ด้วยความที่เราเข้าไปแบบแบลงค์ๆ เลย ไม่คิดว่าจะมีมุมมองการนำเสนอหนัง alien invasion ในแนวนี้อยู่บนโลกด้วย (ทั้งที่ก่อนเข้า เขาก็มีเสวนาเรื่องภาษาศาสตร์กัน แต่ก็ไม่ได้เอะใจอะไร) ออกมาแล้วรู้สึกประทับใจมาก ให้คะแนนความใหม่ ภาพ และ แนวคิดที่สัมผัสความนึกคิดเชิงลึกของมนุษย์ รู้สึก relate ได้มากกว่า La La Land ซะอีก หนังจากดูเป็นรอบที่สองก็ขอยกให้เป็นหนังที่ผมชอบอันดับหนึ่งตั้งแต่เริ่มรีวิวหนังอย่างจริงจังเลยล่ะ

หนังผู้มาเยือนเรื่องนี้เปิดฉากมาด้วยการมาเยือนของผู้มาเยือน (ก็แหงล่ะ จะพูดทำไมให้งง) ลักษณะเป็นยานขนาดใหญ่ 12 ลงมาเกือบจอด ลอยปริ่มๆบนผิวโลก ปฎิกริยาของมนุษย์ก็เป็นไปตามคาดเดา มีความตกใจกังวลของประชาชนทั่วไปก่อนจะถูกรัฐบาลและการทหารของแต่ละประเทศเข้าควบคุม ตัวนางเอกซึ่งเป็นศาสตราจารย์มหาวิทยาลัย มีชื่อเสียงด้านการแปลภาษามาก จึงถูกเรียนตัวไปที่จุดเกิดเหตุเพื่อทำการแปลภาษาต่างดาว ถึงจุดประสงค์ของการมาที่โลก ควบคู่กับพระเอกซึ่งเป็นนักฟิสิกส์ เหตุการณ์ดำเนินไปภายใต้ความรู้สึกอัศจรรย์และตึงเครียด เพราะสิ่งที่นางเอกต้องสื่อสารให้เข้าใจ ไม่ใช่มีเพียงสิ่งมีชีวิตนอกโลกเท่านั้น แต่เป็นเพื่อนมนุษย์ที่มีความคิดและวัฒนธรรมที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง และรวมตัวตัวเองในอนาคตอีกด้วย

หลังจากดูจบแล้ว คิดว่าเรื่องนี้ต้องยกให้ติดอันดับหนังในดวงใจ ด้วยเหตุผลต่างๆ นาๆ เรื่องภาพนี่คือสุดยอด minimal คุมโทนได้ใจ บ้านนางเอกสวยมาก ซีนในยานอวกาศก็ชอบ ซาวน์ประกอบก็เยี่ยม

Amy Adams ทำได้ดีมาก เราเชื่อจริงๆ ทุกครั้งเวลาได้พูดอะไรที่มันเกี่ยวข้องกับภาษาศาสตร์ มันมีสเน่ห์มาก Jeremy Renner และ Forest Whitaker ก็ทำหน้าที่เป็น mood switcher และ ตัวซัพพอร์เนื้อเรื่องได้ลื่นไหล ไม่สะดุด

เรื่อง บท และการแสดงหลากอารมณ์แต่ก็สมดุล ผมชอบการถ่ายทอดความรู้สึกเหลือเชื่อกึ่งๆ ฝันที่เป็นจริง ผสมกับความกลัวและแพนิก ตอนที่พระเอกนางเอกได้เข้าไปเจอเอเลี่ยนเป็นครั้งแรก มันซับซ้อนดี

สิ่งที่สะท้อนได้จากเนื้อเรื่องทั้งหมดคือ ความฉลาดและเข้มแข็งของนางเอก ตั้งแต่การคิดบททดสอบเพื่อนยืนยันว่าตนเป็นแคนดิเดทที่ดีกว่าโดยการถามถึงคำว่า 'สงคราม' ในภาษาสันสกฤต การอธิบายและหลอกทีมทหาร เพื่อซื้อเวลาและวิธีการที่เธอต้องการ รวมถึงความกล้าบ้าบิ่นอย่างมีเหตุผล เช่นตอนที่ถอดเครื่องป้องกัน หรือพยายามจะติดต่อสื่อสารกับผู้นำประเทศอื่น แล้วที่เด็ดที่สุดคือความยอมรับและโอบอุ่มชะตาชีวิตของตัวเอง

ผมคิดว่าตัวเองเป็นคนที่หวงแหนอนาคตอยู่พอสมควร ประมาณว่าตื่นเต้นกับความสดใหม่ของสิ่งไม่แน่นอนที่เกิดขึ้น การที่นางเอกบังเอิญได้รับรู้อนาคต (ที่ไม่ค่อยจะหอมหวานนัก) เป็นผลพลอยได้จากการเรียนภาษาเฮปตาพอดส์นั้น คงเป็นสิ่งที่น่าหนักใจไม่น้อย แต่ตัวหนังเองก็ได้ให้คำตอบกับผมว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในอนาตคที่รับรู้ได้ ก็เป็นเพียงแค่จุดเหตุการณ์ที่ถูกพลอตลงบนเส้นชีวิต ถึงจุดเหล่านั้นจะขมขื่นหรือเจ็บปวดมากเพียงใด มันไม่ได้เป็นสิ่งชี้ชัดถึง 'เส้น' ที่ประกอบด้วยจุดนับพันมาร้อยเรียงต่อกัน ซึ่งอาจจะผ่านพิกัดที่สวยงามมีค่าก็ได้ใครจะไปรู้ 

โดยสรุปแล้ว หนังสอนให้ผมรู้จักนิยามชีวิตของเราผ่านเส้นสายของเรื่องราวชีวิตที่ต่อเนื่อง มากกว่าจุดเหตุการณ์ที่ (ดูเหมือนว่า) สำคัญ ซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อทัศนคติการดำเนินชีวิตในทางบวกล่ะครับ 

น่าจะด้วยปัจจัย ความเซอร์ไพรส์ และ ความเคารพตัวตนและวิธีคิดของนางเอกในเรื่อง ทำให้หนังเรื่องนี้ได้ลงมาเยือนในอันดับหนึ่งชิวๆ เลย และผมคิดว่ามันน่าจะเป็นหนังที่สถิตอยู่ในรายการหนังที่ผมประทับใจไปอีกนาน :)

ปล. อีกหนึ่งประเด็นที่ได้จากหนังคือการที่เขานำสเนอให้เราเห็นว่ามนุษย์เรานั้น เปราะบาง ถูกชักจูงและมีอคติต่อการตีความมากแค่ไหน อย่างเช่นความกลัวในสิ่งไม่รู้ ในที่นี้คือยานอวกาศที่อยู่ๆ ก็ลงจอดเฉยๆ การตัดสินใจทำตามประเทศผู้มีอำนาจ เค้าทำอะไร ทุกคนก็จะทำจามด้วยโดยไม่ได้คิดไตร่ตรองให้ดีก่อน และคำต้องห้าม เช่น อาวุธ ที่ทำให้ทุกคนแตกฮือ (ฮา นึกถึงข้อห้ามที่เค้าไม่ให้พูดคำว่า 'ระเบิด' บนเครื่องบิน)

RANKINGS
1. Arrival
2. Nocturnal Animals
3. Sing street
4. Money Monster
5. Green Room
6. Kubo and the Two Strings
7. La La Land

8. Train to Busan

9. Your name
10. Trolls
11. Nerve
12. Where to Invade Next
13. Mr. right
14. Ghostbusters
15. The shallows

16. Bad Moms
17. Captain America: Civil war
18. Finding dory
19. The Conjuring 2
20. The VVitch
21. Lights out

22. February
23. High-rise

24. Me Before You

25. Equals
26. Blair Witch

27.Don't breathe
28. Bad Neighbors 2

29. Café Society

30. If Cats Disappeared form the world
31. Hardcore Henry

https://www.youtube.com/watch?v=AMgyWT075KY&t=72s

https://www.youtube.com/watch?v=92HVT9RwihY&t=48s