เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Not today, he said.Ms.Ambiguous
The Mummy Kong
  • 26


     

    ผมไม่รู้ว่าพี่อู๋คิดอะไรอยู่ ไม่เคยรู้เลยว่าในสมองของชายวัยสามสิบสองที่ตกงานมีเรื่องแบบไหนอยู่บ้าง ผมไม่รู้และไม่เข้าใจจริงๆ ไม่เข้าใจว่าคุณอิศรินทร์วางแผนชีวิตตัวเองเอาไว้ยังไง แต่สำหรับนายก้องเกียรติในตอนนี้ – แค่คิดว่าต้องทำงานงกๆอาบเหงื่อตากน้ำทุกวันก็อยากร้องไห้แล้ว

     

    ปกติผมไม่ใช่คนขี้เกียจขนาดนั้น แต่งานช่างไม่ใช่ทางถนัดของผม ผมไม่ชอบ ไม่ว่ายังไงก็ไม่ชอบการทำงานในห้องเล็กๆที่ร้อนอบอ้าว ต้องผสมปูน ต้องออกแรงขนของยกของทั้งวัน ต้องนั่งหลังขดหลังแข็งประกอบตู้ไม้ให้คุณย่า กิจวัตรมันวนเวียนเป็นลูปไม่มีจุดสิ้นสุด ผมเบื่อ ผมเหนื่อย ผมเซ็ง ผมไม่อยากทำงาน

     

    ไม่อยากทำงาน

     

    ไม่อยากทำงาน

     

    “ผมไม่อยากทำงาน”

     

    นายก้องเกียรติหลุดปากพูดความในใจออกมา ผู้ปกครองของมันร้องฮะ? ก่อนจะถามซ้ำอีกครั้งว่าเมื่อกี๊พูดว่าอะไร

     

    “เปล่าครับ” ผมเฉไฉ “ผมไม่ได้พูดอะไร”

     

    เช้าวันหนึ่ง ผมจึงได้รู้จักกับความรู้สึกไม่อยากลืมตาแบบที่สอง แบบแรกคือตอนป่วย ผมไม่อยากลืมตา ผมอยากตาย อยากตื่นอีกทีก็ไม่ต้องใช้ชีวิต แต่การไม่อยากลืมตาแบบที่สองคือไม่อยากลุกขึ้นจากเตียง ผมไม่ได้อยากตาย แต่ไม่อยากตื่นมาทำงานที่ตัวเองไม่ชอบและไม่ได้เงินอีก ทุกเช้าหลังได้ยินเสียงนาฬิกาปลุก ผมจะโมโหจนอยากตะโกนออกมาดังๆว่ากูไม่อยากทำงาน! ไอ้เหี้ย! แต่ก็ทำได้แค่ข่มความโกรธในใจแล้วลุกขึ้นไปอาบน้ำ

     

    จริงๆนะ – ผมไม่เข้าใจพี่อู๋

    ไม่เข้าใจเลย

     

    ตกบ่าย เราละมือจากงานช่างไปช่วยกันประกอบเฟอร์นิเจอร์ ขณะที่กำลังต่อตู้เสื้อผ้าให้คุณย่า ผมอยากถามเขาว่าพี่ไม่เหนื่อยเหรอ พี่ไม่เบื่อเหรอ เมื่อก่อนเราเคยมีอิสระกว่านี้ตั้งเยอะ จู่ๆตารางเวลาถูกบีบให้ต้องตื่นมาทำงานที่ไม่ได้เงินทุกวัน ผมถามจริงๆเถอะ พี่ทนไหวได้ยังไง

     

    “ยาผมใกล้หมดแล้ว”

     

    ผมชวนคุยเพราะอยากรู้ว่าพี่อู๋จะเอายังไง

     

    “เดี๋ยวค่อยกลับไปหาหมอ”

    “เมื่อไหร่ครับ?”

    “อาทิตย์หน้า ในเมืองก็มีหมอ เดี๋ยวพี่พาไป”

     

    พาผมไปหาหมอที่สมเด็จเจ้าพระยาเดี๋ยวนี้เลยนะ – พาผมกลับไปหาหมอเดี๋ยวนี้เลย

     

    ผมร้องตะโกนอยู่ในใจเพราะพูดออกไปไม่ได้ การบอกผู้มีพระคุณว่า ไม่อยากทำงานแล้ว อย่าบังคับจะได้ไหม คงเป็นเรื่องน่าละอาย ผมละอายใจทุกครั้งที่รู้สึกเกลียดงาน พี่อู๋เองก็กำลังลำบาก ถึงจะขี้เกียจ แต่เขาก็ไม่หนีไปนอนกินแรงคนเดียว เขาอยู่ช่วยผมทำงานทุกวัน ทนฟังคำบ่น คำติของอาเจี๊ยบที่ไม่มีวันจบสิ้น เขาเองก็อยู่ในสถานะเดียวกับผม ถ้าพี่อู๋ทนได้ นายก้องเกียรติก็ต้องทนได้ ใช่ – ต้องทนให้ได้ ต่อให้จะเกลียดการปูกระเบื้องขนาดไหน ถ้าพี่อู๋พูดว่า ไปทำงานกันเถอะ ผมก็จะก้มหน้าก้มตาทำ ไม่ปริปากบ่นให้เขารำคาญ

     

    วันเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า กอริลลาตัวหนึ่งได้แต่กรีดร้องในใจว่าเกลียดอาเจี๊ยบ ผมรู้ว่าตัวเองเป็นเด็กนิสัยเสียที่โดนดุนิดหน่อยก็เก็บมาคิดเล็กคิดน้อย แต่ให้โกหกว่าไม่รู้สึกอะไรก็ไม่ไหวเหมือนกัน อาเจี๊ยบชอบพูดเชิงว่าเรามันทางเลือกน้อย มีงานอะไรให้ทำก็ทำไป ผมอยากบอกอาเจี๊ยบว่าเออ ผมมันทางเลือกน้อย ขอโทษที่แม่ตาย ขอโทษที่ไม่กล้าเอ่ยปากขอทุนจากแน คนไม่มีใบปริญญาอย่างผมคงเลือกงานเหมือนคนอื่นไม่ได้ แต่อย่างน้อยผมควรได้เลือกว่าจะทำงานอะไรไม่ใช่เหรอ ต่อให้ไม่จบปริญญาตรี – ผมยังมีสิทธิ์หางานอื่นที่ไม่ต้องปูกระเบื้อง ฉาบปูน ทาสี ประกอบเฟอร์นิเจอร์ไม่ใช่เหรอ แต่นี่ผมไม่ได้เลือกไง งานรีโนเวทบ้านไม่ใช่สิ่งที่ผมเลือกตั้งแต่แรก ผมถูกบังคับให้ทำทางอ้อม ผมโดนพี่อู๋จับใส่กรอบโดยไม่สมัครใจ ถ้าอาเจี๊ยบบ่นหรือเข้มงวดเรื่องงานช่างเพราะอยากให้บ้านของคุณย่าออกมาสวย ผมไม่ว่า แต่ถ้าอากวดขัน คอยจ้ำจี้จ้ำไชให้ผมตั้งใจทำงานเพื่อเป็นช่างที่ดีในอนาคต ผมขอปฏิเสธความหวังดีของคุณอาก็แล้วกัน เพราะผมไม่ได้อยากเป็นช่างก่อสร้าง ผมไม่อยากทำงานช่าง ได้ยินไหมครับ ไม่อยากทำงาน ไม่อยากทำงาน ไม่อยาก –

     

    “เหนื่อยหม้ายก้อง?”

     

    น้ำเสียงอ่อนโยนของคุณย่าดังขึ้นข้างหลัง ผมที่กำลังโมโหฟึดฟัดก็ใจอ่อนทันทีเมื่อเห็นคุณย่าหิ้วถังพลาสติกเล็กๆ ใส่แดงโซดาเย็นๆมาให้

     

    “ย่าบอกอู๋แล้วให้จ้างคน”

    “ไม่เป็นไรครับ อย่าจ้างให้เปลืองเงินเลย ผมทำได้”

     

    ผมยิ้มและรับน้ำหวานเย็นๆมาดื่ม ถ้าไม่ติดว่าคุณย่าใจดีมากๆ ผมคงโยนทุกอย่างทิ้ง และโบกรถกลับกรุงเทพแล้ว

     

    “งานแบบนี้อย่าทำเลย เหนื่อยเปล่า” ย่านั่งบนเตียงขณะมองกอริลลาก้องใช้ไขควงหมุนน็อต “คุณแม่เสียแล้วเหรอ?”

    “ครับ”

    “ลำบากหม้าย” (ลำบากไหม?)

    “ไม่ครับ ผมไม่ลำบากเพราะพี่อู๋เลี้ยงผมดีมากๆ”

    “ย่าใช้แรงก้องทำงานแต่ไม่ได้ให้เงินเลย”

    “ไม่เป็นไรครับ แค่ข้าวกับที่นอนก็พอแล้ว”

     

    คุณย่าเงียบไปพักนึงก่อนจะเดินออกจากห้อง สวนทางกับพี่อู๋ที่ปั่นจักรยานไปซื้อไอศกรีมตามคำขอของกอริลลาก้อง คุณอิศรินทร์ส่งไอศกรีมถั่วแดงให้ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ เขาใช้มุมปากฉีกซอง และนั่งกินอย่างเอร็ดอร่อย ผิดกับนายก้องเกียรติที่หน้าบึ้ง ไม่ยอมพูดแม้แต่คำว่าขอบคูณครับตอนเอื้อมมือไปรับไอศกรีม

     

    “พรุ่งนี้ไม่ต้องทำงานนะ พี่จะพาก้องไปเที่ยว”

    “เที่ยวไหนครับ?”

     

    ผมถามเซ็งๆ ไม่ตื่นเต้นเพราะเราเคยไปรอบๆบ้านของคุณย่ามาหมดแล้ว ทั้งวัดริมทะเล บ้านญาติที่อยู่ใกล้น้ำตก บ้านกลางสวนยางของเพื่อนคุณย่า ร้านขายของชำปลีกย่อยเราก็ไปเยือนมาหมดแล้ว โลตัสก็ไปมาแล้ว ร้านขายวัสดุก่อสร้างก็ไปจนเบื่อแล้ว ดังนั้นตอนที่พี่อู๋พูดว่าจะพาเที่ยว ผมจึงไม่รู้สึกว้าวอีกต่อไป

     

    “คีรีวง”

     

    ผมไม่รู้ว่าคีรีวงคืออะไร คิดว่าคงเป็นหาดๆนึงที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านของคุณย่า แต่วันรุ่งขึ้น พี่อู๋ก็ขับรถย้อนกลับเข้าไปทางตัวเมือง ถึงสี่แยกเบญจมแล้วเลี้ยวขวา พากอริลลาก้องเข้าดงป่าที่ไม่มีวี่แววของหาดทรายเลย

     

    ทางเข้าคีรีวงเหมือนหมู่บ้านลับแล ยิ่งขับเข้าไปเรื่อยๆยิ่งเจอแต่ถนนคดเคี้ยวสูงชันโดยมีผืนป่าโอบล้อมเอาไว้เหมือนหลุดเข้ามาอีกมิติ ผมถามพี่อู๋ว่าคีรีวงไม่ใช่ทะเลเหรอ เขาหัวเราะขำแล้วถามว่าไม่รู้จักคีรีวงเหรอ

     

    “ในพันทิปมีเขียนไว้เยอะแยะ”

    “จังหวัดพี่เองแท้ๆ ยังต้องพึ่งพันทิปอีก”

    “เมื่อก่อนจังหวัดพี่ไม่ใช่เมืองท่องเที่ยว เพิ่งมาบูมเมื่อไม่กี่ปีนี้เอง ช่วงจตุคาม”

    “ทะเลเหรอ?”

    “พระเครื่อง” พี่อู๋ส่ายหน้าเพราะนายก้องเกียรติสอบตกวิชาประเทศคอน101 “พี่เห็นก้องเครียดๆ เลยอยากพามาเปิดหูเปิดตา”

     

    ผมนึกขอบคุณพี่อู๋ในใจที่เมื่อผมใกล้ถึงจุดเม้งแตก เตรียมวางแผนโยนเกรียงกับเครื่องมือช่างทิ้ง คุณอิศรินทร์ก็พากอริลลาประสาทแดกมาพักผ่อนหย่อนใจ ต้องใช้คำว่าพักผ่อนหย่อนใจจริงๆเพราะคีรีวงไม่มีร่องรอยของสังคมเมืองใหญ่อยู่เลย ราวกับบ้านเรือนและการใช้ชีวิตถูกสตัฟฟ์ไว้ให้เป็นแบบนี้ เราสามารถแยกคนท้องถิ่นออกจากนักท่องเที่ยวได้ด้วยตาเปล่า ถ้าเป็นชาวบ้านก็จะดูปกติธรรมดาทั่วไป แต่ถ้าเป็นนักท่องเที่ยวจะมีกล้องถ่ายรูปหรือไม่ก็สวมชุดสวยๆมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ ตอนที่ขับรถข้ามสะพานใหญ่ ผมเห็นคนยืนถ่ายรูปกับป้ายสะพานบ้านคีรีวง จุดนั้นไม่เคยว่างเลยเพราะมีนักท่องเที่ยวจ่อคิวถ่ายรูปตลอด พี่อู๋ถามว่าอยากถ่ายไหม ผมตอบทันทีว่าไม่ ถ่ายไปก็ไม่รู้จะให้ใครดู แม่ไม่อยู่แล้ว ใครมันจะสนใจว่าผมไปเที่ยวไหนล่ะ

     

    รถวีออสของเราต้องขับหลบให้รถที่วิ่งสวนมาแทบจะตลอดทาง ถนนที่นี่ค่อนข้างเล็กและแคบ พอเจอทัวร์ลงก็ยิ่งแคบจนแทบไม่ได้เหยียบคันเร่ง พี่อู๋กับผมหงุดหงิดนิดหน่อยเมื่อรู้สึกว่าคนพลุกพล่านไม่ต่างอะไรกับห้างในกรุงเทพเลย เขาบอกว่าช่วยไม่ได้ ประเทศคอนมีที่เที่ยวไม่เยอะ พอที่ไหนแมสก็ไม่แปลกที่คนจะพากันมาพักผ่อนจนแออัด

     

    “อย่าเพิ่งเซ็งสิ” พี่อู๋เอื้อมตัวมาดึงหูนายก้องเกียรติที่ทำหน้าเหม็นเบื่ออยู่ข้างๆ “พี่พามาหาของอร่อยกิน ไม่ได้พามาเบียดคน”

    “เราจะค้างที่นี่ไหมครับ?”

    “ค้าง” พี่อู๋พยักหน้า กอริลลาก้องหัวใจสลายเมื่อรู้ว่าต้องติดอยู่ในคีรีวงที่คนเยอะจนหัวไหล่แทบชนกัน “พี่จองห้องบนเรือสำราญไว้แล้ว รับรองก้องต้องชอบแน่ๆ”

     

    จะเรือสำราญหรือไททานิกก็ไม่มีผลอะไรทั้งนั้นแหละ

     

    ผมคิด หรือจริงๆแล้วอาการนอยด์พวกนี้ไม่ได้เป็นเพราะจำนวนนักท่องเที่ยว แต่เป็นเพราะหงุดหงิดจากการโดนใช้งานหนักกันแน่ พออารมณ์ไม่ดีทีไรผมชอบดึงหน้าตลอด นึกๆดูก็รู้ตัวว่าพฤติกรรมแบบนี้ไม่น่ารัก แต่ทำไงได้ พอคิดถึงหน้าอาเจี๊ยบ เสียงดุๆของแกก็ดังในหัว คำสอนเกี่ยวกับทางเลือกที่มีไม่มากดังซ้ำไปซ้ำมาจนผมรำคาญ อยากควักเอาสมองตัวเองออกมาจากกะโหลกแล้วล้างน้ำจนกว่าจะลืมอาเจี๊ยบและงานพวกนั้นได้

     

    เราติดยู่บนถนนเกือบสิบหานาทีก่อนพี่อู๋จะลัดอ้อมขึ้นเขา ผมไม่รู้ว่าจุดหมายปลายทางของเราคือที่ไหน แต่ขับตามจีพีเอสซักพักถึงรู้ว่าพี่อู๋กำลังพาไปกินข้าว มื้อเที่ยงวันนี้คือขนมจีนป้าเขียว จุดเด่นไม่ใช่รสชาติแต่เป็นจำนวนลูกค้าที่นั่งอยู่ในร้านต่างหาก ยังดีหน่อยที่ร้านเป็นประเภทบริการตัวเองเลยไม่ต้องเสียเวลารอเด็กเสิร์ฟ หลังจอดรถเสร็จเราก็จัดการหาของอร่อยใส่ปาก คุณอิศรินทร์กับนายก้องเกียรติกินขนมจีนไปหนึ่งกิโลครึ่ง ไก่ทอดสี่ชิ้น และปิดท้ายด้วยขนมหวานเป็นข้าวเหนียวดำเปียกอีกสองถ้วย เรากินกันจนพุงกาง กินจนเรอเป็นกลิ่นแกงกะทิ กินจนพี่อู๋ต้องเดินพยุงท้องกลับรถเพราะยัดลงกระเพาะมากเกินไป

     

    “คนโลภ” ผมว่าเมื่อเห็นคุณอิศรินทร์ขยับตัวช้าๆเพราะอิ่มจนจุก “ตอนบ่ายไปไหนครับ?”

    “เล่นน้ำตก”

     

    พี่อู๋บอกและขับรถกลับหมู่บ้านคีรีวง เราแวะเก็บกระเป๋าที่รีสอร์ทก่อนจะขับรถขึ้นไปบนภูเขา แน่นอนว่าเราไม่ได้พักบนเรือสำราญเพราะคีรีวงไม่ใหญ่พอสำหรับเรือสำราญ อย่างมากก็มีแค่เรือยางเป่าลมเท่านั้น เจ้าของที่พักบอกว่าบนเขามีของกินเพียบ ร้านพิซซ่า ร้านกาแฟ ร้านส้มตำไก่ย่าง มีกิจกรรมคลายร้อนมากมายรอต้อนรับนักท่องเที่ยวอย่างเราอยู่ พี่อู๋ดูตื่นเต้นใหญ่เมื่อพูดว่าจะเล่นน้ำจนผมไม่แน่ใจว่าทริปนี้เกิดขึ้นเพื่อใคร เพื่อนายก้องเกียรติที่โมโหฟึดฟัดเรื่องงาน หรือเพื่อคุณอิศรินทร์จะได้ย้อนวัย กลายร่างเป็นเด็กกะโปกเที่ยวเล่นไปเรื่อยกันแน่

     

    นาฬิกาบอกเวลาว่าบ่ายสามโมงสี่สิบสองนาที

     

    พี่อู๋ควักเงินจ่ายค่าที่จอดรถสามสิบบาทและมุ่งตรงไปจุดเล่นน้ำที่มีคนพลุกพล่านเต็มไปหมด มองจากสายตาแล้วน่าจะมีเกือบๆห้าสิบคน พวกเขากระจัดกระจายจับจองพื้นที่เป็นกลุ่มๆ ส่วนใหญ่เด็กๆจะกอดห่วงยางเล่นริมฝั่ง โตขึ้นมาหน่อยก็ลอยคออยู่ตรงกลาง คุยหยอกล้อส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวตามประสามาเที่ยวกันเป็นครอบครัว นายก้องเกียรติผู้ไม่ชอบความพลุกพล่านหน้างอเป็นตูดเพราะเซ็ง ผมไม่อยากเล่นน้ำ ยิ่งคนเยอะจนแทบไม่มีมุมส่วนตัวยิ่งไม่อยากเล่น ผมอยากกลับห้องไปนอนเงียบๆแต่พี่อู๋ไม่ยอม เขาเช่าห่วงยางเป็ดยักษ์ให้ผมหนึ่งตัว และบอกว่าขี่เป็ดน่าจะดีกว่ากลับห้อง แบบนั้นไม่คุ้มค่าเที่ยว อุตส่าห์มาตั้งไกล ทำตัวให้สมกับเป็นเด็กอายุสิบแปดหน่อยสิ

     

    “เด็กอายุสิบแปดเขาเรียนหนังสือ ใครมันว่างมากเหมือนผมล่ะ”

     

    ผมบ่นงุบงิบเมื่อปล่อยเป็ดยักษ์ลงน้ำ ทุกสายตาจับจ้องมองมาที่นายก้องเกียรติด้วยความอิจฉาเพราะส่วนใหญ่เช่าแค่ห่วงยางสีดำเท่านั้น ไม่มีใครเล่นใหญ่เหมือนคุณอิศรินทร์ซักคน

     

    “คนเยอะ”

     

     ผมบ่น พี่อู๋คงเข้าใจ เขาเลยว่ายน้ำเข็นกอริลลาก้องที่นั่งบนเป็ดออกไปเล่นไกลหูไกลตาผู้คน

     

    “สนุกไหม?”

    “ผมเพิ่งลงน้ำเองนะ”

    “นั่งบนเป็ดเรียกว่าเล่นน้ำเหรอ? ลงมาว่ายกับพี่เร็ว”

     

    กอริลลาขี้เบื่อกระโดดลงน้ำเย็นเจี๊ยบเพื่อลอยคอเล่นกับผู้ปกครอง รอบตัวของเรามีแต่เสียงจอแจของผู้คนที่มาเที่ยวกันเป็นกลุ่ม ริมตลิ่งมีเด็กประถมแข่งกันกระโดดน้ำ พวกลุงๆป้าๆก็นั่งในศาลามุงจากเต็มทุกหลัง กินส้มตำกินอาหารที่สั่งจากร้านข้างบน ผมว่าการเที่ยวจะสนุกถ้าเรามากันเยอะกว่านี้ แต่ผมกับพี่อู๋ไม่มีใคร เรามีกันแค่สองคน จะให้สนุกเหมือนคนอื่นๆก็คงยากหน่อย อย่างมากคงทำได้แค่เล่นน้ำและขึ้นไปหาอะไรกินเงียบๆเท่านั้น

     

    ระหว่างเราลอยคอเปื่อยๆกันสองคน ผมเห็นกลุ่มผู้หญิงสวมชุดสวยๆถ่ายรูปบนสะพานแขวนด้วย ตัวสะพานเด้งไปเด้งมาตามจังหวะของคนเดิน แต่ผู้หญิงเหล่านั้นก็ยังสามารถโพสต์ท่าพ้อยท์ขา ถ่ายรูปกันสนุกสนานจนผมอิจฉา ไม่ว่าสะพานจะสั่นหรือลมแรงจนผมเผ้ากระเซิง พวกเขาก็ยังยิ้มได้และหัวเราะให้กับเพื่อนๆที่มาด้วยกัน ในขณะที่มองคนอื่นมีความสุขอยู่เงียบๆ พี่อู๋ก็ว่ายน้ำเข้ามาใกล้ เขาถามผมว่าเป็นอะไร ทำไมถึงเงียบไปเฉยๆ ผมบอกเขาว่าไม่รู้เหมือนกัน ผมแค่รู้สึก –

     

    ไม่เข้ากับที่นี่เลย

     

    “มันไม่ใช่ที่ของผม” ผมบอกพี่อู๋ “แต่พอนึกว่าที่ไหนคือที่ที่ควรอยู่ ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน”

     

    ผมบอกเขาอีกว่าผมชอบที่นี่ก็จริง แต่ผมอยู่ไม่ได้ ทุกอย่างแตกต่างไม่เข้ากับผมเลย ผมไม่ได้เกิดมาเพื่อใช้ชีวิตในต่างจังหวัด ไม่ได้หมายความว่าบ้านพี่ไม่ดีนะ มันดี แต่ผมเข้ากับมันไม่ได้ ผมคิดว่าผมอยู่ที่นี่ไม่ได้ ผมต้องไปที่ไหนซักที่

     

    “แล้วก้องจะไปไหน?”

     

    พี่อู๋ถาม ผมส่ายหน้าบอกเขาว่าไม่รู้ ผมไม่รู้จริงๆว่าต้องไปไหน ผมเล่าให้พี่อู๋ฟังทุกอย่างว่าตัวเองเข้ากับที่นี่ไม่ได้ยังไง ผมบอกพี่อู๋ซ้ำเป็นหนที่สามว่าผมไม่ได้ขี้เกียจนะ แต่บ้านเกิดของพี่ไม่มีที่ให้ผมยืนเลย ผมบอกผู้ปกครองว่าไม่ชอบงานที่ทำอยู่ตอนนี้ ไม่เกี่ยวกับเรื่องไม่ได้เงิน หรืองานหนัก แต่ผมเบื่อที่จะต้องได้ยินคำพูดเรื่องทางเลือกแล้ว อาเจี๊ยบเอาแต่ย้ำอยู่นั่นแหละว่าจบแค่มอปลายจะไปหางานสบายๆที่ไหนได้ ก้มหน้าก้มตาฝึกฝีมือตัวเองดีกว่า อย่างน้อยเสร็จงานนี้ก็ยังพอมีฝีมือไว้เลี้ยงตัวเองบ้าง

     

    “ผมไม่ได้อยากเป็นช่างก่อสร้าง ผมไม่ถนัดงานช่าง”

     

    ผมบอกผู้ปกครอง ตอนแรกคิดว่าจะโดนพี่อู๋หาว่าขี้เกียจ แต่เขากลับไม่ว่าอะไรซักคำนอกจากบอกว่าพี่เข้าใจ อืม พี่เข้าใจที่ก้องพูดนะ

     

    “ผมรู้ว่าถ้าเรียนจบปริญญาคงหางานสบายๆกว่านี้ทำได้ ถ้าผมเรียนเก่งเหมือนพี่ ผมคงได้นั่งห้องออฟฟิศเย็นๆไปแล้ว”

     

    ผมบ่นและปีนกลับขึ้นไปนั่งบนเป็ดเหมือนเดิม กอริลลาก้องถอนหายใจเซ็งๆเมื่อคิดว่าพรุ่งนี้ต้องกลับไปเจออาเจี๊ยบและงานช่างที่ท่าศาลา ผมไม่อยากกลับเลย ถ้าไม่ติดว่าเกรงใจพี่อู๋ ผมจะไม่กลับไปจับงานพวกนั้นอีกเลย

     

    “งานออฟฟิศดูสบายก็จริง แต่ภาระหน้าที่มันก็เยอะตามวุฒิที่เรียนจบเหมือนกัน” พี่อู๋บอก เขาคอยจับเป็ดยางตลอดเพราะกลัวกอริลลาขี้หงุดหงิดจะโดนกระแสน้ำพัดหายไปในป่าเสียก่อน “บางวันพี่ไม่ได้นั่งสบายๆที่โต๊ะอย่างที่คนอื่นคิด ต้องตามนายไปล่ามในโรงงานร้อนๆก็มี ต้องเขียนรีพอร์ต ต้องเตรียมต้องแปลเอกสาร เป็นงานที่ไม่ต้องออกแรงแต่เหนื่อยมาก เหนื่อยจนหลับบนเอ็มอาร์ทีก็บ่อยไป”

     

    พี่อู๋ยังเล่าไม่ทันจบก็ต้องว่ายน้ำหลบกลุ่มวัยรุ่นมาใหม่ เราจึงย้ายไปเล่นกันเงียบๆอีกฟากของน้ำตกแทน ผมใช้เวลาคุยเกี่ยวกับความคิดและความรู้สึกของตัวเองในช่วงนี้ ทีแรกผมนึกว่าจะโดนดุหรือไม่ก็โดนบ่นว่า “เรื่องแค่นี้” เหมือนที่เคยกลัว แต่พี่อู๋กลับไม่ว่าอะไรซักคำ เขาดูเข้าอกเข้าใจและบอกถ้าไม่ชอบงานช่างก็ไม่เป็นไรเพราะเขาเริ่มคิดๆจะจ้างช่างมาแทนเหมือนกัน 

     

    “ปัญหาย่อมแก้ได้ด้วยเงิน” คุณอิศรินทร์กล่าว

    “พี่พูดได้สิเพราะพี่รวย ผมคงใช้ชีวิตแบบพี่ไม่ได้หรอก ผมไม่ได้เรียนมหาลัย ผมไม่มีทางเลือกเยอะเหมือนคนอื่นๆ”

    “แล้วก้องไม่อยากมีทางเลือกมากกว่านี้เหรอ?”

    “อยาก แต่ทำไงได้”

     

    ผมขอบตาร้อนผ่าวจะร้องไห้ทุกครั้งเมื่อนึกน้อยใจชีวิตตัวเอง ผมรู้ว่าต้องทำยังไงถึงจะลืมตาอ้าปากด้วยตัวเองได้ แต่การเดินไปให้ถึงจุดนั้นไม่ง่ายเลย

     

    “ถ้าพี่ให้ยืมเงินเรียนต่อ – เอาไหม”

     

    นายก้องเกียรติกระโดดลงจากเป็ดยางตกน้ำดังตู้ม! ก่อนจะรีบพรวดพราดขึ้นมาเหนือผิวน้ำ ถามผู้ปกครองซ้ำอีกครั้งว่าให้ยืมได้เหรอ ยืมได้จริงๆเหรอ ผมสามารถยืมเงินพี่ไปเรียนต่อได้เหรอ

     

    “ได้สิ”

     

    ผมดีใจมาก เผลอยิ้มกว้างจนปวดแก้ม สองมือตีน้ำด้วยความร่าเริงเมื่อรู้ว่าปลายทางที่เคยมองไม่เห็นเริ่มมีแสงสว่างขึ้นมาบ้าง

     

    “พี่คิดดอกเบี้ยเท่าไหร่?”

    “ไม่คิด”

    “ผมขอเรียนพิเศษได้ไหม?” ผมถามอย่างกระตือรือร้น “ขอผมเรียนได้ไหม แค่วิชาเดียวก็ได้ ผมขอยืมเงินพี่เรียนพิเศษด้วยได้ไหมครับ?”

    “จะเรียนกี่วิชาก็ได้” พี่อู๋ยิ้มเมื่อเห็นนายก้องเกียรติทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ “แต่มีข้อแม้ข้อเดียว --”

     

    พี่อู๋เว้นวรรคไปนานทำเอานายก้องเกียรติใจหาย แต่สุดท้ายข้อแม้ของเขาก็ยังพอรับได้ ผมอะไรก็ได้ ขอแค่ได้เงินไปเรียนต่อ ผมขอแค่นี้จริงๆ

     

    “ต้องเรียนม.รัฐบาลเท่านั้นนะ เพราะพี่คงไม่มีปัญญาส่งก้องเรียนเอกชน”

    “ขอบคุณครับ! ผมจะตั้งใจเรียน!”

     

    ผมให้สัญญา

     

    “ผมจะตั้งใจเรียน”

     

     

    คีรีวงสวยมาก

     

    ผมเพิ่งรู้สึกว่ามันสวยและน่าอยู่ก็เมื่อตอนเล่นน้ำเสร็จ ขากลับเราใช้เสื้อกันฝนปูรองเบาะแล้วนั่งรถกลับรีสอร์ต ตลอดทางผมถามพี่อู๋ไม่หยุดว่าจะให้ยืมเงินจริงๆเหรอ ให้จริงใช่ไหม ให้เท่าไหร่ ให้ผมเรียนพิเศษด้วยได้ไหม ถามอยู่นั่นแหละ ถามจนเขารำคาญถึงขนาดบอกว่าถ้าถามอีกจะไม่ให้ยืม นายก้องเกียรติถึงได้แต่นั่งยิ้มแก้มแตกจนถึงห้องพัก แยกย้ายกันไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วมานั่งเช็ดผมหน้าทีวี

     

    ทุกอย่างกลายเป็นเรื่องสนุกไปหมด ทั้งรายการชิงร้อยชิงล้านเทปย้อนหลัง ทั้งบทสนทนาของเราสองคนที่ดูมีชีวิตชีวามากขึ้น ผมไม่รู้ตัวเลยว่ากลายเป็นคนช่างคุยตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้แค่ว่าตอนนี้ผมคุยกับผู้ปกครองไม่หยุดปาก จบเรื่องนั้นต่อด้วยเรื่องนี้ ออกไปที่อีกเรื่อง แล้วก็วกกลับมาเรื่องที่ทำให้นายก้องเกียรติมีความสุขมากที่สุด ผมเอาแต่ถามเขาว่าทำไงดี ตอนนี้ผมตื่นเต้นมากเลย ผมดีใจมากเลย ผมมีความสุขมากเลย นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเหมือนจะตายเพราะตื่นเต้นเกินไป แค่คิดว่าจะมีมหาลัยเรียน จะได้ใช้ชีวิตเหมือนเพื่อนรุ่นเดียวกัน ผมก็มือไม้สั่น มีความสุขออกนอกหน้าจนพี่อู๋หมั่นไส้

     

    “ให้เงินเรียนแล้วก็ตั้งใจเรียนนะ อย่าโดดเหมือนไอ้สไปก์”

     

    ผมให้รับปากและให้สัญญาว่าเงินทุกบาททุกสตางค์ที่พี่อู๋ให้ยืม ผมจะใช้อย่างรู้คุณค่าและไม่ทำให้เขาผิดหวังเด็ดขาด คุณอิศรินทร์บอกว่าเขาเองไม่ได้คาดหวังอะไรจากผมหรอก แค่ก้องตั้งใจเรียน ไม่แอบเอาเงินที่พี่ให้ไปใช้ในทางไม่ดีก็พอแล้ว

     

    “คิดหรือยังว่าอยากเรียนอะไร?”

    “ไม่รู้ครับ”

    “ปรึกษาสมาร์ทสิ”

     

    พี่อู๋แนะนำและส่งโทรศัพท์ให้ ผมได้มีโอกาสคุยกับสมาร์ทอีกครั้งหลังไม่ได้เจอกันหลายสัปดาห์ ตอนนี้สมาร์ทกลับไปอยู่หอที่ลาดกระบังแล้ว เขาถามผมว่าอยากเรียนคณะอะไร ผมตอบว่ายังไม่รู้ ผมไม่รู้เลยว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร รู้แค่ว่าอยากเรียนมหาวิทยาลัยเหมือนเด็กรุ่นเดียวกัน

     

    คำแนะนำแรกของสมาร์ทคือเรียนคณิตศาสตร์เพราะส่วนใหญ่ต้องใช้ PAT1 ในการยื่น เว้นแต่ว่าผมจะอยากเรียนสายภาษาแบบพี่อู๋ ถ้าเลือกทางเหมือนผู้ปกครอง ผมไม่จำเป็นต้องใช้ PAT1 ก็ได้ ใช้ PAT7 ยื่นก็โอเคเหมือนกัน

     

    “ไปถามตัวเองก่อนว่าชอบอะไร แล้วค่อยคิดเรื่องคอร์สติว” สมาร์ทแนะนำ “อย่าลืมยื่นคำรองขอสอบโอเน็ตด้วย”

    “อื้อ ไม่ลืมแน่นอน”

    “ทำยังไงโกอู๋ถึงให้ยืมเงิน?”

    “ไม่ได้ทำอะไรเลย เมื่อกี๊เล่นน้ำตกกันสองคน จู่ๆพี่อู๋ก็บอกว่าให้ยืม”

    “อ้าว ทำไมเล่นน้ำตก? โกอู๋ไม่กลับมาทำงานเหรอ?”

    “อ๋อ – เดี๋ยวก็กลับแล้ว พี่อู๋ลาพักร้อนอ่ะ”

     

    ผมเลิ่กลั่กพลางเหลือบมองผู้ปกครองเพื่อขอความช่วยเหลือ คุณอิศรินทร์ทำหน้าเซ็งก่อนจะโบกมือปัดเป็นเชิงบอกว่าไม่ต้องใส่ใจ เดี๋ยวมันก็ลืม

     

    “เราต้องวางแล้วสมาร์ท พี่อู๋จะพาไปกินข้าว”

    “เค มีอะไรสงสัยค่อยโทรมาละกัน”

     

    ผมขอบคุณสมาร์ทและส่งโทรศัพท์คืนให้ผู้ปกครอง นาฬิกาบอกเวลาว่าหกโมงเย็นสิบสามนาที คุณอิศรินทร์พากอริลลาก้องไปทานร้านอาหารแพงๆที่อยู่บนเนินเขา ทางขึ้นสูงและชันมากจนผมกลัวรถจะไหลตกถนนแต่พี่อู๋ก็พาเรามาถึงร้านอย่างปลอดภัย เย็นวันนั้นผมได้กินใบเหลียงผัดไข่ครั้งแรก และติดใจมากจนต้องขอเบิ้ลสองจาน

     

    “กินเยอะๆ กินให้อร่อย” พี่อู๋ตักใบเหลียงให้นายก้องเกียรติ “อยู่บ้านย่ากินน้อยจนแก้มตอบ คราวนี้ก็กินให้อิ่มเลยนะ”

     

    ตลอดเวลาที่อยู่บ้านคุณย่า ผมคงแสดงออกได้แย่มากแน่ๆไม่งั้นพี่อู๋คงไม่คะยั้นคะยอให้กินข้าว ผมรู้สึกผิดจริงๆที่ทำให้ผู้ปกครองคิดว่าการอยู่ที่นี่กับเขาไม่มีความสุข ดังนั้นผมเลยบอกพี่อู๋ว่าขอโทษที่แสดงสีหน้าไม่ดี ผมไม่ได้มีปัญหากับการอยู่ที่นี่ ผมแค่เบื่องานช่าง

     

    “พี่รู้น่า” เขาตอบปัดๆเพื่อให้นายก้องเกียรติสบายใจ “เพราะพี่เองก็เบื่อเหมือนกัน”

    “อ้าว แล้วพี่จะฝืนทำทำไมล่ะครับ?”

    “มันไม่มีที่ให้ไป ถ้าจะอยู่บ้านย่าก็ต้องช่วยกันทำงานนั่นแหละ แต่พออยู่ไปนานๆพี่คิดถึงกรุงเทพว่ะ”

    “ผมก็คิดถึงคอนโดที่ลาดพร้าว”

    “งั้นพรุ่งนี้เรากลับกรุงเทพกันเนอะ”

    “ง่ายขนาดนั้นเลย?”

     

    ผมมุ่ยหน้าเมื่อนึกถึงวันเกิดเมื่อปลายปี ตอนนั้นเขาดูจริงจังกับการย้ายมาอยู่ที่นี่มากๆ แต่ผ่านไปแค่สองเดือน คุณอิศรินทร์ก็บ่นว่าเบื่อและอยากกลับลาดพร้าวเสียอย่างนั้น

     

    “พี่อยากกลับเพราะก้องต้องทำเรื่องเรียนต่อด้วยไง พวกเอกสาร ใบรับรองวุฒิ ใบมรณบัตรของแม่ก็คงไหม้ไปกับบ้านแล้วใช่ไหม?”

    “ใช่ครับ”

    “เดี๋ยวกลับไปเคลียร์เอกสารกันนะ เพื่อนพี่บอกว่าถ้าบ้านไฟไหม้แต่ไม่ได้มีประกัน ทำเรื่องขอเงินช่วยเหลือจากสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้ ก้องถ่ายรูปบ้านเก็บไว้บ้างไหม?”

    “ไม่ได้ถ่ายเลยครับ ตอนนั้นผมเคว้งจนไม่รู้จะทำยังไง”

     

    ผมถอนหายใจก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าพี่ลีเคยถ่าย เช้าหลังกลับเข้าไปดูซาก พี่ลีกับแฟนถ่ายรูปบ้านของตัวเองและคนในชุมชนเก็บไว้ ผมว่าในวันนั้นต้องมีบ้านของผมซักรูปสองรูปแน่ๆ

     

    “รู้ไหมว่าร้านขายขนมพี่ลีอยู่ไหน?”

    “รู้ครับ”

    “งั้นเดี๋ยวเราค่อยไปหาพี่ลีกันนะ”

    “รัฐจะจ่ายค่าชดเชยให้จริงๆเหรอครับ?”

    “จ่ายสิ แต่คงไม่กี่หมื่น” พี่อู๋ขมวดคิ้วไม่แน่ใจ

    “งั้นผมไม่ยืมเงินของพี่อู๋ดีกว่า ผมใช้เงินชดเชยก้อนนี้ก็ได้”

    “กว่าจะเดินเรื่อง กว่าจะเตรียมเอกสารไม่รู้ต้องใช้เวลาเท่าไหร่ ใช้เงินพี่ไปก่อนเถอะ เรียนจบแล้วค่อยคืน”

    “พี่ไม่กลัวผมเบี้ยวเหรอ?”

    “ก้องไม่กล้าหรอก” คุณอิศรินทร์หัวเราะขำ “หรือถ้ากล้าก็ลองดู”

     

    ผมส่ายหน้า บอกเขาว่าไม่เบี้ยวแน่นอนครับและก้มหน้าก้มตากวาดอาหารบนโต๊ะจนเกลี้ยง หลังทานเสร็จเราแวะร้านขายของชำเพื่อซื้อโค้กคนละถุงก่อนกลับห้อง คืนนั้นผมกับพี่อู๋นั่งดื่มน้ำอัดลมและพูดคุยเกี่ยวกับอนาคตเกือบทั้งคืน ผมจดแผนชีวิตตัวเองลงบนกระดาษแจกฟรีของรีสอร์ตเป็นข้อๆ อย่างแรกคือกลับไปเคลียร์เอกสาร ทั้งโฉนดที่ดิน ทั้งสำเนาทะเบียนบ้าน ทั้งใบมรณบัตรของแม่ ทั้งสูติบัตรและใบรับรองวุฒิการศึกษาต่างๆของผม หลังจากนั้นก็ยื่นเรื่องขอเงินชดเชยค่าบ้าน ระหว่างรอดำเนินการ ผมจะเริ่มหาที่เรียนกวดวิชา อาจจะต้องรีบหน่อยเพราะคอร์สซัมเมอร์ฤดูร้อนใกล้เข้ามาแล้ว ขืนช้าเดี๋ยวจัดตารางไม่ลง เวลาเรียนจะชนกันจนทำให้อดเรียนคอร์สสำคัญก็ได้

     

    “เด็กสมัยนี้เรียนหนักเนอะ” พี่อู๋พูดระหว่างที่เรานอนดูตารางคอร์สเรียนพิเศษของสถาบันต่างๆ “สอบก็เยอะ จุกจิก”

    “สมัยพี่มีโอเน็ตไหมครับ?”

    “ไม่มีอ่ะ มีแต่โอน้อยออก”

    “พี่อู๋รุ่นเอนทรานซ์เหรอ?” เมื่อเขาพยักหน้า ผมก็รีบแซวต่อทันที “รู้เลยนะครับว่าแก่”

    “แหม คุณก้องเกียรติผู้ยังหนุ่มยังแน่น คุณรู้หรือยังล่ะครับว่าระบบ Admission รุ่นคุณต้องสอบอะไรบ้าง?”

    “เดี๋ยวนี้เขาไม่ใช้ Admission แล้วครับ เปลี่ยนเป็น TCAS แล้ว”

     

    พี่อู๋เหวอแดกเลย

     

    “พี่แก่แล้วนะครับ” ผมพูดซ้ำอีกรอบ “เรามันคนละเจเนอเรชึ่นจริงๆ”

     

    คุณอิศรินทร์แจกมะเหงกให้กอริลลาก้องหนึ่งโป๊กแล้วกลับมาช่วยกันดูคอร์สติวต่อ พอเห็นราคาแล้วผมแอบร้อนๆหนาวๆ ต่อให้ได้เงินช่วยค่าไฟไหม้จากรัฐก็คงไม่มากพอจะลงเรียนทุกวิชา ผมเผลอถอนหายใจเฮือกออกมาเพราะไม่แน่ใจว่าพี่อู๋จะให้ผมยืมเงินจริงหรือเปล่า ตอนนี้ตัวเขาเองก็ตกงาน แถมค่าเรียนกวดวิชาก็แพงแสนแพง ยังไม่รวมค่าสมัครสอบ ค่าเดินทาง ค่าจิปาถะที่ต้องใช้ในแต่ละวันอีก คิดๆดูแล้ว – ผมไม่ควรรบกวนเขาเลย

     

    “พี่อู๋ครับ”

    “ว่า?”

    “ผมไม่อยากยืมเงินพี่แล้วอ่ะ”

     

    ผมบอก คุณอิศรินทร์ถามว่าทำไม ผมจึงอธิบายเพิ่มว่าค่าเรียนพิเศษมันแพงเกินไป มันแพงมาก อย่างต่ำก็ห้าพันแล้ว ผมคิดว่าผมควรเรียนแค่วิชาเดียว อย่างน้อยพี่อู๋จะได้ไม่ต้องลำบาก แถมตอนนี้พี่ – ไม่มีรายรับด้วย ผมกลัวเขาเดือดร้อนเพราะเด็กเร่ร่อนอย่างนายก้องเกียรติ

     

    “เรียนไปเถอะ ไม่เป็นไรหรอก”

    “แต่พี่ไม่ใช่ – ญาติผม เราไม่ได้เป็นครอบครัวกัน” ผมอ้อมแอ้ม และแน่นอน พี่อู๋มองผมตาเขียวทันทีที่พูดประโยคทำนองนี้ออกมาอีกครั้ง “พี่เองก็กำลังลำบาก --”

    “เดี๋ยวพี่ก็หางานทำแล้ว”

    “พี่พูดจริงเหรอครับ?” ผมถาม คุณอิศรินทร์ให้คำตอบเป็นการพยักหน้า “ที่พี่ต้องหางานทำนี่เป็นเพราะผมหรือเปล่า? ผมทำให้พี่ลำบากหรือเปล่าครับ?”

    “เปล่าหรอก มันถึงเวลาแล้ว”

    “ยังไง?”

     

    พี่อู๋ไม่ตอบ เขายีหัวนายก้องเกียรติจนเสียทรงก่อนจะปิดไฟเตรียมเข้านอน เขาบอกว่าพรุ่งนี้จะพาไปปั่นจักรยานแต่เช้า เราจะปั่นขึ้นไปสูดอากาศบริสุทธิ์บนเขาเพื่อสูดความสดชื่นให้เต็มปอดก่อนจะต้องกลับไปดมควันรถเมล์ที่กรุงเทพภายในอาทิตย์นี้

     

     

     

     

    ผมตื่นหกโมงเช้าเพราะพี่อู๋ปลุก เขาเขย่าตัวกอริลลาก้องแรงมากจนนึกว่าแผ่นดินไหว คุณอิศรินทร์ต้องใช้เวลาเกือบสิบนาทีกว่าจะลากผมออกจากที่นอนได้ เราลุกไปล้างหน้าแปรงฟันพร้อมกันหน้ากระจกก่อนจะเข็นจักรยานของรีสอร์ตไปกันคนละคัน

     

    เช้าวันนี้หนาวน้ำค้างกว่าเช้าไหนๆ ผมต้องลูบแขนตัวเองเพราะอากาศเย็นเหมือนอยู่ในห้องแอร์ยี่สิบเอ็ดองศา พี่อู๋ดูท่าทางร่าเริงกว่าที่เคย เขาปั่นจักรยานนำผมขึ้นไปบนเขา เลียบถนนข้างลำธารย้อนกลับไปจุดที่เล่นน้ำตกด้วยกันเมื่อวาน บรรยากาศข้างทางสดชื่นและสบายตามาก มีแต่ต้นไม้กับเสียงน้ำไหลเท่านั้นที่ดังเป็นเพื่อนเราสองคน ระยะทางที่ปั่นขึ้นไปค่อนข้างไกลจนเราหอบ ผมบอกพี่อู๋ว่าพอเถอะ สูดแค่ตรงนี้ก็น่าจะเต็มอิ่ม อย่าปั่นไปถึงข้างบนเลย เดี๋ยวจะมีคนเหนื่อยตายก่อน

     

    “เอาน่า ทำตัวเป็นนักท่องเที่ยวหน่อยสิ เห็นไหมใครๆก็ปั่นกัน”

     

    เขาบุ้ยปากไปทางนักท่องเที่ยวที่ปั่นสวนทางลงจากเขา พวกเธอเป็นกลุ่มสมาคมคุณป้าแม่บ้านที่ดูภายนอกแล้วน่าจะควบตำแหน่งนักเต้นหน้าเวทีแอโรบิคด้วยแน่ๆ ผมบ่นอุบอิบเพราะเหนื่อยที่ต้องออกแรงปั่นจักรยานต้านแรงโน้มถ่วง แต่สุดท้ายเราก็ขึ้นมาถึงข้างบนจนได้

     

    มื้อเช้าของวันนี้คือข้าวเหนียวไก่ทอดกับโอวัลตินเย็น เรานั่งทานบนโขดหินริมน้ำตกด้วยกันจนพระอาทิตย์ขึ้นเต็มดวง ผมแกว่งขาในน้ำ ปล่อยให้ความเย็นช่วยคลายความเมื่อยล้าจากการออกแรงเข็นจักรยาน ระหว่างกินข้าวเหนียว ผมกับพี่อู๋ก็พูดคุยถึงอนาคตด้วยกัน ในอนาคตของผมยังคงมีพี่อู๋อยู่ ผมตั้งใจว่าจะสอบเข้ามหาลัยให้ได้และทำงานเก็บเงินมาใช้หนี้เขาให้หมด ส่วนพี่อู๋ไม่ได้พูดอะไรมาก เขาบอกแค่ว่าจะหางานและดูแลผมไปด้วย

     

    “เพราะพี่เป็นผู้ปกครองของก้อง” เขากัดน่องไก่คำโต เคี้ยวหยับๆเสียงดังไม่อายใคร

    “พี่จะหางานที่ไหนครับ?”

    “เยอะแยะ เขี่ยๆเอาก็เจอแล้ว”

    “งานนะครับ ไม่ใช่หอยเสียบที่ใช้เท้าเขี่ยๆตามหาดก็เจอ”

     

    ผมหัวเราะพลางนึกถึงโหลหอยเสียบดองน้ำปลาของย่า พูดแล้วก็เปรี้ยวปาก อยากกินหอยดองกับข้าวสวยร้อนๆซักถ้วยจัง

     

    “ก้องไม่ต้องเครียดเรื่องพี่หรอก ห่วงตัวเองดีกว่า หลังจากนี้อีกหนึ่งปีจะเป็นปีที่เครียดมากๆ ก้องคิดว่าก้องรับมือไหวไหม?”

    “ไม่ไหวก็ต้องไหว”

    “ไม่ไหวบอกไหว”

    “พี่จะเล่นต่อเพลงกับผมเหรอครับ?”

     

    ผมยิ้มขำ เรากินข้าวเหนียวไก่ทอดและโอวัลตินจนหมดก่อนจะช่วยกันเก็บขยะที่อยู่ริมทางไปทิ้ง นาฬิกาบอกเวลาว่าเจ็ดโมงสิบเอ็ดนาที พี่อู๋ที่ปั่นจักรยานนำหน้าผมหันมาบอกว่าแข่งกันไหม ใครถึงรีสอร์ตก่อนชนะ

     

    “รางวัลคืออะไรครับ?”

    “คนแพ้ต้องเก็บกระเป๋า”

     

    ผมตอบตกลงทันทีโดยไม่คิดเพราะงานเก็บกระเป๋าเป็นงานที่วุ่นวายและหลงลืมบ่อยมาก ผมเคยลืมแปรงสีฟันตั้งสองครั้ง พี่อู๋ลืมกางเกงใน ลืมสายชาร์ตโทรศัพท์ ลืมของชิ้นเล็กๆอย่างมีดโกนหนวดด้วย ดังนั้นเราจึงตกลงกันว่าเวลาจัดกระเป๋าควรมีคนทำแค่คนเดียว ไม่งั้นก็จะลืมแบบนี้ตลอดเพราะคิดว่าอีกคนหยิบมาแล้ว

     

    พอรับคำท้า ผมก็ออกแรงปั่นให้เร็วขึ้นเรื่อยๆ การปั่นจักรยานลงเขานั้นง่ายกว่าปั่นขึ้นหลายเท่า เราแทบไม่ต้องออกแรงเลย ก็แค่ปล่อยให้รถไหลไปตามความชันของถนน ผมกับพี่อู๋ผลัดกันแซงอยู่หลายหน เราหัวเราะเสียงดังลั่นอย่างสนุกสนานเพราะผลการแข่งขันที่สูสี จนกระทั่งผมออกแรงปั่นให้เร็วขึ้นเพราะความอยากเอาชนะ ในที่สุดจักรยานสีน้ำเงินของนายก้องเกียรติก็วิ่งนำหน้าผู้ปกครอง ผมหันไปเยาะเย้ยคุณอิศรินทร์โดยไม่ทันมองทางข้างหน้า หลังจากนั้นก็โครม! ผมปลิวขึ้นไปบนอากาศก่อนจะกลิ้งบนถนน พี่อู๋ตะโกนเสียงดังว่าก้อง! ก่อนจะกระโดดทิ้งจักรยานแล้วรีบวิ่งมาหา ตอนแรกมันหนึบๆชาๆบอกไม่ถูก พอเห็นเลือดเท่านั้นแหละ ผมเจ็บจนร้องโอ๊ยเพราะทั้งแขนขา ทั้งคางมีเลือดออกเต็มไปหมด

     

    “ทำไมขับไม่ระวังเลยก้อง! ทำไมไม่ดูทาง!”

     

    พี่อู๋ดุเหมือนเด็กในปกครองทำความผิดร้ายแรง ผมได้แต่นั่งจ๋อย น้ำตาซึมเพราะรู้สึกผิด เสียงโหวกเหวกโวยวายของเขาทำให้ชาวบ้านที่ขายของริมทางต้องเดินออกมาดู คุณป้าคนหนึ่งช่วยเข็นจักรยานของเรามาไว้ข้างทางและชวนให้นั่งบนเก้าอี้ไม้หินอ่อนก่อนจะเอาน้ำเกลือล้างแผลขวดใหญ่มาให้

     

    “ขอบคุณครับ”

     

    พี่อู๋พูดขอบคุณแล้วบีบน้ำเกลือราดแผลผมทันที นายก้องเกียรติร้องโอ๊ยจะเป็นจะตายเพราะเจ็บแผล คราวนี้ไม่ใช่แค่น้ำตาซึมแล้ว แต่เป็นน้ำตาทั้งมหาสมุทรเลย ผมร้องไห้จนหน้าเปียกไปหมด พี่อู๋ดุผมจนคุณป้าต้องบอกให้พอก่อน เด็กมันล้มไปแล้ว จะดุให้เสียใจอีกทำไม ไปกันใหญ่พอดี

     

    “ไม่เห็นต้องรีบขนาดนั้นเลย”

     

    พี่อู๋ทิ้งท้าย เขาขมวดคิ้วมองนายก้องเกียรติอย่างตำหนิ ผมได้แต่นั่งสูดน้ำมูกกระซิกๆไม่มีข้อแก้ตัว หลังล้างแผลเบื้องต้นเรียบร้อยพี่อู๋ก็บอกว่าต้องพาไปโรงพยาบาล คางแตกแบบนี้โดนแน่

     

    “ผมไม่อยากโดนเย็บ”

    “ไปต่อรองกับหมอเองสิ”

     

    พี่อู๋หงุดหงิดเย็นชา เขาฝากผมไว้หน้าบ้านคุณป้าผู้ใจดีก่อนจะหายไปเอารถที่รีสอร์ต คุณป้าที่เห็นผมร้องไม่หยุดก็ได้แต่บอกว่าพี่คงเป็นห่วง ถ้าไม่เป็นห่วงเขาไม่คงไม่ทิ้งจักรยานแล้ววิ่งหน้าตาตื่นมาหาหรอก

     

    นาฬิกาบอกเวลาว่าเจ็ดโมงยี่สิบนาที วีออสสีดำมาจอดตรงหน้าโดยมีพี่อู๋ที่ยังคงหงุดหงิดเดินมารับนายก้องเกียรติขึ้นรถ เขาตั้งใจจะจ่ายเงินค่าน้ำเกลือให้คุณป้าด้วย แต่เธอไม่รับ เธอบอกว่าให้รีบพาผมไปหาหมอดีกว่า ดังนั้นทริปคีรีวงส่งท้ายประเทศคอนจึงจบลงด้วยน้ำตาของนายก้องเกียรติและคำบ่นของคุณอิศรินทร์ที่คงไม่เงียบง่ายๆในสองสามนาทีนี้แน่ๆ

     

     

     

     

    ตลอดทางที่ไปโรงพยาบาล พี่อู๋ยังบ่นไม่หยุด เขาบ่นๆๆเหมือนหมีกินผึ้งที่เอาแต่ตำหนิผมเพราะไม่ระวังตัว ถึงปากจะบ่นและหน้าจะงอแค่ไหน สุดท้ายเขาก็พาผมไปส่งโรงพยาบาล แถมยังอยู่เป็นเพื่อนตอนหมอฉีดยาชาและเย็บแผลด้วย พี่อู๋เหมือนแม่ไม่มีผิด

     

    “หายซ่าหรือยัง?”

     

    เขากอดอกมองกอริลลาก้องที่มีผ้าก็อซแปะคาง ตรงแขนขามีผ้าพันไว้เหมือนมัมมี่ นี่ขนาดแค่ล้มจักรยานเองนะเนี่ย สุดยอดไปเลย

     

    “ทำไมพี่ต้องโมโหด้วย ก็แค่ล้มจักรยาน --”

    “แค่ล้ม?” พี่อู๋โมโหจนแสดงออกทางสีหน้า “ขนาดแค่ล้มยังโดนตั้งสองเข็ม ถ้าเป็นมากกว่านี้จะว่ายังไง?”

    “พี่จะโวยวายทำไม คนเจ็บตัวมันผมต่างหาก พี่ไม่ได้เจ็บซักหน่อยอ่ะ”

    “ใครว่าพี่ไม่เจ็บ”

     

    พี่อู๋โยกหัวนายก้องเกียรติอีกหนึ่งทีก่อนจะลุกไปรับยาให้ พอเห็นเขาเป็นห่วงขนาดนี้มันอดรู้สึกดีไม่ได้จริงๆ เมื่อกี๊พี่อู๋เหมือนแม่เลย แววตาของเขาดูกังวลและกลัวมากเหมือนสมัยที่ผมตกบันไดในบ้านตอนเรียนประถม แววตาของเขาไม่ต่างจากแววตาของแม่ในวันนั้น แถมพอผมเจ็บตัว พี่อู๋ก็เอาแต่บ่นๆๆเหมือนแม่ บ่นแต่ก็พาไปหาหมอ บ่นแต่ก็ดูแลอย่างดี บ่นแต่ก็ยังคงแสดงออกว่ารักและเป็นห่วง อ่า— ตอนนี้ผมรู้สึกดีจัง การมีใครซักคนแสดงออกว่าเราสำคัญเป็นเรื่องที่ดีมากเลย

     

    “เสร็จแล้วเราจะไปไหนกันครับ?”

    “กลับบ้านย่า” พี่อู๋ตอบขณะเปิดประตูและช่วยประคองมัมมี่ก้องขึ้นรถ “ตอนนี้มีข้ออ้างที่ฟังขึ้นแล้ว”

    “ข้ออ้างอะไรครับ?”

     

    ผมถามก่อนจะมองสภาพตัวเอง อ๋อ แผลขนาดนี้ ถ้าโดนใช้ให้ไปฉาบผนังอีก ผมจะฉาบอาเจี๊ยบก่อนเลย

     

    “อยากกินอะไรก่อนถึงบ้านย่าไหม?”

    “อะไรก็ได้ครับ”

     

    ผมบอกและไม่พูดอะไรอีก ตลอดทางผมเอาแต่คิดถึงสีหน้าท่าทางของผู้ปกครองเมื่อเช้า ผมดีใจที่พี่อู๋เป็นห่วงผมมาก ไม่รู้ว่าอะไรทำให้เรามาพบกันแต่ผมรู้สึกขอบคุณเขาจริงๆที่ไม่ทิ้งนายก้องเกียรติตั้งแต่วันที่โดนไล่ออกจากบ้าน ถ้าไม่มีพี่อู๋ คงไม่มีผมในวันนี้ และผมคงเป็นนายก้องเกียรติที่มีความสุขไม่ได้ถ้าคุณอิศรินทร์ไม่ดูแลเอาใจใส่เหมือนเป็นคนในครอบครัว

     

    “พี่อู๋ครับ”

    “ว่า?”

    “ไม่มีอะไรครับ”

     

    ผมเปลี่ยนใจไม่พูดดีกว่า เดี๋ยวเขาหาว่ากอริลลากลายร่างเป็นแมวเพราะอยากเอาใจที่ได้ยืมเงิน

     

    “เรียกแล้วไม่พูด โดนเสยคางแตกนะ”

    “มันแตกอยู่แล้ว พี่ยังจะทำให้มันเยินกว่านี้อีกเหรอ?” คุณอิศรินทร์หัวเราะขำ เขาถามซ้ำอีกครั้งว่าเรียกทำไม ผมจึงต้องโกหกเพราะเขิน ไม่กล้าขอบคุณเขาตอนนี้ “ผมอยากกินชาเขียวอ่ะ”

    “บอกช้าไปละ พี่ขับเลยปั๊มมาแล้วเนี่ย”

     

    พี่อู๋บ่นอีกแต่สุดท้ายก็กลับรถพาผมไปซื้ออเมซอนจนได้ เป็นไงล่ะผู้ปกครองของผม หล่อ ลาดพร้าว ใจดี มีวีออสขับ แถมยังน่ารักที่หนึ่ง ตอนนี้นายก้องเกียรติอาจจะตอบแทนผู้มีประคุณเป็นเงินหรือสิ่งของไม่ได้ แต่ในอนาคตผมจะชดใช้ให้แน่ๆ ผมสัญญาเลยว่านับตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป ผมจะเป็นเด็กดีของคุณอิศรินทร์ ผมจะเป็นเด็กที่ว่านอนสอนง่าย ผมจะขยัน ผมจะตั้งใจเรียน และไม่ทำให้พี่อู๋หนักใจเด็ดขาด

     

    แต่อย่างแรกเลย พี่ต้องหยุดบ่นก่อนนะ

    ถ้าพี่ไม่หยุด – ผมจะอาละวาดจริงๆด้วย





    TBC


    ____________________________
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in