เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Not today, he said.Ms.Ambiguous
The Rich Man
  • 21



     

    ผมไม่เคยถูกจับได้คาหนังคาเขามาก่อน แม้แต่สมัยมัธยมต้นที่เคยทดลองเป็นเด็กเกเร ปีนกำแพงหนีเรียนไปกินน้ำแข็งไสก็ไม่เคยโดนจับได้ นี่คือครั้งแรกที่ถูกจ้องด้วยแววตาเอาเรื่อง หญิงชราร่างท้วมไม่ได้ใจดีเหมือนพี่อู๋ เธอมองกอริลลาก้องตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะปรี่เข้ามากระชากเสื้อยืดที่ผมกำลังใส่อยู่ และสั่งให้ถอดออกเดี๋ยวนี้

     

    “นี่เสื้อหลานฉัน!” เธอหยิกแรงจนนายก้องเกียรติร้องโอ๊ย “ถอดออกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ! ไอ้ขี้ขโมย! คราวนี้ฉันไม่ยอมแล้ว!”

     

    ผมทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ยืนร้องโอดโอยและรีบถอดเสื้อให้หญิงชราผู้เกรี้ยวกราด เธอใช้มือฟาดตามตัวกอริลลาก้องเหมือนสั่งสอนลูกหลานโทษฐานทำตัวเกเร แต่ความจริงแล้วเราคือคนแปลกหน้าต่อกัน ผมไม่รู้จักเธอ ไม่รู้แม้กระทั่งชื่อ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอเป็นญาติฝ่ายไหนของคุณอิศรินทร์ จู่ๆก็โดนตีเพี๊ยะๆและถูกกล่าวหาว่าเป็นขโมย เธอก่นด่านายก้องเกียรติสารพัดราวกับเราเคยพบกันมาก่อน ผมทำได้แค่เดินหนี แต่ยิ่งหนี เธอก็ยิ่งไล่ตาม

     

    “มานี่เลยนะ!”

     

    เธอยกมือจะฟาดหลังนายก้องเกียรติอีกซักที โชคดีที่พี่อู๋เปิดประตูเข้ามาขวาง เขาตกใจมากเมื่อเห็นคุณยายหรือไม่ก็คุณย่าตีกอริลลาก้องเหมือนเป็นขโมย พอผู้ปกครองตัวจริงมา ผมก็รีบวิ่งไปหลบหลังพี่อู๋ แต่หญิงชรายังเดินตาม เธอบอกหลานชายว่าไอ้เด็กนี่แหละที่เข้ามาขโมยของในบ้าน ไอ้คนนี้เลย แนจำได้ แนจำหัวมันได้ หัวทุยๆรกๆเหมือนกัน

     

    “ตลกแล้วแน นี่รุ่นน้องอู๋ เพิ่งมาจากลาดพร้าว”

    “รุ่นน้อง? รุ่นน้องที่ไหน?”

    “ที่มหาลัย” คุณอิศรินทร์โกหกเพื่อให้หญิงชราชื่อแนใจเย็นลง “อู๋ให้น้องยืมเสื้อแหละ น้องไม่ใช่ขโมยหรอก อู๋เป็นคนขับรถมาพาเองเนี่ย”

     

    พี่อู๋ที่แทนตัวเองด้วยชื่อเล่นกับผู้ใหญ่ก็ดูน่ารักดีหรอก แต่เวลาแบบนี้ไม่เหมาะสำหรับบรรยากาศอบอุ่นของครอบครัวเลย แนยังคงมองผมตาขวาง แกถามหลานชายอีกครั้งว่าจริงนะ จริงๆนะ ถามแบบนี้อยู่อีกสองสามหนก่อนจะยอมคืนเสื้อให้

     

    “ใครอิไปรู้ล่ะ(ใครจะไปรู้ล่ะ) อยู่ๆก็โผล่มาห้องก๋ง” แกบ่นกระปอดกระแปดพลางมองกอริลลาก้องรีบสวมเสื้ออย่างเร่งรีบ “กลับมาเมื่อไหร่ล่ะไอ้หมูอู๋?”

     

    ไอ้ -- หมูอู๋ --

     

    ผมขำไม่ออกเสียง

     

    “แรกเดี๋ยวนิ” (เมื่อกี๊เอง) พี่อู๋พูดด้วยสำเนียงภาคกลาง แต่คำที่ใช้ไม่คุ้นหูมนุษย์ขอบกรุงเทพอย่างผมซักนิด “ไปนอนตะแน ตอเช้าค่อยว่ากันใหม่” (ไปนอนเถอะแน พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่)

    “นอนพรือล่ะ รุ่นน้องอู๋ชื่ออะไรแนยังไม่รู้เหลย” (นอนอะไรล่ะ รุ่นน้องอู๋ชื่ออะไรแนยังไม่รู้เลย)

    “ก้อง” คุณอิศรินทร์ตอบแทน “ชื่อเต็มคือก้องเกียรติ”

    “ชื่อเหมือนลูกนักการเมือง”

    “คนชื่อก้องต้องเป็นลูกนักการเมืองทุกคนเออะแน?” (คนชื่อก้องต้องเป็นลูกนักการเมืองทุกคนเหรอแน?)

    “เอ๊า กวนตีนหลาว” (กวนส้นเท้าอีกแล้ว) แนบ่นก่อนจะโบกมือไล่ “ถ้าไม่ใช่ขโมยก็ไปนอน แนอินอนกัน” (แนก็จะนอนเหมือนกัน)

     

    กอริลลาก้องรีบยกมือไหว้สวัสดีคุณแนอีกครั้งแล้ววิ่งตามหลังผู้ปกครองกลับห้อง พอได้อยู่ด้วยกันสองคน ผมก็รัวมือใส่หลังพี่อู๋แรงพอๆกับที่แนเคยรัวใส่ คุณอิศรินทร์ร้องโอดโอยพร้อมกับจับข้อมือทั้งสองข้างของกอริลลาก้อง เขาหงุดหงิดและถามว่าตีทำไมเนี่ย

     

    “เอาคืน”

    “เอาคืนอะไรล่ะ ก้องเดินเข้าห้องก๋งเองนะ”

     

    พี่อู๋ย้อนกลับ ซึ่งก็จริงตามเขาว่า ผมจะไม่โดนหยิกเลยถ้าไม่เปิดประตูเข้าไปในห้องส่วนของครอบครัวเขา มันช่วยไม่ได้นี่ เสียงปิ๊บ ปิ๊บ ปิ๊บ นั่นน่าสงสัยจะตาย ผมแค่กลัวเครื่องใช้ไฟฟ้าเออเร่อ ถ้ารู้ว่ามันคือเสียงเครื่องวัดอัตราการเต้นของหัวใจ ผมคงไม่เสนอหน้าเข้าไปหรอก

     

    “โดนแนตีเจ็บไหม?”

    “เจ็บสิ!” ผมถลกเสื้อให้ผู้ปกครองดู “ผมไม่รู้ว่าแนคือใคร แต่แนของพี่หยิกผมจนแดงทั้งตัวเลย”

    “สมน้ำหน้า” พี่อู๋เฉดหัวกอริลลาก้อง “เดือนก่อนมีวัยรุ่นเมาท่อมแอบเข้ามาขโมยของในบ้าน --”

    “เมาอะไรนะพี่?”

    “ท่อม” เขาขัดใจเมื่อผมไม่รู้จักท่อม “ใบกระท่อมที่เอาไปต้มกินแล้วจะรู้สึกเหมือนลอยในอวกาศไง”

    “พี่เคยกินเหรอถึงรู้ว่าลอยในอวกาศเป็นยังไง?”

    “ฟังเพื่อนเล่ามา”

     

    คุณอิศรินทร์เฉไฉ ผมไม่รู้หรอกว่าเขาตอแหลหรือเปล่า

     

    “เออ ช่วงนี้มีเด็กซอยข้างๆชอบปีนรั้วเข้ามาขโมยของ จับได้ทีไรพ่อแม่เด็กก็มากอดขาขอความเห็นใจทุกที แนยอมปล่อยตั้งสองสามรอบแน่ะ”

    “แนคือคุณย่าหรือคุณยายของพี่?”

    “ยาย”

    “ทำไมถึงเรียกแนอ่ะ?”

    “ไม่รู้ว่ะ ต้องถามก๋งที่นอนบนเตียงว่าทำไมเราไม่เรียกยายว่าอาม่าเหมือนบ้านคนอื่นเขา ถ้าก๋งลุกขึ้นมาตอบก้องจริงๆนะ อัลปากาที่เคยอยากได้ พี่ก็จะซื้อให้”

    “ขนาดนั้นเลย?”

     

    พี่อู๋ยักคิ้วยิ้มๆ ผมรู้ว่ามุกตลกอย่างรอให้ก๋งตื่นมาตอบคำถามไม่ใช่มุกน่าขำซักนิด คุณอิศรินทร์กำลังบอกนายก้องเกียรติอ้อมๆต่างหากว่าก๋งไม่มีวันให้คำตอบได้แล้ว สั้นๆคือก๋งกลายเป็นเจ้าชายนิทราที่ไม่มีวันตื่น และนายก้องเกียรติไม่มีวันได้เลี้ยงอัลปากาเช่นกัน

     

    จริงๆผมมีคำถามอยากถามมากกว่านี้ อยากถามว่าก๋งป่วยเป็นอะไรทำไมถึงกลายเป็นเจ้าชายนิทรา อยากถามว่าแนของเขานอนที่ไหนเพราะผมเห็นเตียงอีกหลังวางริมผนังในห้องของก๋ง มันเป็นอารมณ์ทำนอง “อยากรู้แต่ไม่อยากถาม” ถ้าสามารถร้องเป็นเพลงออกมาแก้เครียดได้ ผมคงร้องให้ผู้ปกครองฟังแล้ว

     

    “พรุ่งนี้เจ๊ออมมา หอบลูกหอบผัวจากหาดใหญ่มาด้วย” คุณอิศรินทร์บอก ดูคำพูดจาที่พูดถึงพี่สาวสิ น่าตีปากชะมัด “บ้านพี่จะวุ่นวายโคตรๆเพราะญาติๆเริ่มทยอยมาแล้ว”

    “หมายถึงมาค้างที่นี่เหรอครับ?”

    “ช่าย ช่วงปีใหม่ ลูกหลานของแนกับก๋งจะมาอยู่ด้วยกัน เคานท์ดาวน์ข้ามปีด้วยกัน ถล่มบ้านให้พังด้วยกัน หลังจากนั้นก็แยกย้ายกลับบ้านตัวเอง ทิ้งให้ป้าอ้อยตามเก็บ”

     

    พี่อู๋หัวเราะ เขายิ้มเมื่อพูดถึงความโกลาหลที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ผมเดาเอาว่าเขาคงเป็นผู้ชายประเภทรักครอบครัวมากแน่ๆ ไม่งั้นจะตั้งหน้าตั้งตาคอยนับวันที่เด็กๆกลับมาถล่มจนบ้านพังทำไม

     

    “พี่กลับบ้านทุกปีใหม่เหรอ?”

    “อืม” เขาตอบ “งานยุ่งแค่ไหนก็ต้องกลับ นายไม่ให้กลับก็จะกลับ”

    “ได้เหรอ?”

    “ได้สิ พี่เคยให้นายเลือกสองทางคือหนึ่งใบลา กับสอง ใบลาออก พี่วางบนโต๊ะและถามนายว่าอยากเซ็นใบไหน แค่นั้นจบ พี่ได้กลับบ้านเลย”

    “เพราะนายเซ็นใบลาออกให้พี่ใช่ไหมครับ?”

     

    แน่ะ มามุกนี้ ผมรู้ทันหรอกนะ

     

    “ถูกต้อง”

    “ทำไมพี่เล่าหน้าระรื่นจัง เป็นผมคงเศร้าตายเลยที่โดนไล่ออก”

    “ไม่เศร้าหรอก โตไปเดี๋ยวก้องก็รู้ว่าการลาออกไม่ใช่เรื่องใหญ่” พี่อู๋สอนกอริลลาก้อง “การไม่หางานทำก็เช่นกัน จำไว้นะ ตกงานไม่ใช่เรื่องใหญ่ถ้าเรารวย”

    “ผมว่าอันหลังไม่น่าจะใช่นะครับ”

    “ใช่สิ ก้องจะไม่ทำงานก็ได้ถ้าก้องมีเงินเก็บมากพอ”

     

    พี่อู๋ล้มตัวลงนอน เขาตบที่ว่างข้างตัวแปะๆเป็นเชิงเรียกเด็กในอุปการะให้มานอนด้วยกัน พอจัดแจงแยกผ้าห่มและแบ่งหมอนข้างเรียบร้อย คุณอิศรินทร์ก็ดับไฟ ผมมองเห็นสติ๊กเกอร์ดาวสะท้อนแสงเต็มเพดานเลย

     

    “ดาวเยอะจัง”

    “สมัยวัยรุ่นคันไม้คันมืออยากแปะ พอแก่แล้วดูรกหูรกตาซะงั้น”

    “ผมว่ามันสวยดี พี่ไม่ต้องแกะออกนะ ผมจะนอนดูทุกคืนเลย”

    “ถึงไม่แกะมันก็หลุดเอง กาวมันติดนานต้องมีเปื่อยบางล่ะ”

     

    เราเงียบ นอนมองเพดานที่มีดาวสะท้อนแสงแปะกระจัดกระจายโดยปราศจากบทสนทนา จะว่าไปห้องพี่อู๋เหมือนห้องเก่าของผมเลย มีเฟอร์นิเจอร์ไม่เยอะ ผ้าม่านสีครีม มีของแปะตามผนังห้องเป็นหย่อมๆ ของพี่อู๋เป็นโปสเตอร์นักร้องวงร็อคสมัยยี่สิบกว่าปีก่อน ส่วนของผมเป็นสติ๊กเกอร์แถมที่ได้จากขนมซอง ผมชอบติดมันไว้ตามฝาบ้านจนแม่บ่น พอคิดถึงเรื่องเก่าๆแล้วก็หลุดขำ การเป็นเด็กนี่ดีจัง แค่สติ๊กเกอร์ฟรีก็ทำให้ยิ้มได้แล้ว

     

    “ก้องคิดยังไงกับคนป่วยที่เป็นผักเหรอ?”

    “ผัก?” ผมทวนคำ “ผักไหนอ่ะพี่ แครอทเหรอ? หรือมะเขือเทศ?”

    “ไอ้ควาย” เขาด่ากอริลลาก้อง “ผักก็คือคนป่วยที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ไง ไม่รับรู้ ไม่ตอบสนอง สั้นๆคือตายแต่ยังหายใจ”

    “พี่หมายถึงก๋งใช่ไหมครับ?”

    “อืม ถ้าสมมติว่าคนในครอบครัวที่ก้องรักมากๆกลายเป็นผัก ก้องจะทำยังไง?”

    “ผมจะทำทุกอย่างเพื่อให้เราได้อยู่ด้วยกันตลอดไป”

     

    ผมตอบตามตรงเมื่อจินตนาการถึงแม่กลายเป็นผักนอนติดเตียง จริงๆนะ ต่อให้ต้องเหนื่อยแค่ไหน ต่อให้ไม่ได้เรียน ต่อให้อดหลับอดนอนเพื่อดูแลแม่ หรือต้องทำงานสายตัวแทบขาดเพื่อหาเงินมาหมุนค่าใช้จ่ายในบ้าน ผมก็จะทำ ผมจะไม่มีวันปล่อยแม่ไปง่ายๆหรอก

     

    “ตลอดไปของก้องนี่นานแค่ไหน?”

    “ก็คือตลอดไป” ผมทวนคำ “จนกว่าความตายจะพรากเราจากกัน”

     

    พี่อู๋เงียบไปเลย คราวนี้เขาขยับตัวนิดหน่อยแล้วนิ่งสนิทเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง กอริลลาก้องที่นอนข้างๆนึกว่าผู้ปกครองของมันจบบทสนทนาแล้ว ถึงเวลาเข้านอนหลังการเดินทางอันยาวไกลเสียที จังหวะที่ดึงผ้านวมมาห่มถึงปลายคาง จู่ๆพี่อู๋ก็พูดว่า

     

    “บ้านพี่น่ะ -- พูดตลอดว่าไม่ควรมีงานศพสองงานในปีเดียวกัน”

     

    ผมไม่เซ้าซี้ เพราะรู้ว่าผู้ปกครองกำลังเล่าบางอย่างที่น่าลำบากใจมากๆให้ฟัง

     

    “ของเอมเพิ่งจัดไปต้นปี ถ้ามีของก๋งท้ายปีอีก --”

    “พี่พูดอะไรน่ะ ก๋งไม่ได้จะตายซักหน่อย” ผมตำหนิที่เขาพูดจาไม่เป็นมงคล “พี่อย่าคิดเยอะสิ แนของพี่ยังดูเข้มแข็งกว่าพี่ในตอนนี้อีก”

    “คิดเยอะอะไรล่ะ เขาคุยกันมาหมดแล้ว”

    “คุยอะไรเหรอครับ?”

    “คุยว่าเราจะถอดเครื่องช่วยหายใจของก๋ง”

     

    ผมช็อค เพราะไม่คิดว่าครอบครัวจะทำใจยอมปล่อยให้จากไปง่ายๆแบบนี้ แต่ประโยคถัดมาทำให้ช็อคยิ่งกว่า ช็อคจนผมต้องเอื้อมตัวกอดพี่อู๋แน่นๆเลย

     

    “เขาให้พี่เป็นคนถอดว่ะก้อง”

     

    คุณอิศรินทร์เสียงสั่นแล้วบีบมือผม บทสนทนาเครียดๆจบลง มีแค่กอริลลาสองตัวนอนปลอบใจซึ่งกันและกันอยู่บนเตียง

     

     

     

    เรื่องของก๋งหายไปเมื่อพระอาทิตย์ขึ้น ผมตื่นนอนตอนเช้า อาบน้ำล้างหน้าแปรงฟันและเลือกสวมเสื้อผ้าของพี่อู๋แทนที่จะเป็นของเอม พอเห็นผู้ชายสองคนลงมากินข้าวก็โดนคุณแม่แซว แกบอกว่าปกติเวลากลับบ้าน พี่อู๋ชอบนอนตายจนบ่ายสามบ่ายสี่ นอนจนหลานพังประตูเข้าไปถึงจะตื่น แต่นี่เพิ่งเจ็ดโมงเช้าเอง รายการข่าวเพิ่งเริ่มไม่กี่เบรก อู๋ตื่นมาทำอะไรเหรอลูก ปวดอึ ปวดไข่ หรือปวดอะไรไหนบอกแม่หน่อยสิจ๊ะพ่อรูปหล่อ

     

    “แม่ไม่คิดว่าอู๋ต้องตื่นเช้าไปทำงานบ้างเหรอ?”

     

    พอพูดเรื่องงาน ผมก็เสียวสันหลังวาบ ไม่แน่ใจว่าครอบครัวของเขารู้หรือยังว่าคุณอิศรินทร์ตกงานมาสี่เดือนกว่าแล้ว และท่าทางจะว่างอีกยาวเพราะเขาไม่มีกะจิตกะใจอยากหางานทำเลย

     

    “ข้าวเช้าอ่ะ?”

    “เหนียวไก่”

     

    คุณแม่ตอบ ผมเดาเอาเองว่าแกคงหมายถึงข้าวเหนียวไก่ทอด

     

    “เบื่อเหนียวไก่แล้วอ่ะ ไปกินติ่มซำดีกว่า ไปเหอะก้อง”

     

     พี่อู๋ลุกขึ้นยืน ผมจึงต้องรีบวิ่งตามหลังผู้ปกครองไปติดๆ แม่พี่อู๋ตะโกนสั่งว่าให้ซื้อฝากป๊ากับแนด้วย แต่พี่อู๋กวนตีนกลับด้วยการตอบว่าไม่ซื้อ อยากกินก็ขับรถไปเอง ซักพักผมเห็นแม่พี่อู๋เดินมาถึงประตูหลังบ้าน แกกอดอกมองคุณอิศรินทร์เหมือนพร้อมด่าไฟแลบตลอดเวลาจนผู้ปกครองของผมต้องให้สัญญา

     

    “โอเคครับคุณพี่ คุณพี่ผู้รักผัวห่วงผัวยิ่งกว่าสิ่งใดใด” เขาประชด “เดี๋ยวจะซื้อติ่มซำไข่เค็มมาฝาก”

    “แนกินเค็มไม่ได้ไอ้อู๋! แนเป็นความดัน!”

    “ก็ไม่ต้องกินดิ!”

    “งั้นไม่ต้องเข้าบ้าน! ไปเลย! อย่ามาเหยียบบ้านฉัน!”

    “บ้านเธอหรือบ้านก๋งกันแน่ฮะคุณสร้อยเพชรอ? ไหนพูดใหม่อีกทีซิ!”

     

    พี่อู๋หัวเราะคิกคักแล้วขับรถออกจากบ้าน มุ่งสู่สถานที่ที่มีชื่อว่า “สะพานยาว” ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันอยู่ที่ไหน แต่พี่อู๋เลี้ยวซ้ายหลังเจอสี่แยกไฟแดง ขับไปตามถนนคดโค้ง ผ่านโรงเรียนประถม ผ่านวงเวียนขนาดใหญ่ ก่อนจะเลี้ยวขวาถึงศาลเจ้าที่ที่ตั้งอยู่กลางถนนและจอดรถตรงซ้ายมือ ไหนล่ะสะพานยาว ผมเห็นแค่สะพานสั้นๆข้ามคลองตรงโน้นเอง

     

    “ไปจองโต๊ะกัน”

     

    คุณอิศรินทร์ปลดเข็มขัดนิรภัยและลงจากรถ เรากำลังยืนอยู่หน้าร้าน วัฒน์ติ่มซำ ซึ่งมีมอเตอร์ไซค์จอดเรียงรายเต็มไปหมด ร้านเป็นตึกแถวหลายคูหา มีตู้วางเข่งติ่มซำเรียงแน่นอยู่หน้าร้าน ถัดไปคือเตานึ่งขนาดใหญ่สามเตา พนักงานเกือบยี่สิบคน โต๊ะทำข้าวต้มอยู่ห้องแถวซ้ายสุดติดกับโต๊ะชงเครื่องดื่ม ส่วนที่เหลือคือโต๊ะไม้เนื้อแข็งสำหรับลูกค้าล้วนๆ ดูท่าทางคงอร่อยมากแน่ๆ เพราะขนาดเช้าวันนี้เป็นวันทำงาน คนยังแห่มากินจนเราแทบหาที่นั่งไม่เจอ

     

    “เดินไปหยิบเลยก้อง อยากกินอะไรก็หยิบ เอามาเยอะๆ”

     

    พี่อู๋บอกเมื่อทิ้งตัวนั่งจองโต๊ะที่อาเจ๊คนหนึ่งเพิ่งลุกออกจากร้าน กอริลลาก้องที่ไม่เคยเจอร้านขายอาหารแบบนี้ถึงกับทำอะไรไม่ถูก ผมยืนอ๊อง งง ไม่เข้าใจว่าหยิบเลยคืออะไรจนต้องสังเกตลูกค้าในร้าน

     

    อ๋อ --

    พวกเขามีถาดในมือกันคนละใบ หลังจากนั้นก็หยิบเข่งติ่มซำในตู้แช่วางบนถาด บอกเถ้าแก่หน้าเตานึ่งว่าตัวเองนั่งตรงไหน และกลับมารอที่โต๊ะ แค่นั้น

     

    ฟังดูเหมือนง่าย แต่ไม่ง่ายเพราะผมไม่รู้จะหยิบอะไร

     

    ตั้งแต่เกิดมา ผมเคยกินติ่มซำแค่สองสามครั้ง แถวบ้านไม่ค่อยมีร้านอาหารประเภทนี้ ส่วนมากเป็นตลาดสดหรือไม่ชายสี่บะหมี่เกี๊ยว ภาพติ่มซำในความทรงจำคือขนมจีบสามลูกโรยด้วยกระเทียมเจียว แต่สำหรับที่นี่ติ่มซำเป็นยิ่งกว่าบุฟเฟ่ต์นานาชาติ มีหลายแบบหลายหน้า มีไข่เค็ม ไข่เยี่ยวม้า ไข่นกกระทา ปลากะพงนึ่งขิง เต้าหู้ปลา ปูอัด บะหมี่หยก และซาลาเปาไส้ต่างๆมาครบ ผมได้แต่ยืนลังเล ไม่รู้จะเลือกอันไหน สุดท้ายหยิบมาแค่เห็ดหอมกับบล็อกโคลี่สองถ้วยส่งให้เถ้าแก่ที่กำลังนึ่งติ่มซำควันขโมงอยู่หน้าเตา

     

    “โต๊ะไหนลูกบ่าว?”

    “โต๊ะนั้นครับ”

     

    ผมชี้แล้วกลับไปนั่ง พอได้โอกาสผลัดเวรกัน พี่อู๋ก็ลุกไปหยิบที่ตัวเองอยากกินบ้าง เท่าที่เห็น ผมไม่แน่ใจว่าเขากินหรือกวาด เพราะพี่อู๋หยิบแทบทุกถาดที่นิ้วเอื้อมถึง ผมเกาแก้มยิกๆเมื่อเห็นผู้ปกครองเลือกเข่งติ่มซำเกือบยี่สิบใบ เผลอๆมากกว่านั้นอีก พอส่งถาดให้เถ้าแก่แล้วก็กลับมานั่งที่และบอกผมว่าไม่ต้องสั่งข้าวต้มนะ กินติ่มซำให้พุงแตกตายไปเลย

     

    “พี่ซื้อเหมือนเรามากันสิบคน”

    “ก็ใช่น่ะสิ ซื้อไปฝากป้าสร้อยด้วย”

     

    เขาเรียกแม่ตัวเองว่าป้าสร้อยหน้าตาเฉย ถ้าเป็นแม่ผมนะ คงโดนดีดปากเพี๊ยะๆ โทษฐานลามปามผู้ใหญ่

     

    ระหว่างรอติ่มซำมาเสิร์ฟ ผมกับพี่อู๋คุยเล่นกันหลายเรื่อง เขาบอกว่าวันนี้เราจะต้องเจอใครบ้าง ใครจะมาค้างบ้านเขา ลูกพี่ลูกน้องคนไหนแสบสุดในบรรดาสิบสามคน ผมฟังเรื่องส่วนตัวของคุณอิศรินทร์ฆ่าเวลาเพลินๆ หลังผ่านไปเจ็ดนาที ติ่มซำยี่สิบกว่าเข่งก็มาเสิร์ฟ และมหกรรมแดกจุก็เริ่มขึ้น

     

    “นี่น้ำจิ้มนะ ชิมก่อนค่อยเท”

     

    พี่อู๋ส่งขวดซอสมาให้ มันมีสองแบบ ขวดแรกเป็นซอสสีส้มใสๆเหมือนซอสพริก ขวดที่สองเป็นซอสน้ำจิ้มไก่ ผมไม่รู้ว่ากินกับอะไรถึงจะอร่อยเลยบีบใส่ถ้วยสองใบแล้วใช้ส้อมเล็กๆตักติ่มซำไข่เค็มเข้าปาก

     

    “อร่อยไหม?”

    “อร่อยครับ”

     

    ผมยิ้มและชูนิ้วโป้ง ใต้ไข่เค็มคือหมูปั้นก้อนนุ่มๆเด้งดึ๋งเหมือนที่เคยกินในร้านชาบู ส่วนด้านบนเป็นท็อปปิ้งแตกต่างกันไป สิ่งที่ผมชอบที่สุดไม่ใช่ไข่เค็มมันๆบนหน้า แต่เป็นเนื้อหมูต่างหาก หมูที่อร่อยโดยไม่ต้องใส่เครื่องเทศมากมาย ไม่มีพริกไทย ไม่มีผักผสม ไม่มีกระเทียม นี่แหละ -- หมูในฝันแห่งสรวงสวรรค์ของผมและคุณอิศรินทร์เลย

     

    ผมกับพี่อู๋ช่วยกันกินจนเกลี้ยง เกลี้ยงชนิดที่ว่าแม้แต่น้ำซุปก้นถ้วยยังยกซดอึกๆ มื้อแรกของกอริลลาปิดท้ายด้วยโอวัลตินเย็นหวานเจี๊ยบหนึ่งแก้ว และเราก็กลับบ้านกัน  

     

     

     

     

    พี่อู๋เอาอาหารเช้าถวายป้าสร้อยที่นั่งดูข่าวอยู่หน้าทีวีก่อนจะชวนผมไปหน้าบ้าน เขาบอกว่ามีห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่เท่าร้านติ่มซำและมีของให้เล่นเพียบเลย ซึ่งของเล่นที่ว่าน่ะ --

     

    กระดานลื่นสำหรับเด็กสามถึงห้าขวบ แป้นชู้ตบาสที่สูงเท่าสะดือนายก้องเกียรติกระดานแม่เหล็กไว้แปะบัตรคำต่างๆ และกล่องใส่ของเล่นมากมายเต็มไปหมด

     

    นี่คุณอิศรินทร์เห็นผมเป็นน้องอีกคนหรือไง ไม่คิดบ้างเหรอว่ากระดานลื่นอันนั้นเปราะง่ายขนาดไหน แค่ก้าวขาข้างเดียว พลาสติกบางๆนั่นก็แตกแล้ว ถ้าจะให้ผมเล่นต้องซื้ออันที่ใหญ่กว่านี้สิ อันที่เป็นเหล็กในสวนสาธารณะน่ะ แบบนั้นเลย ผมถึงจะสไลด์ลงมาได้

     

    “อย่าโฟกัสของเล่นเด็กสิ นู่น ทีวี --”

     

    พี่อู๋อวดโทรทัศน์จอใหญ่ที่สุดเท่าที่กอริลลาเคยเห็น มีโซฟาหนังสีดำขนาดใหญ่วางห่างจากทีวีประมาณห้าเมตร ข้างๆเป็นรูปปั้นเทพเจ้าจีนวางเรียงรายในตู้ คุณอิศรินทร์บอกว่าจะทำอะไรก็ได้ในห้องนี้ จะกินขนมหก จะเลอะเทอะ หรือจะนอนขวางทางยังไงก็ได้ แต่อย่าให้ตุ๊กตาแก้วในตู้แตกล่ะ ไม่งั้นหัวนายก้องเกียรติได้แตกตามตุ๊กตาแน่

     

    “เดี๋ยวสิบโมงคงทยอยกันมา อาจจะน่ารำคาญหน่อย ถ้าอึดอัดก็บอกนะ พี่จะพาไปอยู่ข้างบน”

     

    ผมตอบแค่ครับ และพยายามไม่กังวล ถึงเราจะได้อยู่กันสองคนในห้องนั่งเล่นแต่ผมกลับไม่อุ่นใจเหมือนอยู่ลาดพร้าวเลย ที่นี่ไม่ใช่ที่ของผม เป็นที่แปลกประหลาด เป็นที่ที่นายก้องเกียรติไม่สามารถอยู่ได้ถ้าไม่มีพี่อู๋ คุณอิศรินทร์คงรับรู้ถึงความกังวลของเด็กชอบเก็บตัวอย่างกอริลลาก้องจึงคอยพูดปลอบตลอดว่าไม่เป็นไร ลูกพี่ลูกน้องของเขาซนก็จริงแต่มีมารยาทนะ ถ้าผมเกลียดเด็ก ไม่อยากเล่นกับเด็กเขาก็ไม่ว่า เขาจะพาผมไปนอนดูเน็ตฟลิกซ์ในห้องนอนแทน

     

    นาฬิกาบอกเวลาว่าสิบโมงสี่สิบห้านาที

     

    ผมนอนกัดเล็บดูทีวีกับผู้ปกครอง ซักพักเสียงร้องกรี๊ดกร๊าดของเด็กก็ดังขึ้นพร้อมเสียงฝีเท้า มากันแล้ว พี่อู๋พูดยิ้มๆ เขาหันไปทางประตูเลื่อนก่อนจะกางแขนกว้างรับเด็กหญิงอายุประมาณเจ็ดขวบเข้ามากอดแน่น

     

    “โกอู๋หวัดดีค่ะ” เธอเหลือบมองผมและเริ่มทำตัวล่อกแล่ก “นี่ใครอ่ะ?”

    “เพื่อนโกเอง ชื่อก้อง ต่อไปเหมยต้องเรียกเขาว่าโกก้องนะรู้ไหม”

    “หวัดดีค่ะโกก้อง” เด็กหญิงเหมยยกมือไหว้ตามมารยาท “ปีนี้โกพีไม่มาเหรอ?”

     

    พี่อู๋ดูลำบากใจเมื่อ โกพี กลายเป็นหัวข้อสนทนา ผมเองก็อึดอัดไม่รู้จะพูดอะไร เดาเอาว่าหลานสาวของเขาคงรู้แหละว่าคุณหมูพีสำคัญกับคุณอิศรินทร์มากขนาดไหน แต่ไม่รู้ว่าพวกเขาเลิกกันแล้ว

     

    “โกพีติดธุระเลยมาไม่ได้อ่ะ”

    “หนูโทรหาโกพีได้ไหม?”

     

    ผมล่ะลำบากใจแทนเขาจริงๆ

     

    “โทรได้สิ แต่เหมยต้องใช้โทรศัพท์ตัวเองโทรนะ”

     

    เด็กหญิงเหมยเข้าใจง่ายกว่าที่คิด เธอถามถึงของฝากนิดหน่อยก่อนจะวิ่งไปเล่นของเล่นหลังห้องโดยมีเด็กผู้ชายที่มีใบหน้าคล้ายคลึงกันสามคน สวมแว่นสายตาสี่แหลี่ยมทรงคล้ายๆกัน ก้มหน้ากดพีเอสพีเดินเรียงแถวเข้ามาในห้อง พวกเขาทักทายคุณอิศรินทร์ว่า

     

    “โกอู๋หวัดดีครับ”

     

    แล้วแยกย้ายกันไปนั่งคนละมุมของโซฟา ไม่มีใครสนใจนายก้องเกียรติที่นั่งข้างพี่อู๋เลยซักคน

     

    “แฝดเหรอครับ?” ผมถาม แต่ดูจากวัยที่ค่อนข้างต่างกันพอสมควร ผมว่าไม่น่าใช่แฝด

    “พี่น้องน่ะ ไม่ได้มีแค่หน้านะที่ถอดแบบมา สมองมันก็ก็อปปี้ส่วนดีๆจากพ่อกับแม่มาทั้งนั้น”

     

    พี่อู๋พูดด้วยความภูมิใจ เขาชี้นิ้วแนะนำน้องชายให้นายน้องเกียรติรู้จักทีละคน คนแรกที่ผมยาวกว่าใครชื่อสมาร์ท อายุสิบแปดเท่านายก้องเกียรติและเพิ่งสอบเข้าวิศวะลาดกระบังได้เมื่อกลางปีที่ผ่านมา ผมพูดว่าหวัดดีสมาร์ท เขาตอบกลับมาว่าหวัดดีโดยไม่เงยหน้าจากพีเอสพีเลย

     

    คนถัดมาที่ตัดรองทรงชื่อสไปก์ ไอ้นี่หัวดีที่สุดในบรรดาสามคน ตอนนี้เรียนเตรียมอุดม แม่หวังให้เป็นหมอแต่มันดันบอกว่าไม่เรียน อนาคตใฝ่ฝันอยากเป็นเศรษฐี อยากทำอาชีพอะไรก็ได้ที่รวยและไม่เหนื่อย แม่มันเลยประชดให้ไปขายยา ขายยาในความหมายของแม่คือยาบ้า แต่ไอ้สไปก์ตีความผิดว่าขายยาแบบเภสัชกร มันเลยได้เป้าใหม่ อยากยืนตากแอร์เย็นๆในร้านขายยาของตัวเอง

     

    “เออ ตลกดีว่ะ”

    “มีตลกกว่านี้อีกนะ”

     

    พี่อู๋พูดแล้วชี้ไปที่เด็กชายอายุน้อยสุด ผมเดาเอาว่าน่าจะเพิ่งขึ้นมัธยม ดูทางทรงผมที่เกรียนติดหนังหัวแล้วต้องเป็นเด็กมัธยมแน่ๆ ทรงที่ตบหัวแล้วดังแป๊ะๆนั่นแหละ ช่วงวัยเด็กอันน่าจดจำสำหรับนายก้องเกียรติเลย

     

    “นี่สากล --”

    “สากล?” ผมทวนชื่อหลานชายของเขาอีกครั้ง “สมาร์ท สไปก์ กับสากลเหรอครับ?”

    “เออ มันเกิดมาได้เพราะพ่อกับแม่พากันไปเที่ยวสกลนคร แล้วก็จนปัญญากับการตั้งชื่อให้เข้ากับพี่ๆมาก สมาร์ท สไปก์ สไบ สบง สบาย สบี่ สบอย สะดม สะดึง สระไดร์ โอ๊ย -- คิดยาวไปจนถึงเสือกอ่ะ”

    “ใครมันจะตั้งชื่อลูกว่าเสือกวะพี่?”

    “เพราะแบบนั้นไงมันถึงชื่อสากล จะเรียกสกลตามชื่อจังหวัดก็ฟังดูขัดกับพี่ๆไปนิด งั้นชื่อสากลไปเลย สากล สากล สากล เวลาโมโหก็เรียกมันไอ้สกล!”

    “ได้ยินนะโกอู๋” สากลถลึงตามอง

    “เล่นแต่เกมจริงๆไอ้ทีมสอเสือใส่เกือก”

    “ก็มันไม่มีอะไรให้ทำอ่ะ” สไปก์บ่น “ละนี่โกพีไม่มาเหรอ?”

     

    คุณหมูพีอีกแล้ว --

     

    “ไม่มา”

    “ดีมาก”

    “ทำไม?”

    “รำคาญโกพี ชอบถามเรื่องเกรด” สมาร์ท พี่คนโตโพล่งแทนน้องชายอีกสองคนที่นั่งกดเกมกันคนละฟาก “แล้วนี่ใครเหรอครับ?”

    “รุ่นน้องพี่ ชื่อก้อง รุ่นเดียวกับสมาร์ทนั่นแหละ”

    “รุ่นน้องอะไรเด็กกว่าเป็นสิบปี”

    “ไม่งั้นเขาจะเรียกว่ารุ่นน้องเหรอไอ้สามารถ?”

     

    พี่อู๋ถามย้อน เด็กลาดกระบังยักไหล่ไม่สนใจก่อนจะก้มหน้าก้มตาเล่นเกมต่อ เวลาผ่านไปอีกครึ่งชั่วโมง ลูกพี่ลูกน้องคนอื่นๆทยอยตามมา เสียงห้องนั่งเล่นเริ่มเจี๊ยวจ๊าวเพราะมีเด็กเล็กมาด้วย กอริลลาก้องที่เป็นแขกไม่สามารถจำชื่อญาติทั้งหมดของพี่อู๋ได้จริงๆ ผมจึงแสร้งทำเป็นดูทีวีข้างพี่อู๋ พยายามทำตัวให้ชิลที่สุดทั้งๆที่เริ่มอึดอัดนิดหน่อยเพราะพวกเขาไม่ให้ความสำคัญกับผมเลย พวกแกเอาแต่ถามหาโกพีที่อยู่ไหนก็ไม่รู้

     

    “เด็กๆกินข้าวกัน”

     

    นาฬิกาบอกเวลาว่าเทียงเจ็ดนาที เสียงป้าอ้อยเรียกให้ทุกคนทิ้งของเล่นในมือแล้วปรี่ไปทางห้องทานข้าว มีแค่สามทหารเสือเท่านั้นที่ยังนั่งก้มหน้าก้มตากดเกมไม่เลิกจนแม่ของพวกเขาต้องมาตาม

     

    “ไป! กิน! ข้าว!”

     

    เธอโยกหัวลูกชายทีละคนเบาๆก่อนจะหันมายิ้มแหยให้กอริลลาแปลกหน้า เด็กสองคนบ่นอุบอิบแต่ก็ยอมวางพีเอสพีลงบนโต๊ะ มีแค่สมาร์ทเท่านั้นที่ยังเล่นอยู่ และแม่ของเขาก็ทำอะไรไม่ได้ด้วย

     

    “สมาร์ท กินข้าว”

     

    พี่อู๋ชวนเมื่อเหลือแค่เราสามคนในห้องนั่งเล่นใหญ่ สมาร์ทที่ตอนแรกยังเป็นเด็กติดเกมกลับเงยหน้าขึ้นแล้วถามพี่อู๋ว่าเลิกกับโกพีแล้วเหรอ ผมถึงกับอึ้งเพราะหลานของคุณอิศรินทร์นี่ฉลาดเป็นกรดจริงๆ

     

    “เออ เลิกละ”

    “ก้องคือแฟนใหม่ใช่หรือเปล่า?”

    “ไม่ใช่” ผมแย้ง “เราเป็นรุ่นน้องพี่อู๋จริงๆ”

    “โม้เหอะ พี่อู๋ทำงานมาสิบกว่าปีแล้ว ไม่น่าจะมีรุ่นน้องอายุเท่าเรานะ”

     

    สมาร์ทขยับแว่นเหมือนโคนัน นี่ผมต้องระวังตัวไหมว่าจะมีคดีฆาตกรรมหรือมีใครตายหรือเปล่า

     

    “คนใหม่อ่ะดิ” สมาร์ทตอกย้ำทฤษฎีของตัวเอง ส่วนกอริลลาก้องรีบส่ายหน้าปฏิเสธ “ถ้างั้นเป็นอะไรกับโกอู๋อ่ะ? ปกติโกไม่พาใครเข้าบ้านนะ”

    “เป็นรุ่นน้อง”

    “รุ่นน้องที่อายุสิบแปด?”

    “ใช่” ผมพยักหน้า “แค่แวะมาเที่ยวบ้านพี่อู๋เฉยๆ”

    “แล้วบ้านก้องอยู่ไหนเหรอ?”

     

    ผมมึนตึบพักนึงเพราะนึกไม่ออกว่าบ้านอยู่ตรงไหนกันแน่ ตกลงนายก้องเกียรติอยู่จรัญสนิทวงศ์หรือลาดพร้าว ผมไม่รู้ว่าควรตอบสมาร์ทยังไง

     

    “พาแฟนใหม่มาก็ยอมรับดิโก ยากตรงไหน?”

    “ก็ยังไม่ใช่แฟนไง” พี่อู๋ขมวดคิ้วพลางโบกมือไล่สมาร์ทให้ไปกินข้าว “ถามอะไรมากวะไอ้สามารถ ไปกินข้าวไป เดี๋ยวพ่อมึงร่อนจานมาโขกหัวหรอก”

     

    สมาร์ทยอมวางเกมแล้วเดินนำเราสองคนไปที่ห้องทานข้าว มันเป็นห้องขนาดใหญ่สีขาวที่มีเพียงแค่โต๊ะกับเก้าอี้ทำจากไม้เนื้อแข็ง ในห้องมีผู้ใหญ่ยืนคุยเสียงดังกันเต็มไปหมด กอริลลาก้องปรากฏตัวขึ้นโดยยกมือไหว้ทุกคน จากนั้นพี่อู๋ก็แนะนำว่านี่ก้องเกียรตินะ จบ ไม่มีการอธิบายว่าผมคือใคร เก็บมาจากไหน เรื่องราวเป็นยังไง ครอบครัวของเขารับรู้แค่ว่าผมชื่อก้องเกียรติเท่านั้น

     

    “นี่เหรอก้อง?”

     

    ผู้ชายดูคุ้นหน้าคุ้นตาถาม ผมยกไหว้เขาอีกครั้ง รู้ในทันทีว่าผู้ใหญ่คนนี้คือป๊าของพี่อู๋ที่เคยเห็นในรูปถ่ายครอบครัว

     

    “นั่งเลยก้อง กินขนมจีนเป็นไหม?”

    “เป็นครับ”

    “ดีๆ กินเยอะๆ ป๊าสั่งขนมจีนมาสิบโล กินให้หมดอย่าเหลือนะ”

     

    ตั้งสิบกิโล

     

    ผมอึ้ง แต่นั่นแหละ ครอบครัวพี่อู๋เป็นครอบครัวใหญ่ นับรวมๆแล้วในห้องนี้มีคนทานข้าวอยู่ประมาณยี่สิบสามคน และทุกคนกินจุเหมือนซ้อมออกรายการทีวีแชมป์เปี้ยนตอนนักแดกแหลก พวกเด็กๆตักขนมจีนใส่จานตัวเองแล้วเหยาะน้ำปลา ส่วนคนที่โตหน่อยจะกินกับน้ำแกง มีแกงอะไรบ้างผมไม่รู้ ผมก็เหยาะน้ำปลาเหมือนกัน

     

    “ก้องไม่กินเผ็ดเหรอ?”

     

    ผมส่ายหน้า ตอบไปว่าจริงๆแล้วกินได้แต่ไม่รู้จะเลือกกินกับน้ำแกงไหนดี คุณน้าท่าทางใจดีคนหนึ่งแนะนำให้ผมรู้จักทีละถ้วย นี่แกงไตปลา นี่แกงน้ำพริก สีแดงอมส้มดูเหมือนเผ็ดแต่ไม่เผ็ดซักนิด ส่วนทางนี้คือแกงเขียวหวาน แกงปู น้ำยากะทิ จะกินผสมกันอย่างละช้อนก็ได้ หรือราดอย่างเดียวก็ได้ หรือจะเหยาะน้ำปลาเหมือนพวกเด็กๆก็ได้ นายก้องเกียรติเลือกได้เลย เลือกที่ชอบ ที่อยากทาน

     

    นอกจากขนมจีนแล้วยังมีเครื่องเคียงอีกหลายอย่าง ไข่ยางมะตูมวางอัดแน่นบนถาด มีกุ้งทอด มีสารพัดผักวางเรียงเป็นตับ กอริลลาก้องที่ไม่ชินกับขนมจีนจึงเลือกเหยาะแค่น้ำปลา กินไข่ยางมะตูมครึ่งซีก กับกุ้งทอดแค่หนึ่งแผ่นเท่านั้น

     

    บรรยากาศตอนทานอาหารไม่ได้เคร่งเครียดหรือเคร่งมารยาทอย่างที่ผมกลัวเลย ผู้ใหญ่บางคนยืนกิน บางคนเคี้ยวผักมูมมาม บางคนซดน้ำแกงเสียงดัง พวกเขาพูดคุยหัวเราะเป็นภาษาใต้ด้วยความสนุกสนาน แม้แต่แนที่เคยน่ากลัวก็กลายเป็นธนาคารให้หลานๆไถตังโดยมีหัวโจกคือสไปก์ ไอ้นี่มันร้ายจริงๆอย่างที่พี่อู๋ว่า แค่คุยกับแนไม่ถึงสิบวินาที มันได้เงินห้าร้อยบาทไปซื้อโค้กลิตรแล้ว

     

    “เอาอะไรเปล่าโกก้อง?”

     

    สไปก์ถามโดยมีเด็กๆวิ่งตามหลังไปเป็นพรวน ผมส่ายหน้า บอกไม่เอาก่อนจะช่วยป้าอ้อยเก็บจานชามไปล้าง ห้องทานอาหารยังคงมีเสียงพูดคุยของผู้ใหญ่ มีทั้งอวดผลการเรียนลูกตัวเอง ทั้งด่าความดื้อความซนความแก่แดดของลูกให้ญาติคนอื่นๆฟัง ป๊ากับแม่พี่อู๋จะค่อนข้างเงียบกว่าใครเพราะลูกโตหมดแล้ว คนนึงเป็นหมอ คนนึงเป็นล่าม อีกคน -- ฆ่าตัวตาย

     

    เจ๊ออมนั่งกินขนมจีนเงียบๆไม่พูดไม่จา เธอยิ้มเมื่อผมยกมือไหว้เป็นหนที่สองแล้วถามพี่อู๋ว่า คนนี้เหรอ? ผู้ปกครองกอริลลาพยักหน้าและตอบว่า

     

    “คนนี้แหละ”

     

    แต่ผมไม่รู้ว่า คนนี้แหละ ของพวกเขาสามารถตีความได้ในแง่ไหนบ้าง

     

     

     

     

     

    นายก้องเกียรติอยู่ในครัวช่วยป้าอ้อยล้างจานจนพวกเด็กๆกลับมา สไปก์ซื้อโค้กลิตรมาสามขวด ที่เหลือเป็นขนมถุงไร้สาระของโปรดเด็กวัยกำลังโต เสียงเจี๊ยวจ๊าวจอแจดังขึ้นทันทีเพราะแก้วน้ำไม่พอสำหรับรินโคล่าให้ทุกคน ดังนั้นพวกพี่คนโตจึงสละสิทธิ์ เจ๊ออม พี่อู๋ และนายก้องเกียรติไม่กินโคล่าของน้องๆก็ได้

     

    “ทำไมต้องใช้แก้วอ่ะ ใช้ปากก็ได้ป้ะ?”

     

    สากลพูดแล้วกระดกขวดโคล่าทันที เด็กคนอื่นๆตำหนิการกินที่ไร้มารยาทและไม่มีสมบัติผู้ดีเอามากๆ แต่สุดท้ายพวกเขาก็ต่อแถวรอคิดยกขวดโค้กซดตามสากล

     

    “หม่าม้าบอกว่ายังไงคะเรื่องกินน้ำกับคนอื่น?” น้องชายคนหนึ่งโดนคุณแม่ดึงเสื้อไม่ให้เข้าไปร่วมวง “อย่ากินน้ำต่อจากปากใคร หม่าม้าสอนหนูแล้วไงครับ”

     

    ดูๆไปก็อบอุ่นดี

     

    บ้านหลังใหญ่ ครอบครัวใหญ่ พี่น้องที่วิ่งวุ่นทั่วทั้งบ้าน บทสนทนาตามประสาคุณพ่อคุณแม่และญาติๆกับอาหารมื้อใหญ่ บรรยากาศครอบครัวในฝันทำให้กอริลลาก้องอิจฉาจนพาลไปถึงเอม ครอบครัวของเขาสมบูรณ์แบบขนาดนี้ ญาติพี่น้องมีสตางค์ หน้าที่การงานดี ใจดีขนาดนี้ ไม่รู้จะฆ่าตัวตายให้พ่อแม่ช้ำใจทำไม

     

    ผมล้างจานเสร็จเรียบร้อย แต่ผู้ใหญ่ยังคงคุยกันอยู่ เจ๊ออมปลีกตัวขึ้นไปให้นมลูกเงียบๆบนชั้นสาม ส่วนญาติๆคนอื่นและพี่อู๋หน้าดำคร่ำเครียดคุยอะไรบางอย่าง ผมเห็นผู้ปกครองเท้าคางด้วยสีหน้าตึงๆ ดูกดดันเหมือนเจอทางตัน ดูอึดอัดเหมือนโดนใครบีบคอ ผมได้แต่มองพี่อู๋ผ่านบานกระจกนานหลายนาทีจนสมาร์ททิ้งตัวนั่งลงข้างๆ ผมถึงละสายตาจากผู้ปกครอง

     

    “ชอบเล่นเกมมากเลยเหรอ?”

    “อืม” เขาขานตอบแบบขอไปที “มีใครไม่ชอบเล่นเกมบ้าง อยากลองเล่นป้ะ?”

    “ไม่เป็นไร เรานั่งดูทีวีก็ได้ เพลินดี”

     

    แล้วผมก็เงียบ สมาร์ทก็เงียบ มีแค่เสียงกรี๊ดกร๊าดของเด็กคนอื่นๆและเสียงของเล่นกระทบกันเท่านั้นที่ดังในห้อง สามทหารเสือนั่งเล่นเกมกันคนละมุมเหมือนเดิม สมาร์ทนั่งข้างผม สไปก์นอนหนุนหมอนเล่นบนพื้น ส่วนสากลนั่งขวางทางกระดานลื่น ไม่ยอมให้น้องคนเล็กปีนขึ้นจนเกิดศึกน้ำตานองหน้า

     

    “ไอ้สกล มึงอย่าไปเล่นตรงนั้นดิวะ! น้องร้องแล้วเนี่ย!”

     

    สมาร์ทตะโกนตำหนิน้องชายโดยไม่เงยหน้าจากพีเอสพีเลยด้วยซ้ำ ผมเหล่มองสากลที่ค่อยๆกระถดตัวหลบให้น้องเล็กขึ้นไปเล่นกระดานลื่น ไม่เถียงกลับ ไม่กวนเท้า ไม่แกล้ง ไม่ทำอะไรทั้งนั้นนอกจากเล่นเกม เออ ไอ้สามทหารเสือมันบ้าเกมจริงๆอย่างที่พี่อู๋ว่า

     

    “อยากรู้ไหมว่าพวกผู้ใหญ่คุยเรื่องอะไร?”

     

    ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ ทั้งๆที่ตาจ้องจอในมือแท้ๆ แต่สมาร์ทก็ยังรู้ว่าผมให้คำตอบเขาว่ายังไง

     

    “เขาคุยกันเรื่องใครจะเป็นฝ่ายฆ่าก๋ง”

    “จริงดิ?”

    “จริง”

    “พี่อู๋เคยบอกว่าเขาต้องเป็นคนถอดปลั๊กเครื่องช่วยหายใจ” ผมเล่าให้สมาร์ทฟัง เดาจากท่าทางก็ค่อนข้างแน่ใจว่าเขารู้อยู่แล้ว “ทำไมต้องเป็นพี่อู๋อ่ะ?”

    “เพราะตอนนั้นโกติสท์แตกไปหน่อย พวกเด็กอาร์ตก็แบบนี้แหละ”

    “ยังไง?”

    “เข้าใจมนุษย์ แต่มนุษย์แม่งไม่เข้าใจพวกมัน”

     

    ผมหัวเราะ บางทีก็จริงอย่างที่สมาร์ทว่า พี่อู๋ดูเข้าอกเข้าใจไปซะทุกเรื่อง เขาคือตัวขวางโลกท่ามกลางสังคมที่ยึดถือศีลธรรมจอมปลอม เขาคือผู้ชายที่สนับสนุนให้ทำแท้งเสรีมากพอๆกับส่งเสริมให้มีพรบ.คู่ชีวิต ผมขอเดา -- อีกครั้ง ว่าพี่อู๋น่าจะเป็นคนบอกให้ปล่อยก๋งไป แต่คนอื่นไม่ยอม อาจจะมีเรื่องบาปบุญและความกตัญญูเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งเชื่อเถอะว่าผู้ปกครองของผมเขาไม่สนใจหรอก เขาหัวสมัยใหม่และคิดไกลกว่านั้น ไม่แน่เขาคงหลุดปากประชดประชัน บอกว่าถ้าไม่มีใครกล้าถอดเดี๋ยวอู๋ถอดเองก็ได้ หลังจากนั้นญาติพร้อมใจมัดมือให้เขาเป็นคนถอด ไหนๆก็ปากดีแล้ว ช่วยทำเหมือนที่พูดด้วย -- ผมแค่เดานะ

     

    “พวกผู้ใหญ่เชื่อว่าการถอดปลั๊กคือการฆ่าก๋ง”

    “แล้วปล่อยให้ก๋งนอนทรมานแบบนี้ไม่แย่กว่าเหรอ?”

    “นั่นดิ” สมาร์ทเห็นด้วย “เถียงกันมาตั้งแต่ต้นปี เมื่อไหร่เรื่องนี้จะจบ”

    “สมาร์ทพูดเหมือนอยากให้ก๋งตาย”

    “ใช่ ตายเถอะ บางครั้งตายก็ดีกว่าอยู่นะ”

     

    เราเงียบใส่กันชั่วครู่ ก่อนที่บทสนทนาจะเริ่มใหม่

     

    “เรียนมอไหนอ่ะ?”

    “ยังไม่มีที่เรียน”

    “จริงจัง?” สมาร์ละสายตาจากพีเอสพีแค่สองวิแล้วกลับไปให้ความสำคัญต่อ “ทำไมไม่เรียนต่ออ่ะ ขี้เกียจเหรอ?”

     

    ผมไม่รู้จะบอกสมาร์ทยังไงก็เลยเล่าคร่าวๆแค่ว่าผมขาดคะแนนโอเน็ตจึงยื่นเข้ามหาลัยไหนไม่ได้ สมาร์ทขมวดคิ้วยิ่งกว่าเดิมเมื่อรู้ว่านายก้องเกียรติขาดสอบ

     

    “ขาดได้ไง? วันสำคัญนะ”

    “อื้อ” ผมเม้มปาก “วันสำคัญสำหรับเราเหมือนกัน”

     

    แล้วก็เงียบอีก คลื่นความเงียบพัดมาเป็นระลอกเหมือนคลื่นในทะเล บางทีสมาร์ทก็ชวนผมคุย บางทีก็ด่าตัวละครในเกม มีบ้างที่หันไปด่าน้องชายสองคนแต่ส่วนใหญ่เขาจมอยู่ในโลกของเกมมากกว่า นาฬิกาบอกเวลาว่าบ่ายสองสิบเจ็ดนาที สมาร์ทถามผมถึงอนาคตที่เลิกฝันไปนานแล้ว

     

    “อยากเรียนต่อไหม?”

    “ยังไม่ได้คิดเลย”

    “การศึกษาสำคัญนะ” เขาย้ำด้วยท่าทีจริงจัง “ใบปริญญาสำคัญมาก”

    “ก็ -- ไม่รู้จะทำยังไงนี่”

    “ยื่นสอบโอเน็ตรอบพิเศษสิ”

    “ไม่อยากอ่านหนังสือใหม่แล้ว เราห่างจากการเรียนมานานเกินไป”

    “อยู่กรุงเทพไม่ใช่เหรอ? โรงเรียนกวดวิชาเยอะแยะ ไปสมัครสิ”

    “บอกแล้วไงว่าไม่มีเงิน”

     

    ผมถอนหายใจ สมาร์ทนี่ยังไงวะ บอกตั้งแต่แรกว่าไม่มีเงินๆ ยังจะผลักกอริลลาก้องกลับเข้าสู่ระบอบการศึกษาให้ได้ จู่ๆเด็กลาดกระบังผู้มีใจรักในเกมเงยหน้าขึ้น เขามองมาทางผมด้วยแววตาประหลาดราวกับผมทำเรื่องโง่ๆออกไป ผมมองหน้าสมาร์ท เราจ้องตากัน ก่อนที่ดวงตาสองชั้นคู่นั้นจะกลับไปมองจอต่อหลังพูดประโยคหนึ่ง

     

    “บอกโกอู๋สิ”

     

    สมาร์ทแนะนำด้วยสีหน้าท่าทางที่จริงจังมากๆ

     

    “โกอู๋น่ะ -- เป็นยิ่งกว่ากยศ.ซะอีก รู้หรือเปล่า”





    TBC

    ________________________
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in