เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Not today, he said.Ms.Ambiguous
New Journey
  • 19




     

    วันที่ 25 ธันวาคม

     

    ผมตื่นนอนตอนตีห้าสิบสี่นาทีในเช้าวันคริสต์มาส สภาพอากาศแถวลาดพร้าวยี่สิบเจ็ดค่อนข้างครึ้มนิดหน่อย อาจเป็นการครึ้มฝนแบบตอแหลที่หลอกให้เราดีใจว่าอากาศน่าจะเย็นกว่าเมื่อวาน แต่สุดท้ายแดดก็ร้อนเปรี้ยงเหมือนยมบาลขึ้นมาซื้อก๋วยเตี๋ยวเรือหน้าปากซอย คุณครูเคยบอกว่าประเทศไทยมีสามฤดู ผมลองนับดูแล้วก็เป็นตามที่ครูสอนจริงๆเพราะอากาศบ้านเรานั้นมีทั้ง --

     

    ร้อน

    ร้อนมากๆ

    ร้อนชิบหาย ไอ้สัส!!!!!

     

    ผมปิดม่าน ไม่สนใจว่าอากาศจะร้อนหรือหนาวเพราะสุดท้ายก็ต้องถ่อสังขารไปกลางเมืองอยู่ดี วันนี้เป็นวันคริสต์มาส ผมจำได้ขึ้นใจเพราะพี่อู๋เอาแต่พูดว่าคริสต์มาสๆๆทั้งอาทิตย์จนรำคาญ บางทีอาจเป็นเพราะกระแสทางโทรทัศน์ที่บิ้วหนักเป็นพิเศษก็ได้ พี่อู๋ถึงตื่นเต้นจนตัวสั่นขนาดนี้

     

    ผมนอนแผ่บนโซฟา กดรีโมตทีวีดูแก้เซ็งระหว่างรอคุณอิศรินทร์ตื่น นาฬิกาบอกเวลาว่าหกโมงสิบแปดนาที พี่อู๋ถึงเดินงัวเงียออกมาจากห้องนอน พอเห็นกอริลลาก้องนั่งเบื่อหน้าโทรทัศน์ เขาก็ตะโกนเสียงดังทันที

     

    “OH! MY BIRTHDAY BOY!”

     

    ผมสะดุ้งเพราะน้ำเสียงของเขาฟังเหมือนตะคอกมากกว่า

     

    “อะไรของพี่เนี่ย?!”

    “เฮ้ย วันนี้วันเกิดใครวะ”

     

    เขาปรี่มาเบียดกอริลลาก้องที่กำลังนั่งเหวอบนโซฟา แถมยังยื่นหน้าเขามาใกล้จนผมต้องถอยอีก พี่อู๋ไม่รู้เหรอว่าเราไม่คนเราไม่ควรอยู่ใกล้กันขนาดนี้ถ้ายังไม่ได้แปรงฟัน นี่ไม่ใช่ละครนะ กลิ่นปากของผมไม่ได้หอมตลอดเวลาเหมือนในโฆษณาหรอก

     

    “วันนี้วันเกิดใครอ่ะ?” พี่อู๋เจ๊าะแจ๊ะน่ารำคาญ “วันเกิดใครเนี่ย ทำไมเจ้าภาพไม่ตอบ”

     

    ผมกลอกตามองบน รู้แหละว่าคริสต์มาสคือวันเกิดของใครแต่พอเจอมุกนี้ก็ขี้เกียจพูด ผมไม่ให้คำตอบที่พี่อู๋ต้องการ ผมแค่เดินไปหน้าทีวี ชี้ไปที่ภาพรูปปั้นของพระแม่มารีกับพระเยซูที่ปรากฎอยู่ในข่าวก่อนจะบอกคุณอิศรินทร์ว่า

     

    “วันเกิดพระเยซูครับ”

     

    พี่อู๋หยุดยิ้ม

     

    “เอ้า -- ร้องเพลงให้เจ้าภาพหน่อยเร็ว!”

     

    ผมแกล้งปรบมือร้องเพลงด้วยสีหน้าระรื่นในขณะที่ผู้ปกครองนั่งปั้นหน้าเซ็งบนโซฟา

     

    “ไม่เอาเค้กมาให้พระเยซูเป่าด้วยเลยอ่ะก้อง?”

     

    พี่อู๋ประชด แต่ผมจัดให้ตามคำขอ ในตู้เย็นของเรามีเค้กเอสแอนด์พีเหลืออยู่หนึ่งชิ้นพอดี ผมหยิบมันออกมาแล้วปักหลอดดูดน้ำแทนเทียนวันเกิดก่อนจะนำไปจ่อหน้าทีวี

     

    “เป่าเลยครับพระเยซู! ฟู่ -- ฟู่ -- แฮปปี้เบิร์ธเดย์!”

    “เย้! ฮาเลลูยา!” คุณอิศรินทร์ร้องตะโกนพร้อมกับชูสองมือเหนือหัว “ขอบคุณพระเจ้าที่ส่งเด็กคนนี้มาให้ลูก มันโง่ดี ลูกชอบ”

     

    ผมเบะปาก ปาหลอดเปื้อนครีมใส่พี่อู๋ที่หัวเราะคิกคักเพราะเอาชนะได้ด้วยมุกมันโง่ดี

     

    “วันนี้ก้องอยากไปไหน?”

    “ไม่อยากไปไหนครับ” ผมตอบตามจริง “พี่ถามทำไม? จะพาผมไปเลี้ยงวันเกิดเหรอ พี่ไม่ต้องทำขนาดนั้นก็ได้ มันเปลือง”

    “เปล่า พี่จะพาไปฉลองวันเกิดพระเยซู”

     

    สงสัยจะได้ตกนรกก่อนเลี้ยงวันเกิดกอริลลาก้อง

     

    “ไปอาบน้ำแต่งตัวสิ พี่จะพาไปข้างนอก”

    “ไปไหนครับ?”

    “ไปลาดพร้าวยี่สิบห้า” พี่อู๋กวนตีนต่อ “ซื้อผัดกะเพราะมากินก่อน ค่อยว่าเรื่องอื่นตอนสายๆเนอะ”

     

     ผู้ปกครองจอมบงการพูดเองเออเองแล้วลุกไปอาบน้ำ ปล่อยให้เจ้าของวันเกิดนั่งเซ็งอยู่คนเดียวในห้องนั่งเล่น นาฬิกาบอกเวลาว่าหกโมงสามสิบนาที พี่อู๋เร่งให้ผมออกจากห้องโดยพูดแค่ว่าเดี๋ยวไม่ทัน

     

    “ป้าขายกะเพรากลับตั้งบ่ายสาม พี่จะรีบทำไมครับ?”

     

    ผมถามแต่พี่อู๋ไม่ตอบ เขาเดินจ้ำอ้าวไปหน้าปากซอยเหมือนคนปวดขี้ที่ต้องวิ่งไปซื้อทิชชู่โดยมีกอริลลาก้องเดินหาวตามหลังติดๆ

     

     

     

     

    หน้าเซเว่นปากซอยลาดพร้าวยี่สิบห้ามักจะมีรถเข็นขายกับข้าว ตรงหัวมุมโค้งเป็นร้านก๋วยเตี๋ยว ตรงกลางคือรถขายไก่ทอด ถัดไปอีกนิดถึงจะเป็นร้านของป้ากะเพรา ผมตามหลังพี่อู๋จนถึงรถเข็นของป้า แต่คุณอิศรินทร์กลับไม่หยุดฝีเท้าไว้แค่นั้น เขาเดินเลยไปอีกหน่อยจนถึงรถเข็นขายกับข้าวที่มีแกงถุงจัดวางเรียบร้อย

     

    พี่อู๋หยิบแกงจืดหนึ่งถุง ต้มข่าหนึ่งถุง ข้าวเปล่าหนึ่งถุง เขาซื้อไข่ดาวอีกหนึ่งฟองและแกงบวดฟักทองเป็นของตบท้าย ผมถามผู้ปกครองว่าไม่กินผัดกะเพราแล้วเหรอ เขาส่ายหน้า บอกว่าค่อยกลับมากินตอนสายๆ

     

    “งั้นพี่ซื้อทำไมเยอะแยะ?”

     

    ผมบ่น แต่ก็ยอมตามผู้ปกครองต้อยๆเหมือนลูกหมา พี่อู๋ตรงดิ่งไปที่คอนโด เขาเปิดประตูรถและเร่งกอริลลาก้องที่เดินหอบให้ขึ้นมาเร็วๆ

     

    “จะเจ็ดโมงแล้วก้อง อย่าช้า ให้ไวเลย”

     

    ผมหน้าบูดเพราะโดนบ่นแต่ก็เชื่อฟังคำสั่งของพี่อู๋อย่างดี วีออสสีดำออกจากซอยลาดพร้าวยี่สิบเจ็ดแล้วขับไปทางโชคชัยสี่ การจราจรตอนเช้าไม่ได้น่ารักอย่างที่คิดไว้ รถเริ่มติดเรื่อยๆจนเหยียบคันเร่งไม่ได้ แต่พี่อู๋ก็ยังมุ่งมั่น ฝ่ารถติดราวกับมีเรื่องสำคัญต้องทำ

     

    “ไม่เห็นมีเลย” คุณอิศรินทร์บ่น

    “ไม่มีอะไรครับ?”

     

    พี่อู๋ไม่ตอบ เขากวาดตามองริมฟุตปาธบ่อยกว่ามองถนน ผมเองก็พยายามมองแต่ไม่เห็นสิ่งที่คนอย่างคุณอิศรินทร์ตามหาเลย เช้าๆแบบนี้ไม่มีอะไรหรอกนอกจากรถเข็นขายของกิน มีน้ำเต้าหู้ มีปาท่องโก๋ มีข้าวมันไก่และข้าวเหนียวหมูทอด ผมถามพี่อู๋ว่าอยากกินอะไร เดี๋ยวจะวิ่งลงไปซื้อให้ เขาบอกว่าไม่ได้มาที่นี่เพื่อหาของกิน แต่มาหาพระ

     

    “พระ?” ผมทวนคำ “พี่หาพระทำไม?”

     

    เขาก็ไม่ยอมตอบอีก พี่อู๋ขับรถเข้าไปในซอยเล็กๆเลยตลาดนิดหน่อย เขาพยายามยัดวีออสของตัวเองเข้าช่องเล็กๆจนเกือบจะจูบกับรถกระบะคันข้างหน้า พอดับเครื่อง คุณอิศรินทร์รีบเปิดประตูรถพร้อมถุงกับข้าว เขาบอกผมว่าลงมาเร็ว ไปหาพระกัน

     

    ตอนนั้นผมถึงเข้าใจว่าพี่อู๋ซื้อแกงถุงและขับรถวนหาพระสงฆ์ทำไม วันนี้เป็นวันเกิดของผม เขาตั้งใจพาผมมาตักบาตรทั้งๆที่ตัวเองก็ไม่รู้ว่าพระอยู่ตรงไหน พี่อู๋เดินถามพ่อค้าแม่ค้าว่าเห็นพระไหม พวกเขาชี้ไปอีกด้าน บอกว่าพระเดินนำลิ่วแล้ว

     

    พี่อู๋ขอบคุณพวกเขาพร้อมกับก้าวขาวิ่งทันที ปล่อยให้เจ้าของวันเกิดวิ่งตามเหมือนลูกหมาเช่นเคย พอวิ่งได้ซักระยะเราก็เห็นจีวรสีส้มอยู่ไม่ไกล ผมค่อยๆชะลอฝีเท้าลงเพราะคิดว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าพระเราต้องสงบเสงี่ยม แต่คุณอิศรินทร์เป็นบ้า ตะโกนเสียงดังว่า

     

    “พระ! พระครับ! หยุดก่อน!”

     

    ไอ้บ้าเอ๊ย -- ใครเขาเรียกพระแบบนั้นกัน

     

    ผมอายสายตาคนรอบข้าง แต่ก็เดินเข้าไปหาพระที่มากับลูกศิษย์ตามพี่อู๋ คุณอิศรินทร์เห็นท่านหยุดรอก็ยิ้มกว้าง ยกมือที่ถือแกงถุงทูนหน้าผากแล้วพูดขอบคุณครับหน้าตาเฉย

     

    “วันนี้วันเกิดเด็กคนนี้ครับ” พี่อู๋บอกพระ “ผมอยากให้เขาทำบุญ”

     

    ผมค่อยๆโผล่ไปยืนข้างพี่อู๋ เขาส่งแกงถุงให้ก่อนจะถอยไปยืนข้างหลัง ผมมองเขา มองคุณอิศรินทร์ที่หอบแฮ่กแต่ก็ยังพยักหน้าเป็นเชิงสั่งให้ตักบาตรเลย ดังนั้นผมจึงไม่หักน้ำใจของเขาด้วยการหิ้วแกงถุงกลับไปกินที่บ้าน ผมถอดรองเท้า วางแกงถุงลงในบาตร ก่อนจะยกมือไหว้เพื่อรับพร

     

    “ก้อง ดอกไม้”

     

    พี่อู๋กระซิบก่อนจะส่งดอกกุหลาบสีชมพูแปร๋นมาให้ ผมมองมันอยู่ครู่ใหญ่แล้วหันไปหาผู้ปกครองที่ยืนยิ้มแฉ่งอยู่ข้างหลัง

     

    “นี่อะไรครับ?”

    “ดอกไม้ไง”

    “รู้ แต่ให้ผมทำไม?”

    “ไม่ได้ให้ก้อง” เขาขัดใจ “ก้องเอาให้พระสิ ตักบาตรอย่าขาดดอกไม้”

    “พี่จะบ้าเหรอ นี่ไม่ใช่วันวาเลนไทน์ ถึงใช่ พี่ก็ซื้อดอกกุหลาบให้พระไม่ได้!”

    “ได้ดิวะ ดอกกุหลาบก็คือดอกไม้เหมือนกัน!”

    “แต่ผมไม่เคยเห็นใครถวายกุหลาบให้พระ!”

    “ดอกอะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละโยม ถ้าเจตนาดียังไงก็เหมือนกัน”

     

    พระท่านช่วยยุติสงครามโลกครั้งที่สามด้วยการตัดบทก่อนที่เราจะเถียงกันเป็นเด็ก หลังตักบาตรเสร็จ ผมก็หันไปหาพี่อู๋ที่ยืนถามแม่ค้าดอกไม้สดว่าดอกกุหลาบถวายพระได้หรือเปล่า เธอยืนยันว่าได้ ดอกไม้ชนิดไหนก็ได้ ขอแค่มีกลิ่นหอมไม่และเป็นพิษก็พอ

     

    “เห็นไหม บอกแล้วว่าให้ได้ๆ”

     

    พี่อู๋บ่นอุบอิบเมื่อเห็นผมเดินมาหา เขาบอกแม่ค้าว่าขอซื้อดอกกุหลาบสีขาวอีกหนึ่งดอก ขอสวยๆเลยนะ แม่ค้าจัดให้ตามคำขอ เธอคัดดอกที่สวยที่สุดส่งให้คุณอิศรินทร์

     

     “อ่ะ เอาไป” เขายื่นดอกกุหลาบให้ “รับไปดิ”

     

    ผมไม่เข้าใจแต่ก็รับดอกกุหลาบสีขาวจากพี่อู๋ ตั้งแต่เกิดมา ผมไม่เคยได้ดอกไม้จากใครมาก่อนเลย พี่อู๋คือคนแรก แถมเป็นคนเดียวที่ยื่นของให้แล้วเดินหนี ผมได้แต่ขมวดคิ้วมองผู้ปกครองจ้ำอ้าวกลับรถ ไม่เข้าใจว่าจะรีบไปไหนนักหนา บ้านก็อยู่ใกล้แค่นี้ เผลอๆเดินกลับน่าจะถึงเร็วกว่าขับรถด้วยซ้ำ

     

    “ไม่เคยมีใครให้ดอกไม้ผมมาก่อน” ผมพูดเมื่อคาดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อย “ผมต้องดูแลมันยังไงครับ?”

    “ก็ -- เสียบๆในแก้วน้ำมั้ง” พี่อู๋อึกอัก “ไม่ต้องใส่ใจนักหรอก เหี่ยวก็ซื้อใหม่”

    “ซื้อใหม่ก็ไม่เหมือนดอกนี้หรอก”

    “ถ้าพี่เป็นคนซื้อให้ ยังไงก็ไม่ต่างกัน”

    “พี่พูดอย่างกับว่าพี่จะซื้อให้ผมอีกงั้นแหละ”

    “ถ้าก้องอยากได้พี่ก็ซื้อให้” เขายักไหล่ “ทำไมวันนี้พูดมากจัง กลับถึงบ้านรีบกินข้าวเลย เดี๋ยวสายๆต้องไปพารากอนอีก”

    “ไปทำไมครับ?”

    “ไปฉลองวันเกิดให้พระเยซู”

     

    พี่อู๋ตอบสั้นๆแล้วขับรถกลับลาดพร้าวยี่สิบเจ็ดโดยมีกอริลลาก้องนั่งชื่นชมดอกกุหลาบในมือไปตลอดทาง

     

     

      

     

     

    ของขวัญวันเกิดของนายก้องเกียรติคือคูปองหนึ่งใบ เป็นคูปองที่เขียนด้วยลายมือยึกยือบนกระดาษเอสี่ว่า ขออะไรก็ได้หนึ่งอย่าง ผมถามย้ำอีกครั้งเพื่อความมั่นใจว่าเขาจะซื้อทุกอย่างให้จริงๆเหรอ เมื่อพี่อู๋พยักหน้า ผมก็ขอเขาว่าซื้ออัลปากาให้หน่อย เอาสีขาวนะ ผมเห็นในทีวีดูน่ารักดี อยากเลี้ยงจัง

     

    “ถามนิติคอนโดสิว่าให้เลี้ยงสัตว์หรือเปล่า”

     

    ผมบอกแล้วไงว่าเขาเป็นคนฉลาด พี่อู๋น่ะเก่งเรื่องการเลี่ยงบาลีที่สุด แต่เรื่องอื่นๆอย่างต่อตู้หรือซ่อมอ่างน้ำตันกลับทำไม่ได้ ต้องให้คนอื่นช่วยตลอด

     

    “ผมไม่มีของที่อยากได้เลยครับ”

    “ไปเดินพารากอนเดี๋ยวก็มี”

    “งั้นพี่ซื้อพารากอนให้ผมได้ไหม?”

    “ก้องบริหารเป็นหรือเปล่าล่ะ?” เขาย้อน “บริหารไม่เป็นก็ซื้ออย่างอื่นก่อนดีไหม เสื้อผ้า รองเท้า --”

     

    พูดไปเรื่อย

     

    ผมส่ายหน้าเอือมระอาเมื่อคุณอิศรินทร์หาช่องโหว่ได้ตลอด นาฬิกาบอกเวลาว่าเที่ยงเจ็ดนาที เราเดินทางถึงพารากอนด้วยรถไฟฟ้าเพราะเกลียดการจราจรหลังเลิกงาน พี่อู๋ถามว่าตอนเที่ยงอยากกินอะไร ผมได้แต่ส่ายหน้า ไม่มีของที่อยากได้เป็นพิเศษ เขาจึงพาเดินตะลอนไปทั่ว เราผ่านร้านอาหารดังๆหลายร้านทั้งอาหารไทย อาหารฝรั่ง อาหารจีนและอาหารญี่ปุ่น พี่อู๋ไม่บอกใบ้เลยว่าเขาอยากกินอะไร อยากกินบอนชอน ทงคัตสึ หรือข้าวไข่เจียวหมูสับธรรมดาๆที่ราคาไม่ธรรมดา ดังนั้นผมจึงเลือกจากสิ่งที่ตัวเองคุ้นเคย ผมบอกผู้ปกครองว่าอยากกินเอ็มเค

     

    “ทำไมถึงชอบเอ็มเคล่ะ?”

    “ผมว่ามันให้ความรู้สึกเหมือนเรามาฉลองกับครอบครัว” ผมตอบ “สมัยเด็กๆ ถ้ามีโอกาสดีๆ แม่ก็พาผมมากินเหมือนกัน”

     

    ผมหยุดเรื่องของแม่ไว้แค่นั้นเพราะไม่อยากคิดถึง พี่อู๋ก็คงรู้เลยไม่ต่อบทสนทนาเกี่ยวกับแม่ที่ทิ้งไปอีก เราต่างก้มหน้าก้มตาทานสุกี้และเป็ดย่างจนเกลี้ยง หลังกินอิ่มผมก็ส่งคูปองคืนให้พี่อู๋ บอกเขาว่าขอบคุณที่พามาเลี้ยงวันเกิด มันอร่อยมาก ขอบคุณครับ

     

    “คูปองนี่สำหรับซื้อของ เลี้ยงข้าวไม่นับ”

     

    คุณอิศรินทร์บอกระหว่างพาเดินชมพารากอนเหมือนเป็นเจ้าของ

     

    “ค่อยๆคิดนะก้อง วันนี้เลือกไม่ได้ไม่เป็นไร วันอื่นก็ได้ พี่พามาซื้อได้ทุกวัน”

     

    ผมขอบคุณเขาอีกครั้ง แต่ไม่ได้เลือกของที่ตัวเองอยากได้หรอก สิ่งที่พี่อู๋ให้ผมนั้นมากยิ่งกว่าของขวัญวันเกิด เขาให้ชีวิตใหม่ ให้โลกใบใหม่ ให้ครอบครัวใหม่แก่กอริลลากำพร้า จากใจจริง ผมไม่อยากได้อะไรอีกแล้ว แค่พี่อู๋ไม่ปล่อยให้ผมโดดเดี่ยวก็เกินพอแล้ว

     

    เราสองคนเดินเรื่อยเปื่อยไม่รีบร้อน หยิบของชิ้นนั้นชิ้นนี้ขึ้นมาดูราคาแล้วก็วางลงที่เดิมเพราะมันแพงเกินไป ผมเดินผ่านกลุ่มเด็กฝรั่งที่กำลังมุงดูอะไรบางอย่าง มันเป็นตู้กระจกที่มีความยาวเกือบสองเมตร ข้างในเป็นกล่องดนตรีรูปแบบต่างๆ มีปุ่มให้กดฟังเพลง มีหลายแบบให้เลือก

     

    “กล่องดนตรีดีไอวายค่ะ” พนักงานขายยิ้มเมื่อกอริลลาก้องหยุดยืนหน้าตู้กระจก “สามารถกดปุ่มลองฟังเพลงได้นะคะ ชอบเพลงไหนก็ซื้อฐานกล่องดนตรีและตกแต่งด้านบนได้ตามใจชอบเลยค่ะ”

     

    ผมเหลียวมองตามมือของเธอ ด้านหลังเป็นยิ่งกว่าโกดังขายของตกแต่งเล็กๆน้อยๆที่ทำจากไม้ มีรถคันเล็กสีแดง มีสนูปี้ มีตัวละครน่ารักๆวางเต็มไปหมด ผมก้มมองปุ่มกดที่อยู่ตรงหน้า มันเป็นปุ่มตัวเลขสีเงินมันวาวเหมือนโทรศัพท์บ้าน พอลองกดเลขหนึ่ง เพลงแฮปปี้ เบิร์ธเดย์ก็ดังขึ้นโดยมีกล่องดนตรีหมายเลขหนึ่งหมุนโชว์เป็นตัวอย่าง

     

    กอริลลาก้องเหมือนได้ของเล่นใหม่ มันกดไล่ทีละเพลงๆตั้งแต่หนึ่งถึงยี่สิบ ฟังจนจบ ฟังแล้วฟังอีกด้วยความเพลิดเพลิน เพลงที่ชอบที่สุดไม่ใช่เพลงแฮปปี้ เบิร์ธเดย์หรือเมอร์รี คริสต์มาส มันเป็นเพลงที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่ฟังแล้วติดหูจนต้องกดเล่นซ้ำๆอยู่สามสี่ครั้ง พี่อู๋ที่เคยยืนมองเริ่มเข้ามาร่วมวง เรากดปุ่มฟังเพลงรอบแล้วรอบเล่าจนพนักงานขายต้องสปอยล์ต่อว่าถ้าสนใจลองดูของตกแต่งก่อนได้นะคะ ได้ทั้งเพลงที่ชอบ และกล่องดนตรีที่มีชิ้นเดียวในโลกด้วย

     

    “เอาไหมก้อง?”

     

    พี่อู๋ถาม ผมเหลือบมองราคาที่แปะข้างล่างก่อนจะส่ายหน้า แค่ฐานก็เริ่มที่สองพันห้าแล้ว ถ้าตกแต่งเสร็จ คงดาวน์บ้านได้หลังนึงเลย

     

    ผมปฏิเสธ ผมบอกเขาว่าแค่กดเล่นเฉยๆก็สนุกแล้ว ไม่ต้องซื้อกลับบ้านหรอก แต่คุณอิศรินทร์อ่านใจกอริลลาก้องออก เขารู้ว่าผมชอบ รู้ว่าผมอยากได้ ดังนั้นเขาจึงหยิบคูปองวันเกิดของนายก้องเกียรติออกมาเพื่อยืนยันว่าผมสามารถเป็นเจ้าของกล่องดนตรีไม้ได้จริงๆ

     

    “แต่มันแพง”

    “ไม่แพง”

     

    พี่อู๋เถียง เขาหันไปสมทบกับคนขายเพื่อเสี้ยมให้ผมยอมรับว่าอยากได้ พวกเขากรอกหูนายก้องเกียรติด้วยการบอกว่ากล่องดนตรียี่ห้อนี้ว่างขายแค่ช่วงคริสมาสต์ วันที่สามปีหน้าก็จะเลิกขายแล้ว อยากได้ก็ซื้อเลย ถ้าพลาดคงเสียดายจนนอนไม่หลับแน่ๆ

     

    “สนใจเบอร์ไหนคะ?”

     

    พนักงานถามเมื่อเห็นกอริลลาตัวหนึ่งยืนเคลิ้ม ผมชี้นิ้วไปที่เบอร์สิบห้าทันที มันเป็นฐานกล่องดนตรีทรงกลมเรียบๆที่ทำจากไม้สีน้ำตาลอ่อน เธอยิ้มแล้วบอกว่าผมเป็นคนส่วนน้อยที่เลือกเพลงนี้ พอถามว่ามันคือเพลงอะไร เธอตอบว่า

     

    “White Christmas ค่ะ” เธอหยิบกล่องดนตรีที่ผมเลือกจากชั้นวาง “ส่วนของตกแต่งอยู่ด้านโน้นนะคะ ชำระเงินแล้วสามารถใช้โต๊ะตกแต่งได้เลยค่ะ”

     

    ผมขอบคุณเธอก่อนจะเดินไปเลือกของตกแต่งสำหรับกล่องดนตรี พี่อู๋เดินตามผมไม่ห่าง เขาคอยมองว่าผมหยิบอะไรแต่ไม่ออกความเห็น เขาให้อิสระผมเต็มที่ในการออกแบบกล่องดนตรีของตัวเอง ดังนั้นผมจึงหยิบตุ๊กตาสนูปี้มาตัวเดียว

     

    “แค่นี้เหรอ?”

    “ครับ” ผมบอกพี่อู๋ก่อนจะพลิกราคาใต้กล่องให้เขาดู “แค่ตัวเดียวก็สี่ร้อยกว่าบาทแล้ว”

    “ไม่กลัวสนูปี้เหงาหรือไง?”

     

    เขาถามก่อนจะเอื้อมตัวหยิบตุ๊กตาเด็กชายออกมาอีกหนึ่งตัว ผมถามเขาว่าตัวละครนี้ชื่ออะไร  

     

    “ชาร์ลี บราวน์ เจ้าของสนูปี้”

     

    พี่อู๋บอกแล้วพาไปจ่ายเงิน หลังจากนั้นเราจึงไปที่โต๊ะตกแต่งซึ่งมีกาวและอุปกรณ์อื่นๆวางเตรียมไว้ให้ ผมจัดท่ายืนให้สนูปี้กับชาร์ลีอยู่หลายหน ตรงกลางบ้าง ซ้ายบ้าง ขวาบ้าง หันหน้ามาเจอกันบ้าง หันหลังให้กันบ้าง ผมลังเลมากเพราะกลัวติดกาวแล้วออกมาไม่สวย แต่พี่อู๋ไม่ว่าอะไรซักคำ เขารอจนผมเจอมุมถูกใจและบีบกาวติดด้วยตัวเอง

     

    “ขอบคุณครับพี่อู๋”

     

    ผมบอกผู้ปกครองขณะจ้องมองของขวัญวันเกิดด้วยความดีใจ คุณอิศรินทร์ยิ้ม เขาดูมีความสุขมากที่กอริลลาก้องหมุนกล่องดนตรีอีกหลายหน ซักพักเขาก็บอกว่ามีตุ๊กตาแค่สองตัวดูโล่งเกินไป ต้องมีต้นไม้และของขวัญด้วยถึงจะดูดีขึ้น

     

    พี่อู๋ซื้อต้นคริสต์มาสจิ๋วและของประดับเล็กๆน้อยๆเพิ่ม เราจึงได้กล่องดนตรีที่สวยมากๆหนึ่งชิ้น นาฬิกาบอกเวลาว่าสี่โมงห้าสิบเก้านาที พี่อู๋พาผมข้ามไปอีกฝั่งเพื่อกินก้อย เราเดินรำลึกความหลังสมัยครั้งแรกที่มาสยามด้วยกัน ตอนนั้นผมโคตรเซ็งเลยที่ถูกเขาลากไปมา ตัดภาพมาที่ตอนนี้ นายก้องเกียรติแทบจะเดินตามพี่อู๋เหมือนลูกหมาแล้ว

     

    คุณอิศรินทร์ชวนเดินเล่นแถวสกายวอล์คเชื่อมไปเซ็นทรัลเวิลด์ เขาบอกว่าตรงนั้นแสงสวยน่าถ่ายรูปมาก ผมหัวเราะเมื่อได้ยินคำว่าถ่ายรูป เขาดูไม่เหมือนวัยรุ่นที่ชอบสรรหามุมสวยๆเพื่อถ่ายรูปเลย แต่ผมก็ไม่ขัดใจเขา แสงของพระอาทิตย์ตอนห้าโมงสวยจริงๆอย่างที่เขาว่า มันไม่สว่างจ้าเหมือนตอนกลางวัน แต่เป็นสีทองอ่อนมองแล้วไม่ปวดตา เราหยุดพักเมื่อเดินถึงตรงกลางของสกายวอล์ค พี่อู๋หยิบไอโฟนออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วกด แชะ! ถ่ายรูปกอริลลาก้อง

     

    “พี่ถ่ายแบบนี้เลยเหรอ?” ผมถามเมื่อเห็นเขาเก็บโทรศัพท์เหมือนเดิม “ถ่ายให้มันดีๆสิครับ อย่าถ่ายตอนผมน่าเกลียด”

    “ก้องชอบถ่ายรูปเหรอ?”

    “เฉยๆครับ ใครให้ถ่ายก็ถ่าย” ผมตอบ

    “งั้นพี่ขอสวยๆซักรูปนะ”

     

    พี่อู๋ปลดล็อคหน้าจอไอโฟนอีกครั้ง คราวนี้ผมมองกล้องแล้วยิ้มด้วยรอยยิ้มตามฉบับของนายก้องเกียรติ ทันทีที่เสียง แชะ! เงียบลง ผมก็ขอดูรูปของตัวเอง

     

    ภาพถ่ายของกอริลลาก้องไม่แย่เลย ตาของผมกลายเป็นสีน้ำตาลสว่างเพราะแสงอาทิตย์ตกกระทบตรงหน้าพอดี พี่อู๋บอกว่าถ้าอัปรูปนี้ในอินสตราแกรมนะ รับรองมีคนกดไลก์เยอะแน่ๆเพราะผมหล่อมาก

     

    “เซลฟี่กับพี่หน่อยได้หรือเปล่า?”

     

    คุณอิศรินทร์ขอ ผมฉีกยิ้มทันที แล้วเราก็ได้ภาพคู่กันอีกหนึ่ง พอถ่ายด้วยกันก็เห็นความแตกต่างอย่างสิ้นเชิง

     

    “ทำไมก้องตาเศร้าจัง?” พี่อู๋พึมพำ

    “ตาของผมเป็นแบบนี้มานานแล้ว ไม่เกี่ยวกับเศร้าหรือไม่เศร้าหรอก ต่อให้แม่ไม่ตาย ต่อให้ได้เรียนต่อมหาลัย มันก็ยังดูเศร้าอยู่ดี”  

     

    พี่อู๋ไม่พูดอะไรอีก เขาปล่อยให้เสียงการจราจรข้างล่างกลบความเงียบระหว่างเรา พอเขาพูดเรื่องตา ผมก็คิดถึงแม่ แต่ไหนแต่ไรคนมักจะถามแม่ว่าทำไมลูกชายตาเศร้า แม่ตอบพวกเขาว่าก็แค่แววตา จริงๆแล้วก้องเกียรติเป็นเด็กร่าเริงมากนะ

     

    ก้องเกียรติเป็นเด็กร่าเริงมากนะ

     

    ในสายตาของแม่ -- ผมเป็นลูกชายที่ร่าเริงจริงๆเหรอ?

     

    “ก้อง”

     

    ผมหันตามเสียงเรียกของพี่อู๋ ในมือของเขาถือของขวัญห่อด้วยกระดาษสีแดง

     

    “พี่คิดนานมากว่าจะให้ก้องดีไหม แต่ไหนๆก็ได้มาแล้ว พี่อยากให้ก้องเก็บไว้”

     

    ผมขมวดคิ้วก่อนจะแกล้งทำเป็นบ่นว่าสิ้นเปลือง จะให้อะไรนักหนา รู้ไหมว่าเงินทองไม่ได้หาง่ายๆนะ พี่อู๋ไม่ขำกับคำแขวะของนายก้องเกียรติอีกแล้ว เขาดูจริงจังและจดจ่อกับผมที่กำลังแกะของขวัญมาก มากจนผมสงสัยว่าอะไรอยู่ในนี้

     

    ของขวัญวันเกิดจากพี่อู๋เป็นกล่องสี่เหลี่ยมผืนผ้า ดูจากรูปร่างและเสียงตอนเขย่าแล้วน่าจะเป็นกรอบรูปหรือไม่ก็หนังสือ พอแกะกล่องกระดาษสีน้ำตาลออก ผมได้แต่ยืนนิ่ง พูดไม่ออก มีแค่ความรู้สึกตื้อตันเหมือนจมน้ำเท่านั้น

     

    “สุขสันต์วันเกิดก้องเกียรติ” พี่อู๋พูด เขายกมือลูบหัวผมเมื่อเห็นผมร้องไห้ “พี่อวยพรไม่เก่ง แต่อยากบอกให้รู้ว่าก้องไม่ได้อยู่คนเดียวอีกแล้วนะ”

     

    ผมเม้มปาก พยายามกลั้นน้ำตาแต่ทำไม่ได้เลยเมื่อเห็นรูปถ่ายของแม่ นี่คือรูปที่เราถ่ายด้วยกันในงานเลี้ยงปีใหม่ ตอนนั้นผมอยู่ชั้นประถม ตัดผมทรงหัวเกรียนยืนยิ้มแฉ่งอยู่ข้างแม่ ผมจำได้ว่าเราจัดงานกันที่บ้านลุงชื่น แถมยังจำได้อีกว่าพี่ลีเป็นคนถ่ายรูปนี้

     

    “พี่ไปเอามาจากไหนครับ?”

     

    ผมถาม พูดตรงๆว่าตั้งแต่ไฟไหม้บ้าน ผมหมดหวังที่จะเก็บความทรงจำเกี่ยวกับแม่แล้ว ทั้งเชือก ทั้งเสื้อผ้า ทั้งรูปถ่าย ทุกอย่างหายไปหมดในบ้านหลังนั้นไม่เหลืออะไรซักอย่าง แต่จู่ๆพี่อู๋ก็ถือรูปนี้มาให้ เขาพาแม่มาหาผม เขาเอาอนุสรณ์อันใหม่ของแม่มาแทนที่เชือกเส้นนั้น

     

    “ลุงชื่นส่งมาให้” พี่อู๋บอก “พี่โทรถามลุงชัยว่าพอจะมีของเกี่ยวกับแม่ของก้องบ้างไหม ลุงชัยบอกให้ถามลุงชื่น พี่ก็เลยติดต่อไปที่ลุงจนได้รูปนี้มา”

    “พี่อู๋ --”

    “หืม?”

    “ขอบคุณครับ” ผมกอดเขา “ขอบคุณครับพี่ ขอบคุณมากๆ ผมขอบคุณจริงๆ ขอบคุณครับ”

     

    พี่อู๋ปลอบด้วยการบอกว่าไม่ต้องขอบคุณ แต่กอริลลาตัวนี้ไม่มีสิ่งอื่นจะตอบแทนเขานอกจากการขอบคุณซ้ำๆ

     

    “ผมไม่อยากยอมรับเลย แต่ผมหลอกตัวเองไม่ได้ว่าผมคิดถึงแม่ ผมคิดถึงแม่จริงๆ ผมคิดถึงแม่ --” ผมสะอื้น “ถ้าวันนี้แม่ยังอยู่ เราก็คงไปกินเอ็มเคด้วยกัน แม่คงซื้อของขวัญให้ผมเหมือนพี่ แต่แม่ไม่อยู่แล้ว แม่ไม่อยู่ -- กินเอ็มเคกับผมในวันเกิดอีกแล้ว”

     

    ผมเสียใจจริงๆที่แม่ตาย ผมเสียใจที่เราไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่ที่ผ่านมาผมหลอกตัวเองว่าโกรธแม่แค่เพราะไม่อยากร้องไห้ ไม่อยากให้ใครมองเป็นเด็กกำพร้าน่าสงสาร พอพี่อู๋เอาอนุสรณ์ของแม่ที่เป็นรูปถ่ายสวยๆมาแทนที่เชือกเก่าๆ ผมฝืนทำเป็นไม่รู้สึกไม่ได้จริงๆ สิ่งที่ผมต้องการมาตลอดตั้งแต่บ้านไฟไหม้คือแม่ ผมต้องการแม่ แต่ในวันที่ไม่เหลืออะไรแล้ว ผมยังมีรูปถ่ายอีกหนึ่งใบ รูปสุดท้ายของเราสองคน รูปของเด็กชายก้องเกียรติกับแม่ที่กลายเป็นของต่างหน้าให้ดูแก้คิดถึง

     

    “ผมหยุดร้องไห้ไม่ได้เลย”

     

    ผมบอกเขา แต่คุณอิศรินทร์กลับหัวเราะในลำคอเบาๆแล้วกอดกอริลลาจิตป่วยเอาไว้แน่น

     

    “ร้องเถอะก้อง ร้องเลย ให้มันออกมาบ้าง”

     

    ผมพยายามหยุดตัวเอง แต่ทุกครั้งที่เหลือบเห็นหน้าของแม่ในรูปถ่าย น้ำตามันก็ทะลักออกมายิ่งกว่าก๊อกแตก ผมเอาแต่ร้อง ร้อง และร้องอยู่ตรงสกายวอล์คท่ามกลางสายตาของผู้คนที่เดินสวนไปมา ผมว่าถ้าพี่อู๋ไม่กอดอยู่คงมีใครซักคนวิ่งมามัดตัวผมแล้ว เพราะผมร้องเหมือนจะตาย ผมจะตายจริงๆนะ การร้องไห้แทบขาดใจมันเป็นแบบนี้นี่เอง 

     

    เวลาผ่านไปซักพัก น้ำตาก็แห้งเอง ผมเริ่มมองรูปแม่ด้วยความรู้สึกที่เปลี่ยนไปอีกครั้ง ผมกอดกรอบรูปของเราเอาไว้แน่น ดีใจที่อนุสรณ์ของแม่ยังอยู่ ดีใจที่มันไม่ใช่เชือกเส้นเก่าที่แขวนตรงราวบันได แต่เป็นภาพถ่ายของเรา ภาพผมกับแม่ ภาพเราสองคนที่กำลังยิ้มอย่างมีความสุข

     

    พี่อู๋รอผมจนสงบด้วยตัวเอง เขายืนกอดคอกอริลลาก้องโดยเหม่อมองท้องฟ้าข้างหน้า แววตาของคุณอิศรินทร์ในตอนนี้ก็ดูเศร้ามากจนผมใช้แขนซ้ายโอบเอวเขาไว้หลวมๆ พี่อู๋หันกลับมามอง เขายิ้มเมื่อกอริลลาก้องเริ่มผ่อนคลายมากขึ้นแต่ยังคงไม่พูดอะไร เรายืนดูพระอาทิตย์ตกด้วยกันตรงสกายวอล์คก่อนจะกลับบ้าน

     

    วันนี้คือวันที่ยี่สิบห้าธันวาคม เป็นวันคริสต์มาส เป็นวันเกิดของนายก้องเกียรติ เป็นวันที่กอริลลาจิตป่วยได้ยิ้มจากใจจริงๆครั้งแรก ดังนั้นต่อให้รถไฟฟ้าจะแน่นเป็นปลากระป๋องก็ไม่ทำให้ผมหงุดหงิดรำคาญ เรายืนเบียดกันกลางรถไฟโดยไม่มีบทสนทนา พี่อู๋ใช้มือซ้ายจับราว ส่วนมือขวาก็โอบเอวนายก้องเกียรติเพราะคนแน่นมากจนผมหาที่เกาะไม่ได้

     

    ผมสูดน้ำมูกเล็กน้อยก่อนจะซบหน้าลงบนไหล่พี่อู๋ ต้องขอบคุณมนุษย์กรุงเทพที่เบียดเข้ามาเต็มขบวนจนทำให้เราไม่เป็นจุดสนใจนัก พอถึงสถานีปลายทางหมอชิต เราก็ลงจากรถพร้อมกัน พี่อู๋แวะซื้อปลาหมึกย่างใต้สถานีแล้วเข้าไปนั่งกินในสวนสาธารณะ ผมเคี้ยวปลาหมึกจนแก้มตุ่ย ส่วนคุณอิศรินทร์ก็มองผู้คนที่มาออกกำลังกาย ไม่ได้มองนายก้องเกียรติ 

     

    “ก้อง”

    “ครับ?”

    “พี่มีเรื่องสำคัญจะบอก”

     

    น้ำเสียงพี่อู๋ดูจริงจัง คราวนี้เขาจ้องตาผม มองผมด้วยความรู้สึกบางอย่าง ผมสังหรณ์ใจว่าต้องเป็นเรื่องไม่ดีแน่ๆ คงเป็นเรื่องอะไรซักอย่างที่ทำให้คุณอิศรินทร์ดูว้าวุ่นแบบนี้

     

    “พรุ่งนี้พี่ต้องกลับบ้านที่ใต้แล้ว”

     

    หัวใจของผมหยุดเต้น

     

    “และก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะได้กลับกรุงเทพเมื่อไหร่ อาจจะหลังปีใหม่ หรือสงกรานต์ หรือไม่กลับมาอีกเลย”

     

    พี่หมายความว่าไง?

     

    ผมสงสัย แต่พูดไม่ออก ไม่มีคำใดจะเอื้อนเอ่ยเมื่อได้ยินว่าครอบครัวคนเดียวของผมต้องย้ายไปอยู่ที่ไหนซักแห่ง ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าเราจะไม่ได้เจอกันอีก

     

    เราจะไม่ได้เจอกันอีก

    เราจะ -- ไม่ได้เจอกันอีก งั้นเหรอ?

     

    ไหนพี่บอกว่าผมไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวแล้วไง?

     

    ผมมองหน้าพี่อู๋ ตอนนี้มันจุกจนพูดไม่ออกเพราะคุณอิศรินทร์พูดเกริ่นเหมือนเขาจำเป็นต้องไปที่ไกลๆและอาจจะไม่กลับมาหาผมอีก พอเห็นกอริลลาก้องนิ่งค้างเหมือนวิญญาณออกจากร่าง พี่อู๋ก็รีบเสนอทางเลือกให้ราวกับรู้ว่ามันกำลังจะตาย มันตายแน่ถ้าเขายังเงียบอยู่แบบนี้

     

    “พี่ไม่อยากบังคับก้อง แต่พี่ก็ไม่อยากทิ้งก้องไว้คนเดียวเหมือนกัน งั้นก้องช่วยเลือกแทนพี่ได้ไหม? ก้องบอกพี่หน่อยว่าก้องจะอยู่กรุงเทพ --”

     

    เขาถามเป็นนัย

     

    “หรือจะย้ายไปอยู่ใต้กับพี่”




                                                                        TBC



                                                      ___________________________


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in