เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
My way of life.Cheng Namfon
Life in Singapore - ชีวิตของฉันในต่างแดน 02
  • วันแรกกับการไปโรงเรียนในต่างแดนเป็นอย่างไร ? เชื่อฉันสิ ว่าผ่านมาหกปีแล้วฉันก็ยังคงจำความรู้สึกในวันนั้นได้อย่างชัดเจน

     เคยไหมเวลาที่เครียดหรือตื่นเต้นมากๆเเล้วจะปวดท้อง ใช่เเล้วละ มันปวดสุดๆไปเลย ยิ่งกับฉันที่มีโรคกระเพาะประจำตัวอยู่ด้วยยิ่งเเล้วใหญ่ ประกอบกับการทานข้าวเช้าที่เป็นไมโลร้อนหนึ่งแก้วและขนมปังปิ้งสอดไส้สังขยาสองแผ่น ไม่รู้สิ สำหรับฉันเวลาที่อาการมันกำเริบเเล้วมีอาหารอยู่ในกระเพาะมันจะยิ่งทวีคูณความเจ็บปวดให้มากขึ้นไปอีกหลายเท่า แต่ว่ามีอยู่สิ่งหนึ่งที่ฉันชอบทำจนติดเป็นนิสัยเวลาปวดกระเพาะคือทรุดลงไปนั่งยองกับพื้น ผ่านไปสักพักอาการมันก็จะดีขึ้นเอง 

    หลังจากนั้นคุณพ่อก็พาฉันมาส่งที่โรงเรียน ก่อนอื่นเลยก็ต้องไปรายงานตัวที่ห้องธุรการ เราไปกันเช้ามาก ประมาณหกโมงกว่าๆ แทบจะไม่มีเด็กนักเรียนอยู่กันเลย แต่ละโรงเรียนในสิงค์โปรจะเข้าเรียนเเละเลิกเรียนไม่เหมือนกันแต่เวลาก็ค่อนข้างจะไล่เลี่ยกัน โรงเรียนของเราเข้าเรียน 7.15 น. เลิกเรียนตอนบ่ายโมงหรือบ่ายโมงครึ่งเเล้วเเต่วัน 

    หลังจากรายงานตัวเสร็จ คุณพ่อก็เดินไปส่งเราที่ห้องเรียน ความรู้สึกตอนที่เดินเข้าไปนั้นราวกับกำลังเข้าไปในดินแดนแปลกแยกที่มีแต่คนที่ตัวเล็กกว่าเราหมดเลย ทุกสิ่งทุกอย่างมันช่างแตกต่างจากห้องเรียนในประเทศไทยที่เราใช้เรียนมาตลอด9ปีเหลือเกิน ตัวโต๊ะและเก้าอี้ที่ทำมาจากเหล็กและพลาสติก สีสันของโต๊ะเเละเก้าอี้ก็ช่างฉูดฉาด การจัดเรียงก็จะเน้นไปเป็นกลุ่มๆให้สะดวกต่อการเรียนการสอน เพราะที่นี่จะเน้นไปทางการทำงานกลุ่มซักส่วนใหญ่ อีกส่วนหนึ่งก็เพื่อให้คุณครูดูแลเด็กนักเรียนได้อย่างทั่วถึง กระดานที่ไม่ใช่กระดานดำกับชอล์ก และโปรเจคเตอร์กับโน๊ตบุ๊คที่อยู่บนโต๊ะของคุณครู

    สิ่งต่างๆที่เราได้เห็นยิ่งเพิ่มความกดดันให้กับตัวเราเอง จะทำอย่างไรดี? จะต้องทำอะไรต่อ? อนิจจา คุณพ่อที่เป็นที่พืึ่งเพียงหนึ่งเดียวของเราก็เป็นอันต้องกลับไป เหลือเพียงแค่เรากับกระเป๋าสะพายใบใหญ่ที่หลังเเละอีกหนึ่งกระเป๋าผ้าใบใหญ่ที่ไหล่ ที่ภายในบรรจุไปด้วยหนังสือเรียนของทั้งปี 

    เด็กนักเรียนต่างมองมาที่เราด้วยความสนใจอยากรู้ คุณครูให้เราไปนั่งที่ว่างตรงหลังห้อง จากนั้นก็ให้เรายืนขึ้นพร้อมเเนะนำตัวเอง เราเป็นคนที่ขึ้อายมากถึงมากที่สุด กับคนแปลกหน้าเราจะไม่พูดด้วยสักคำ แต่นี่คือคนแปลกหน้ากว่าสี่สิบคน ยิ่งเห็นสายตาของทุกคนเรายิ่งตื่นตระหนกเข้าไปอีก สุดท้ายเเล้วเราก็รวบรวมสมาธิเเละความกล้าแนะนำตัวเองด้วยภาษาอังกฤษแบบงูๆปลาๆไป 

    พอทุกคนรู้ว่าเรามาจากประเทศไทยก็ตื่นเต้นกันยกใหญ่ เพราะเด็กนักเรียนไทยในโรงเรียนรัฐบาลมีน้อยมาก ที่โรงเรียนของเราก็มีเราเป็นเด็กไทยแค่คนเดียว และบางคนถึงจะมีเชื้อไทยเเต่ก็พูดไทยไม่ได้เลยเพราะเติบโตในประเทศสิงค์โปรกันทั้งนั้น ถึงจะเหงามากแค่ไหนก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากจะต้องปรับตัวไปเอง

    ตอนไปแรกๆเราพูดภาษาจีนได้ดีกว่าภาษาอังกฤษเพราะคุยกับคุณพ่อก็ใช้แต่ภาษาจีน เพื่อนที่เราคบด้วยก็เลยมีแต่คนจีน อยู่ไปนานๆเข้าเพื่อนรอบตัวก็มีแต่คนจากประเทศจีนทั้งนั้นไม่ก็เป็นเด็กต่างชาติเหมือนกับเรา อาจจะเป็นเพราะว่าเราเข้าใจกันได้ดีกว่าละมั้ง เพราะอย่างนี้ภาษาจีนของเราก็เลยดีขึ้นเร็วมากๆ ต่างจากภาษาอังกฤษสุดๆ  

    แต่เราก็ต้องยอมรับว่าส่วนหนึ่งมันก็เพราะว่าเราไม่ได้ตั้งใจที่จะพัฒนาภาษาอังกฤษของเราจริงๆ พอมาคิดๆดูในตอนนี้มันก็ช่างน่าเสียดายช่วงเวลาเหล่านั้นเหลือเกิน แต่ว่า life must go on ละนะ.
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in