบมาก่อนว่าต้องให้เรื่องทั้งสองสอดพ้องหรือต่อเนื่องกัน เช่นนั้นแล้ว จะเลือกอ่านไล่เรียงตั้งแต่ต้นไปจนจบ หรือเลือกอ่านแค่ของคนใดคนหนึ่งก็ได้ทั้งนั้น (แต่ไม่มีส่วนลด 50% ให้นะคะ)

    ไม่คิดว่าสุดท้ายฉันก็ตกลงซื้อไอเดียของเขา และที่เซอร์ไพรส์กว่านั้น ฉันเขียนมันจนจบเล่มได้จริงๆ
    เอาล่ะ นี่เป็นหนังสือบันทึกการเดินทางเล่มแรกของฉัน พยายามจะเขียนให้ทุกคนได้อ่านสนุก และไม่พยายามหลุดประโยคเห่ยๆ ออกมาอย่างที่นักเขียนข้างกายของฉันเตือน แต่นั่นล่ะ ด้วยความประหม่าเล็กน้อยตามประสามือใหม่ หากผู้อ่านพบเจอความผิดพลาดประการใดก็ขออภัยมา ณ โอกาสนี้ด้วยนะคะ...

    ไปชมกันเลยค่าาาา


    ไข่มุก แสงมีอานุภาพ

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in