เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
สวัสดิ์ดีเพื่อนที่ชื่อว่า "โรคซึมเศร้า"Depressive Disorder; My story isn't over yet :)
สวัสดิ์ดีเพื่อนที่ชื่อว่า "โรคซึมเศร้า" #6
  • เล่าเรื่องราวมามากมายแต่ก็ยังไม่เคยเล่าว่าทำไมผมถึงมาอยู่ ณ จุดนี้ได้

    เรื่องมันมีอยู่ว่า.....

    เริ่มจากต้นปี 2559 ใกล้วันแต่งงานของคน 2 คนนั้นคือผมกับแฟน...... แฟนผมไปหาหมอตอนเช้าเพราะปวดท้องอืดบ่อย ช่วงบ่ายๆเธอโทรหาผมบอกว่าต้องตรวจเลือดด้วยผมชักใจไม่ดีเลยรีบออกจากที่ทำงานไปหาเธอทัน.......

    ผมไปถึง รพ. ก็ได้ผลตรวจทันทีที่ผมไปถึงแผนกช่องท้อง หมอก็พูดว่าต้องไปอีกแผนกพอดีผลที่ตรวจ ต้องไปแผนก !@#$%^&*( ภาษาไรไม่รู้ พอเรากำลังขึ้นบันไดเลื่อนไปที่แผนก ผมจับมือถือแน่นมาก แล้วพร้อมสู้ไปกับแฟนผมไม่ว่าจะเกิดอะไรก็ตาม.......เพราะมันคือแผนกมะเร็ง

    ไม่ถึง 30 ก่อนวันพิเศษของคนสองคน เราได้เจอถุงน้ำที่ท้องของแฟน ขนาด 18*20 ซม ซ้ำเข้าไปอีกเราก็ก้อนเนื้อที่รังไข่ด้านขวา เราสองคนใช้เวลาไม่นานในการตัดสินจะทำการผ่าตัด.......

    ก่อนหน้าเหตุการณ์เหล่านี้ผมกับแฟนผมวางแผนอนาคตว่าจะมีลูก จะสร้างครอบครัวตามประสาคนกำลังจะแต่งงาน เราปล่อย ไม่ได้คุมก่อนแต่งงานถึง 3 เดือน (โชคดีที่ไม่ติด)

    การผ่าตัดมีผลที่ออกมาได้หลายรูปแบบคือ
    1. โชคดีก็ตัดรังไข่ข้างเดียว
    2. โชคร้ายก็ต้องเอาออกทั้งหมด
    3. โชคร้ายกว่าคือเป็นมะเร็ง

    ผมกลับบ้านเก็บของเปลี่ยนผ้าอาบน้ำ เพราะใช้เวลาผ่าตัดค่อนข้างนาน และอีกอย่างคือพ่อกับแม่ผมบอกให้กลับหลังจากไม่ได้นอนมาเกือบ 70 ชม.

    ผมลายถามตลอดทางว่าผลออกยัง ผ่าเสร็จยัง........

    เงียบไม่มีอะไรตอบกลับมา.......ใจหว้าวุ่นมาก ทำให้เราต้องรีบเก็บของและก็อาบน้ำออกจากบ้านไป รพ. ทันที

    พอไปถึงทุกคนร้องไห้กัน แม่เดินมาบอกผม "ก้อนเนื้อมันดูไม่ดีนะ ต้องเอาออกหมด แล้วก็เจอก้อนเนื้อกับพังผืดอีกที่ลำไส้ ต้องรอผลอีกก 7 วัน ถ้าเป็นเนื้อร้ายก็เป็นมะเร็งขั้นสุดท้าย"

    ใจผมสลายกับแผนที่วางไว้ทั้งหมด......ผมร้องไห้แบบที่ไม่เคยร้องมาก่อนในชีวิต

    ผมโทรไปหาเพื่อนสนิทมากคนนึง ผมไม่ได้พูดอะไรมากมายนักเพราะผมร้องไห้กับเขาอย่างเดียว.......

    หลังจากผ่าตัดเสร็จแฟนผมออกจากห้องตัด ผมบอกกับตัวเองว่าพอ จะไม่ร้องไห้ให้เขาเห็นอีก เราจะต้องเข้มแข็งเพื่อคนที่เรารัก เพราะเรารู้ว่าเขาจะไม่พร้อมรับเรื่องราวที่เกิดขึ้น.......

    แล้วมันก็ใช่อย่างที่เราคิด..........ทรมาน

    7 วัน 6 คืนกับการนอนเพียงวันละ 2-5 ชม. ต่อวัน ที่ไม่สามารถบอกให้แฟนตัวเองรับรู้ได้ว่าเราเจอเนื้ออีกจุดที่ลำไส้.........

    ยิ้ม เรา ได้แต่ยิ้ม ยิ้ม ยิ้ม แล้วก็ยิ้มกับทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้นรอบตัวเรา........หายใจไม่เต็มปอดสักที.........

    ผลออก.....โชคดีเป็นแค่พังผืด เราโล่งอก.........

    เรื่องราวร้ายๆเหมือนจะจบ........แต่มันยังไม่จบ

    เราแต่งงานกันหลังจากที่ผ่าตัดในวันที่เราเลือกไว้แต่แรก........มีความสุขเหลือเกิน ความสุขเป็นแบบนี้นี่เอง แต่แล้วความสุขก็ถือมีดไว้ข้างหลัง..........

    แฟนผมอาการแย่ลงในด้านจิตใจ เพราะเราแพลนจะมีลูกกัน เธอเศร้าเสียใจ และผมรักเธอมากเท่ากับที่เธอเสียใจ รักจนถ้าเราเป็นแทนได้ เราก็คงจะเป็นแทนไปแล้ว.....

    เธอนอนร้องไห้เกือบทุกคืน เราเป็นกำลังใจให้ตลอดเวลา เธอล้มเราดึง เธอทรุดเราแบกเธอ ผมจะอยู่ข้างแฟนผมเสมอเวลาที่เธอเศร้าเสียใจ ผมเข้าใจเธอ เข้าใจมากเพราะผมก็เสียใจแต่ผมไม่สามรถแสดงออกมาได้เพราะจะยิ่งทำให้เธอแย่เข้าไปอีก........

    2 เดือนจากเราแต่งงานกันผมแนะนำเธอให้ไปหาหมอจิตเวช เธอทำหน้างงงวย ว่าจะต้องทำถึงขั้นนี้เลยหรือ?

    ผมบอกว่าหมดหนทางแล้วละ......ไม่รู้จะช่วยเธอยังไงแล้ว

    “โรคซึมเศร้า”......หมอวินิจฉัยออกมาแบบนั้น

    ผมไม่เคยรู้เลยว่าโรคซึมเศร้าคืออะไร เป็นแล้วจะเป็นอะไร อาการมันคืออะไร......

    เราซื้อบ้านหลังจากนั้นไม่นานและหวังว่าทุกอย่างจะดีขึ้น.....

    แฟนผมมักจะมีอาการซึมเศร้าบ่อยและนาน......แต่หลังจากพบหมอแล้วกินยา พบนักจิตบำบัดก็ดีขึ้น.....แต่กับเรามันสวนทางกัน........สวนทางกับเรา.......

    คืนนึงผมนอนตื่นมาได้ยินเสียงแฟนร้องไห้.... ผมถามร้องไห้หรอ เธอบอกป่าวนะ เธอหลับไปแล้ว......นี่คือสิ่งแรกที่ผมเจอ เธอนอนร้องไห้ด้วยจิตใต้สำนึก.......

    รองรับอารมณ์....ผมเปรียบเสมือนแก้วรับอารมณ์ของแฟนผมไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ จะดีหรือจะเศร้า ดั่งน้ำที่เถเข้ามาแบบแก้วใบนี้ไม่มีวันเต็ม........ขมขื่น....

    เธอไม่สามารถเจอเด็กหรือคนที่มีครอบครัวได้ แทบจะไม่ได้เลย...ผมเข้าใจเธอแม้กระทั่งผมเองก็เป็นช่วงนั้นแต่ต้องเก็บมันไว้.......มันเจ็บปวดนะ

    แต่ผมไม่เข้าใจว่าทำไหมมันถึงเป็นนานแล้วรุนแรงขึ้น บางครั้งก็ปกติ ผมเริ่มหาทางรับมือไม่ไหว เป็นกำลังใจให้ตลอดเวลาที่เธอล้ม ลุก คลกคลาน กับชีวิตแบบนั้น.......ชีวิตที่ใครๆก็ไม่เข้าใจเธอ ไม่เข้าใจผม แม้กระทั่งตัวเราเองยังไม่เข้าใจตัวเราเองเลย.........อดทน

    เธอกลายเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายไปโดยที่เธอไม่รู้ตัว แต่ผมก็จะช่วย จะพยายามดันเธอออกจากมุมๆนั้นได้ตลอดเวลา......กลับกันเรากลับถลำลึกเข้าไปในความว่างปล่าวของ "โรคซึมเศร้า" แบบที่เราไม่รู้ตัว

    คนรอบข้าง รอบตัวเธอและผมมักจะถามว่าเป็นยังไงบ้าง......ดีครับ สบายดีครับ ไหวครับ สู้อยู่ครับ....ยิ้ม ยิ้ม แล้วก็ยิ้ม........

    ผมไม่เคยพูดไม่เคยได้ระบายออกมาให้ใครฟังว่าผมต้องเจอกับอะไรบ้างในวันวันนึง.......

    หลังจากนั้นไม่นานผมต้องไปนอนเฝ้าอาม่าของผม......เนื่องจากมันใกล้ที่ทำงานผม คนอื่นไปมาลำบากอีกอย่างเขาคือคนที่เลี้ยงเรามาตั้งแต่เล็กๆ เรารักเขา เราจึงอาสาเป็นคนนอนเฝ้า........เป็นการคิดที่ทำร้ายตัวเองมาก

    อาม่านอนฝันร้ายเกือบทุกคืน แฟนเรานอนร้องไห้เกือบทุกคืน........ชีวิต

    แต่ผมไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่โทษ เพราะผมเข้าใจว่าเขาเป็นอะไร......ดูดกลืน

    เรากลายเป็นคนนอนไม่หลับมาเกือบ 2 ปี........ นอนร้องไห้ทั้งๆที่คนนอนข้างๆเรากำลังหลับ บางครั้งเราก็ร้องไห้พร้อมกัน แต่ผมรู้สึกตัวกับเขาที่ร้องไห้แบบไม่รู้สึกตัว......เจ็บปวดเหลือเกิน

    ความรู้สึกทรมาน เศร้า ทุกข์ อึดอัด เริ่มมากขึ้นๆ น้ำเริ่มจะเต็มแก้ว......ยิ้ม ยิ้ม แล้วก็ยิ้ม แต่ความรู้สึกข้างในมันไม่ใช่เลย

    เรากลัวการออกไปข้างนอกบ้านมาก กลัวว่าวันนี้เราจะต้องเจอเรื่องราวร้ายๆที่ทำให้จิตใจเราแย่อีกไหม.....ร่างกายหรือจิตใจที่มีความอดทนมากกว่ากัน........

    ต้นปี 2560 เราเริ่มใช้แอลกอฮอล์ ในการทำให้เราหลับสบาย แต่เรามาคิดได้มันไม่ใช่ทางออก

    น้ำหนักลงไป 12 กก. ภายในปีเดียว.......

    กลางปีเรากลับมาสูบบุหรี่อีกตอนนี้ก็เพิ่งจากเลิกได้.........

    ปลายเดือนพฤศจิกายน 2560.......โรคซึมเศร้าที่แฝงในจิตใจก็ได้เผยตัวตนมันออกมา

    ย้อนกลับไปช่วงปลายเดือนมิถุนา วันนั้นผมจำได้แม่นว่าผมตัดสินใจจะยุติความสัมพันธ์กับแฟน เพราะผมไม่สามารถทนต่อไปได้แล้ว แต่ก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร

    ผมกลับคิดใหม่เราลองทำทุกอย่างเลยเพื่อความรู้สึกมันจะกลับมา เราจะกลับมารักเขาใหม่.......แย่ลง........มันทำร้ายตัวเราเอง

    เราต้องใส่หน้ากากความรักเข้าหาทั้งที่ใจเราไม่ใช่.........มันทำให้เราตกอยู่ความเศร้า ทนทุกข์กับมัน อึดอัดเข้าไปอีก

    ผมเรียกพ่อแม่ มาคุยที่บ้านว่าที่ผ่านมาผมเจออะไรมาบ้าง......ความรู้สึกที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปกับแฟนผม...ผมจะ.....ผมร้องไห้ ร้องไห้เหมือนวันที่ผลของการผ่าตัดออกมาอาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ

    วันรุ่งขึ้นผมเรียกแฟนมานั่งคุยกัน ผมก็ร้องไห้อีก แต่ไม่ฟัง ไม่ฟังผม ผมเข้าใจว่าทำไม......

    เธอแนะนำให้ผมไปหาหมอจิตเวชแบบเดียวกับเธอ......

    ผมรู้จักกับแฟนมา 17 ปี
    คบกันมา 15 ปี
    แต่งงานกันมาปีกว่า

    หลายคนงง หลายคนไม่เข้าใจ หลายคนไม่อยากจะเชื่อ ในวันที่ผมอธิบายสิ่งเหล่านี้ที่ผมเจอ ว่านี่คือทางออกแล้วหรอ..........แม้แต่คนที่คิดว่าเข้าใจเรามากที่สุดก็ยังไม่เข้าใจ..........

    เธอแนะนำให้ผมไปหาหมอจิตเวชแบบเดียวกับเธอ......

    ใช่ "โรคซึมเศร้า".... สวัสดิ์ดีอย่างเป็นทางการ :)

    "หืมคนอย่างมึงเนี่ยนะ" "เฮ้ย แน่ใจนะ" หลายคนไม่เชื่อว่าผมเป็น เพราะผมเป็นคนสนุกสนานตลอดเวลา ร่าเริง......แต่เขาเหล่านั้นไม่รู้หรอกว่าข้างในมันบอบช้ำขนาดไหน เจ็บปวด ทรมานขนาดไหน ในวันที่คนรอบข้าง คนรอบตัวเราไม่เข้าใจเรา ไม่รับรู้ว่าเราต้องเจอกับอะไรบ้าง.......

    โรคซึมเศร้า มันกัดกินผมตอนไหน............ตอบยากเพราะรู้ตัวอีกเราก็โดนมันกัดกินจนความรู้สึกที่มีต่อคนรอบข้าง ต่อแฟนผมมันหายไป.......น้ำหยดลงหินก้อนเดิมทุกวัน หินยังกร่อน.........

    ผมเคยรู้สึกเศร้า เคว้งคว้าง เจ็บปวดโดยที่ไม่รู้สาเหตุมาจากอะไร นานสุดก็น่าจะช่วงปลายเดือนเมษาไปเดือนพฤษภาคมทั้งเดือนเห็นจะเป็นได้......นานมากจนคิดว่าเราจะทนกับความรู้สึกพวกนี้ได้อีกนานแค่ไหน........

    คุณเคยหัวเราะอยู่แล้วอยู่ดีความรู้สึกเคว้งก็เข้ามาแทนที่ทันที เหมือนเรากำลังยืนอยู่บนหน้าผาแล้วหัวเราะอย่างมีความสุข ทันใดนั้นเราก็ตกลงไป..........ตกลงไปแล้วไม่รู้ว่าจะถึงพื้นเมื่อไร จากความกลัวกลายชินชา.........

    คุณเคยกำลังมีความสุข ณ ขณะนึงในชีวิตแล้วจู่ๆ ความรู้สึกอึดอัดเหมือนหายใจไม่เต็มปอดไหม............

    คุณเคยกำลังสนุกอยู่กับเพื่อนแล้วทันใดนั้นก็มีเหตุการณ์เลวร้ายแว็บเข้าในหัวทำให้คุณหยุด......เหมือนอยู่ดีๆ นาฬิกา มันก็หยุดเดิน ทุกอย่างเงียบทั้งๆทีรอบข้างเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะสนุกสนาน.........

    คุณเคยไหมว่าต้องตื่นมากลางโดนไม่รู้ว่าต้องตื่นมาทำอะไร แล้วไม่นานความหดหู่ก็เข้ามาครอบงำความมืดของกลางคืนนั้นไป...........

    คุณเป็นรึเปล่าเวลานั่งทำงานอยู่ดีๆ ก็มีความรู้สึกกระวนกระวายในจิตใจ......น้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัว..........

    คุณกำลังทำอะไรอยู่สักอย่างนึงในชีวิตประจำวันของคุณแต่อยู่ดีความเจ็บปวดก็เข้ามาแทนที่ ทำให้เราต้องหยุดทำสิ่งที่เราทำอยู่ ไปนั่งร้องไห้ ร้องไห้คนเดียว..........

    “ดาว”.....ไม่ใช่ดวงดาวบนท้องฟ้า แต่เป็นอาการอย่างนึงที่อธิบายไม่ถูก เป็นอาการที่ไม่อยากจะทำอะไรเลย แค่นั่ง แค่เดิน หายใจไปวันๆ ทิ้งตัวดิ่งลงสู้ก้นบึ้งของความมืดในใจตัวเอง..........................

    ผมเคยดาวหนักสุดก็ตอนกำลังทำงานผมเดินออกจากออฟฟิต โดยที่แบบเดิน เดินไป เดินไปไหนก็ได้ เดินไป พอรู้ตัวอีกทีก็ เฮ้ย!!! เรามาทำอะไรตรงนี้............เราเดินมาไกลมากเลยนะ..........

    เมื่อเรามีความรู้สึกแบบนี้ในหัว ในตัว ในร่างกายของเรา แต่บนโลกของสังคมความเป็นจริงมันยิ่งโหดร้ายกับเราเมื่อเราต้อง ยิ้ม ยิ้ม แล้วก็ยิ้มให้กับทุกสิ่งที่ประดั่งเข้าในชีวิต.......ผมเชื่อว่าการยิ้มเป็นการปกปิดสิ่งเหล่านั้นได้ดี แล้ว การยิ้มก็เอามีดมาแทงผมซ้ำแล้วซ้ำอีก โดนที่ผมไม่รู้ตัว.......

    ผมเหนื่อยล้าเหลือเกินช่วงนั้นเหมือนอยู่ในมืดมนของใจตัวเอง หาทางออกไม่เจอ หลงอยู่ในความรู้สึกที่โหดร้าย หลงทางหาทางออกไม่เจอ.........ยิ่งหาก็เหมือนยิ่งถล้ำลึกเข้าไปในใจกลางของสิ่งเหล่านั้น.........

    มันน่ากลัวมากจนอยากจะตะโกนออกไปดังๆ กลางผู้คนที่ล้อมรอบตัวเราว่า "พอ พอได้แล้ว หยุดสักที ขอร้องหยุดเถอะ เราจะไม่ไหวแล้วนะ" แต่ที่ทำได้คือการกรีดร้องอย่างเจ็บอยู่ข้างในความมืดที่เราสร้างขึ้นเอง..............ทรมานมาก

    ผมอยากจะให้คนเข้าใจผมแบบที่เข้าใจ ยิ่งอธิบายมากเท่า เหมือนกับตัวเราโดนดูดกลับเข้าไปในความ "เคว้งคว้างที่มืดเหลือเกิน"....... เพราะฉะนั้นนักจิตบำบัดคือคำตอบ.........

    การงานเริ่มหลุดมากขึ้น ชีวิตเริ่มเปลี่ยนไปจากเดิม เราเสแสร้งมากขึ้น เราใส่หน้ากากหาคนที่เรารักมาขึ้น เพื่อจะได้ไม่เจอความจริงที่ทำร้ายตัวเราเอง.......แต่รู้ไหมครับความจริงไม่ได้โหดร้ายเลย เพียงแต่มนุษย์แค่กลัว กลัวความจริงแค่นั้นเอง.........

    และแล้วความรักที่มีให้แฟนผมก็หมดไป หมดไปตอนไหน หมดได้ยังไง ความรู้สึกเหมือนเธอเป็นแค่เพื่อนคนหนึ่งในชีวิตของเราแทนที่จะเป็นภรรยา........

    เรากลับมามองตัวเอง มันเกิดอะไรขึ้นผมไม่เคยโทษเธอ ไม่เคยแม้กระทั่งโกรธเธอลย........มันเป็นที่เราเองที่ทำให้ความรู้สึกมันหายไปจากตัวผม ผมพยายามทำให้มันกลับมา แต่พอรู้ตัวอีกที่มันก็ดับไปหมดแล้ว...........

    อดีตที่ผ่านมามันหอมหวานเหลือเกินชีวิตที่มีแต่คนอิจฉา........แต่ไม่มีคนรู้ว่าว่าด้านหลังโรงละครของคนสองคนเป็นอย่างไร..............หดหู่เลยเกิน

    ตลอด7-8 เดือนที่ผ่านมาผมพยายามอย่างหนักก่อนที่ ก้อนหิน แก้วน้ำใบนั้นจะ กร่อน จะแตกไป กู้สถานการณ์กลับมา แต่ก็เหมือนกับว่า.......ว่างเปล่า ว่างเปล่า ว่างเปล่า.............

    มันยากนะที่จะเล่าเรื่องเดิมๆ ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า ให้ที่ไม่เคยเจอหน้า ไม่รู้จักฟัง ต้องตอบคำถามที่ขุดลึกชีวิตเรา แบบบางเราก็อยากจะลุกขึ้นแล้วชกหน้านักจิตบำบัด........ แต่เขากำลังช่วยเรา (ผมคิด)

    ผมหาหมอ + กับนักจิตบำบัด + กับการกินยา.....

    2 เดือนที่ทำตามที่หมอพูด ปรับความคิด ความอ่านตามที่นักจิตบำบัดแนะนำ มันดีขึ้น....

    คำถามหลายคำถามของหมอและนักจิตบำบัดที่ถามมันเตือนอะไรเราหลายๆอย่างมากจนไม่น่าเชื่อ มันทำให้ผมเจอทางออกของผม ทางออกที่มันชัดเจนขึ้น.........

    แต่เชื่อไหมคนรอบตัวมักไม่เข้าใจทางที่ผมเลือกเท่าไร.......ผมเลือกทางที่ผมเจ็บปวดน้อยที่สุดให้กับตัวผม......"ผมไม่ได้เห็นแก่ตัว แต่นี้คือโลกของความเป็นจริง" ความเป็นจริงที่มันจะโหดร้ายกับคนรอบข้าง แต่ผมเชื่อวันนึงเขาจะเข้าใจ.........

    เพราะผมก็คงยังยืนยันคำตอบของผมว่ามันคือทางออกที่ดีที่สุดแล้วสำหรับตัวผม........

    สองอาทิตย์ก่อนนักจิตบำบัดบอกผมว่า "ไม่ต้องมาเจอผมแล้วนะ ความคิดของคุณปกติดี" สภาพจิตใจคุณตอนนี้กลับมาแล้ว อย่าไปจมอยู่กับมัน

    ถ้าความคิดของคนเราขึ้นอยูกับเหตุและผลของมัน รู้ตัวว่าทำอะไรอยู่ แล้วต้องยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเลือก.....แบบตอนนี้ที่ผมได้ทำได้แล้ว

    อ่อลืมบอกไปผมเป็น “ซึมเศร้า แบบ ไบโพล่าห์” ถ้าเอาตามที่หมอพูดนะ ฮ่าๆ

    แต่ข้อดีอย่างนึงของผมที่หมอบอก "คุณไม่มีความคิดจะทำร้ายตัวเองหรือฆ่าตัวตายเลยนะ"

    “ใช่” ความคิดเห็นส่วนตัว การฆ่าตัวตายหรือทำร้ายตัวเองไม่ใช่ทางออกของโรคทางนี้ ยิ่งจะทำให้มันแย่ลง การฆ่าตัวตายก็เหมือนการ "ทิ้งโรคซึมเศร้า" ของเราให้คนที่ไม่เป็นมารับช่วงต่อ เราอยากให้คนที่เรารักมาเป็นแบบเราหรอ?

    คงเพราะเรารู้ว่ามันโหดร้ายแค่ไหนที่คนหนึ่งคนจะต้องมาเจอเรื่องราวอะไรแบบนี้..............เราอยากให้เขาเจอหรอ?

    ผมหันมากออกกำลังกาย และ อ่านหนังสือ กลับมาตกปลา กลับมาทำอะไรที่ตัวพลาดไป..........

    ออกมาใช่ชีวิตสู่โลกกว้าง ไม่ต้องนึกอะไรมาก ให้นึกถึงตัวเราให้มากขึ้น รักตัวเองให้มากขึ้น มันอาจจะดูเห็นแก่ตัว แต่เขาไม่ได้เป็นแบบที่เราเป็นเขาจะรู้ไหมว่าเราเศร้า ทุกข์ อึดอัด เคว้งคว้าง ทรมาน เจ็บปวดขนาดไหนขนาดไหน

    เพราะคนปกติเศร้า ทุกข์ อึดอัด เคว้งคว้าง ทรมาน เขาอาจจะใช้เวลาแค่ 3-4 วันก็กลับมากปกติแต่กลับกันคนอย่างพวกเรามันจะติดตัวไปตลอดชีวิต........มันจะวนมาเมื่อไรก็ไม่รู้........ “มันไม่มีทางหาย”

    เพราะฉะนั้นการรับมือ “โรคซึมเศร้า” ไม่ใช่เรื่องง่าย..........แต่ก็ไม่ยากถ้าเราตั้งใจจะทำ........ดีกว่านั่งรอความหวังที่มันจะหายไปจากตัวเราเอง..........ซึ่งไม่มีทาง

    เขาจะเข้าใจเราในแบบที่เราเข้าใจไหม บอกเลยว่าไม่ แค่เราเข้าใจตัวเราเองก็พอ.....เข้าใจแล้วก็ต้องปรับความคิด คิดบวก สู้เพื่อตัวเอง คนแบบเรา ถ้าเราไม่สู้เพื่อตัวเองก่อนใครจะมาสู้เพื่อเรา..........

    อย่าหวังให้คนอื่นเข้าใจเรา ถ้าเรายังไม่เข้าใจตัวเอง..........การเข้าใจตัวเองไม่ใช่เรื่องยาก แค่หาสิ่งที่เราทำแล้วมีความสุข.........

    ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าในมุมของผม ถ้าเรายังไม่เข้าใจว่าตัวเราเองกำลังประสบปัญหาอะไรก่อน ก็อย่าหวังให้คนอื่นเข้าใจ เราต้องเขาใจตัวเราเองก่อน.......

    #ในวันที่โลกเปลี่ยนสี
    #เพื่อนใหม่ของเราชื่อซึมเศร้านะ
    #สวัสดิ์ดีโรคซึมเศร้า

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
Sakura (@ikatch)
แม่ผมก็เป็นโรคซึมเศร้า โชคดี ที่เจอเร็ว แล้วรีบเข้ารับการรักษาอย่างรวดเร็ว ก็เลยไม่หนักหนาเท่าไรนัก ตอนที่แม่เป็น ผมก็ตัดสินใจเลิกกับแฟน เพียงเพราะ กดดัน แค่รับมือกับแม่ก็แย่แล้ว ต้องมารับมือกับความเอาแต่ใจของแฟนอีก

ผมไม่มีวันเข้าใจโรคนี้ได้เลย (และหวังว่าผมจะไม่เป็น) ผมคงเป็นเหมือนปลา ที่ถามเต่าว่า บนบกมันเป็นยังไง มีคลื่นเยอะไหม แค่เต่าตอบกลับมาว่า ไม่มีคลื่น มีแต่พื้นแล้วก็บางทีก็มีหยาดฝน ผมก็คงจะงงไปอีกหลายวัน

ขอให้คุณหายไวไว
@ikatch ขอบคุณครับ