เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Mirror on the walltubtimptt
mirror on the wall 2
  • เงยหน้ามองฟ้า
    ก้มหน้ามองพื้น
    สิ่งรอบข้างล้วนน่าสนใจ
    ยกเว้นตัวผมเอง






    “กลับช้าจังอะ” 

    ผมบอกคนที่เพิ่งเข้ามาด้วยน้ำเสียงที่พยายามหลอกตัวเองว่ามันปกติพอที่จะปิดบังอะไรบางอย่างในหัวของผม

    อย่าให้เขารู้ว่าผมคิดยังไง อย่าเลย

    “ตอนแรกกลับมารอบหนึ่งแล้ว เนี่ย ไปส่ง อ่า ภัทรมา” 

    วินบอก ใบหน้าของเขาขึ้นสีแดงนิดหน่อย ดวงตากลมคู่นั้นเสมองไปทางอื่น ท่าทางเขินอายทั้งหมดทั้งมวลที่ผมชอบ แต่ตอนนี้มันกำลังทำให้ผมทั้งหงุดหงิดทั้งไม่ชอบใจ

    ผมยังชอบท่าทางแบบนั้นแต่ต้องไม่ใช่เพราะเกิดจากคนอื่น

    “ดินเหมือนจะ…หงุดหงิด?” 

    วินถาม เขาเดินทำหน้าสงสัยมาหาผมที่นั่งพื้น ให้หลังพิงโซฟาดูเน็ตฟลิกซ์ที่เชื่อมกับจอทีวี ผมทำเป็นไม่สนใจเขา ตีกับความหงุดหงิดที่อยู่ในหัวเพราะไม่อยากเอาไปลงกับเขา 

    ผมแคร์เขาเกินกว่าจะทำให้เขารู้สึกไม่ดี 

    ผมที่แคร์อีกครึ่งหนึ่งที่แยกจากไปมากกว่าครึ่งหนึ่งที่ผมถือครองอยู่


    “แค่งานไม่เสร็จน่ะ” 

    ผมตอบเลี่ยงๆ โยกหัวให้วินขึ้นไปนั่งด้านหลังบนโซฟา รอจนเขานั่งขัดสมาธิบนนั้นเรียบร้อยแล้วค่อยเอาหัวไปพิงเขา 

    ตอนนี้หนังไปถึงไหนแล้วผมเริ่มไม่สนใจ 

    “ก็ได้ๆ เดี๋ยวพี่ชายคนนี้จะทำให้น้องชายสบายขึ้นเอง” 

    ผมเกือบจะเผลอขมวดคิ้วกับ ‘พี่ชาย’ ‘น้องชาย’ แต่ก็บังคับสีหน้าได้ทัน ก่อนจะเถียงทั้งๆที่ยังหลับตาอยู่ 

    ผมรู้ดีว่าถ้าไม่ทำเขาจะรู้ว่าผมผิดปกติไป

    “เกิดก่อนแค่ห้านาทีจะเอาอะไร จริงๆแล้วดินแค่ใจดีให้ออกไปก่อนหรอก” 

    วินหัวเราะ น้ำเสียงสดใสร่าเริงนั่นปลอบประโลมผมช้าๆ มือของเขาแทรกเข้ามาในกลุ่มผมก่อนจะนวดมันเบาๆ เขารู้ดีว่าจะทำยังไงให้ผมสบายที่สุด และนั่นแหละ มันเป็นสัญชาตญาณ ผมเองก็รู้เรื่องของเขาเหมือนกัน 

    ทั้งรักทั้งชัง สายใยพี่น้องบ้าบอนี่

    ผมลืมตาขึ้นมาดูหนังที่ยังไม่จบ ทิ้งสายตาไว้บนจอ ทิ้งหัวใจไว้กับสัมผัสแผ่วเบาของวิน ซึมซับระหว่างเราเอาไว้ให้มากที่สุด 

    บางทีสิ่งที่วินรู้อาจจะไม่ใช่ทั้งหมด 

    เขาไม่ได้รู้ทั้งหมดของผม 

    ผมไม่ได้รู้สึกดีขึ้นเพราะฝีมือการนวดของเขา มันอาจเป็นส่วนหนึ่ง แต่ไม่ใช่ทั้งหมด 


    ผมรู้สึกดีเพราะเขา
    แค่เขาอยู่กับผม
    แค่เราสองคน
    เท่านั้น


    และนั่นแหละ 


    เคล็ดลับการนวดของเขาที่เขาเองก็ไม่รู้ 

    อัศวินของผม

    อัศวินที่ไม่รู้อะไรเลย


    ตัวผมที่อยู่ลึกในหัวใจหัวเราะเยาะตัวเองที่เป็นได้ขนาดนี้
    ตัวผมที่อยู่ในกระจกแห่งจิตใจร้องไห้ ร่ำร้อง ที่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจทำอะไรได้


    เจ็บปวด
    ลึกลงไปถึงขั้วหัวใจ


    อยากให้เขาเป็นของผมตลอดไป
    ไม่ได้
    อยากให้เขาอยู่กับผมตลอดกาล
    ไม่ได้


    ตลอดไปเป็นคำโกหก
    และตลอดกาลไม่มีจริง




    ……….





    “ถ้าใครมารังแกดินอีก ดินต้องบอกวินนะ” 

    ผมในตอนที่ยังเด็กเงยหน้าขึ้นมองพี่ชายตัวเอง 

    อัศวินที่ไม่มีอะไรเหมือนผมเลยซักอย่างคนนั้น คนที่มักจะยิ้มแย้มร่าเริง หัวเราะสดใส เป็นคนที่เข้ากับทุกคนในชั้นเรียนได้ดี 

    อัศวินคนนั้นกำลังโกรธ โกรธที่น้องชายของตัวเองถูกรังแก 

    ดินแดนที่หน้าตาไม่ดี ขี้อาย แถมยังมีร่างกายอ้วนเทอะทะใส่แว่นเป็นเด็กเนิร์ด ดินแดนคนที่ไม่มีอะไรดีซักอย่างคนนั้น

    ดินแดนน้องชายของอัศวิน

    “อืม” 

    ผมพึมพำตอบ กลั้นก้อนสะอื้นในลำคอที่ตีขึ้นมา หัวใจพองโตขึ้นเพราะความรู้สึกถูกปกป้อง

    ที่เพิ่งได้รับเป็นครั้งแรก







    ก่อนหน้านี้เราสองคนเป็นเด็กฝาแฝดที่ไม่ถูกกันเท่าไหร่ เราไม่มีอะไรเหมือนกันเลยซักนิด 

    อัศวินที่สดใสร่าเริงและดินแดนที่ไม่มีอะไรดี 

    อัศวินเป็นเด็กหน้าตาน่ารัก เขาหัวไม่ดี ผมหมายถึงในเชิงวิชาการ แต่เขาเป็นคนที่เป็นที่รักของทุกคน เขารู้ว่าจะทำยังไงถึงจะเป็นที่รัก
    และพี่ชายฝาแฝดที่ไม่มีอะไรเหมือนผมก็ทิ้งผมที่ไม่รู้วิธีนั้นไว้เบื้องหลัง 

    เขาฉายแสงและผมเป็นเงา 

    ดินแดนเป็นเด็กที้ค่อนข้างเงียบ แต่ว่าหัวดี และแน่นอนว่านั่นเป็นเชิงวิชาการ ข้อดีผมมีเท่านั้น จบ
    ผมรู้ว่าอาจารย์และเพื่อนคนอื่นๆคิดยังไง ผมรู้ดี

    เป็นพี่น้องกันจริงๆเหรอ 

    ใครๆก็คิดแบบนี้ ขนาดผมยังคิดเลย 

    อัศวินบอกผมว่าเราจะทำเป็นเหมือนญาติกันเท่านั้นที่โรงเรียน พอลงจากรถที่แม่มาส่ง เราจะเดินด้วยกันจนพ้นสายตาของแม่ 

    หลังจากนั้น 

    ก็แยกย้าย ทำเป็นไม่สนิทกัน 

    เขาอายที่มีผมเป็นน้อง ผมคิดงั้น และก็มั่นใจว่าคิดถูกด้วย

    มั่นใจมาตลอด

    ‘ไอ้อ้วน’
    ‘หมูตอน’
    ‘หน้าเหมือนเชร็คเลยว่ะ ตัวเขียว’ 

    อีกมากมายที่ผมโดน 

    ไม่เคยบอกใคร เก็บเรื่องพวกนั้นไว้ลึกจนสุด ใส่กุญแจ ลงกล่องและตีหน้าเหมือนไม่รู้สึกอะไร ทั้งที่จริงๆผมรู้สึก 

    มันเหมือนกับผมมีกระจกอยู่หนึ่งบาน เป็นของๆผมที่มีมาตั้งแต่ต้น 

    ก่อนจะถูกคนรอบข้างขว้างอะไรบางอย่างใส่มัน 


    ‘แหม แต่ว่าไม่เหมือนคนพี่เลยนะคะ’

    ปาเข้ามาครั้งที่หนึ่ง

    ‘แน่ใจนะคะว่าฝาแฝด’

    แตกร้าวในครั้งต่อๆมา

    ‘คนพี่ดีกว่าเยอะเลย’

    ทำลายกระจกแห่งตัวตน
    ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
    ครั้งแล้วครั้งเล่า 

    ผมบอกตัวเองให้ปล่อยมันไป 

    มีคนทำลายกระจกสิบครั้ง
    ผมบอกกับตัวเองว่าไม่เป็นไรสิบเอ็ดครั้ง 

    จนกระทั่งวันที่ผมเริ่มปลอบตัวเองครั้งที่เก้าไม่ไหว ไม่มีแรงจะเริ่มคำที่สิบ และครั้งที่สิบเอ็ดอีกต่อไป 


    น้ำตาก็ท่วมท้น ไหลนองจนท่วมกระจกในนั้น บานกระจกเริ่มแตกสลายอย่างช้าๆ 


    เป็นวันศุกร์ตอนเย็น ผมกับอัศวินจะเดินกลับบ้านเพราะแม่จะเลิกงานช้ากว่าที่พวกเราเลิกเรียนและโรงเรียนไม่ได้ไกลจากที่บ้านนัก 

    วันที่บานกระจกใกล้ทนไม่ไหว 

    ผมถูกขังไว้ในห้องเก็บของของโรงเรียน ในเย็นวันศุกร์ที่ไม่มีผู้คน ความคึกคะนองของเด็กบางคนทำให้ผมติดแหง็กในห้องที่จะไม่มีใครผ่านมาจนกว่าจะวันจันทร์ 

    ผมร้องไห้จนเหนื่อย ทุบตีประตูจนมือบวมทั้งสองข้าง น้ำตามากมายถูกรีดเร้นออกมาจนเผลอหลับไป
    ผมจะตาย ผมคิดแค่นั้น 

    อัศวิน
    อัศวิน
    อัศวิน 

    ผมเรียกหาอีกครึ่งของตัวเองอย่างนึกเสียใจ ทั้งโกรธทั้งเกลียดเขาแต่ก็ยังเรียกหาเขา

    โทษว่าเป็นความผิดของเขาที่ผมจะตายอย่างน่าสมเพชที่นี่

    ร้องขอให้เขามาหาผมที ช่วยสังเกตตัวตนผมบ้าง

    โทษเขา
    ขอร้องเขา

    ซ้ำไปซ้ำมา เหมือนกับสวดมนต์




    ตึง!
    “ดิน! ดิน!!”
    แล้วเขาก็มา






    ผมร้องไห้กอดเขาที่ไปตามลุงภารโรงมาเปิดกุญแจ กำเสื้อเขาไว้แน่นจนมันแทบจะขาด เรียกชื่อเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เกลียดเขาโกรธเขาแต่กลับดีใจที่เห็นเขา

    และกระจกในตัวผมถูกเขาค้นพบ เขากอบเก็บเศษกระจกพวกนั้นขึ้นมา เอามาประกบ

    ทีละชิ้น

    ทีละชิ้น

    นานนับปี

    กระจกบานนั้นค่อยๆเหมือนเดิมและผมค้นพบว่าเงาที่สะท้อนบนนั้น ไม่ใช่ตัวผมอีกต่อไป

    กระจกที่สะท้อนแต่ตัวเองของผม

    สะท้อนใครบางคนออกมา

    เป็นอัศวิน

    อัศวินของผม

    ผมหลงรักเขา
    แบบที่ไม่ใช่แค่พี่น้องอีกต่อไป

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in