เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Not today, he said.Ms.Ambiguous
If you don't, I don't
  • 16




     

     

    ผมนอนไม่หลับ

    ผมง่วง -- แต่มันไม่หลับ

     

    เปลือกตาคันยุบยิบ หัวหนักอึ้ง ลมหายใจร้อนผ่าวเหมือนลมจากไดร์เป่าผมของเจ๊หมิว ผมนอนมองเพดานมาตั้งแต่เช้า หลับๆตื่นๆอยู่หลายหนและยังไม่ได้ลุกจากเตียง พี่อู๋บอกว่าเมื่อคืนผมพลิกตัวหลายครั้ง เขาถามว่านอนไม่หลับเหรอ ผมส่ายหน้าแล้วโกหก

     

    “เปล่าครับ แค่เปลี่ยนท่านอนเฉยๆ”

     

     ผมโกหก โกหกด้วยนิสัยเดิมๆที่ไม่อยากให้ใครรู้ว่าจริงๆแล้วตัวผมกำลังรู้สึกยังไง เกมสัปดาห์ของคนใบ้ยังดำเนินต่อในซอยลาดพร้าวยี่สิบเจ็ด พี่อู๋พูดน้อยจนนับคำได้ เขาดูครุ่นคิดหนักใจอยู่ตลอดเวลา บางทีก็ขมวดคิ้ว บางทีก็นิ่วหน้า บางทีหันมาจ้องผมเฉยๆก็มี

     

    “พี่มีอะไรหรือเปล่าครับ?”

     

    ผมถามเมื่อเห็นพี่อู๋ทำท่าทางแบบนั้น เขาส่ายหน้าก่อนจะกลับไปจดจ้องกับโทรศัพท์ต่อ ผมอยากแย่งไอโฟนมาจากมือของเขาชะมัด ผมอยากจะปามันลงไปชั้นล่าง อยากจะใช้เท้าเหยียบให้จอแตกเขาจะได้ไม่อาลัยอาวรณ์คุณหมูบ้าอีก ตั้งแต่วันที่ไปเยี่ยมถึงโรงพยาบาล พี่อู๋ก็ดูเหมือนคนมีเรื่องให้คิดหนัก

     

    อยากกลับไปคืนดีล่ะสิ

    ผมรู้นะ -- ว่าพี่ยังรักเขาอยู่

     

    ผมเฝ้ามองพี่อู๋อยู่ห่างๆ วันแล้ววันเล่าที่เขาไม่ออกไปไหน เอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องทำให้กอริลลาก้องเริ่มเบื่อหน่าย ไม่กระตือรือร้นอยากทำหรืออยากกินอะไรอีกแล้ว เหมือนทุกอย่างถูกแช่แข็งไว้จนชาด้าน ผมไม่มีความรู้สึกอื่นนอกจากกลวงโบ๋และว่างเปล่า เวลาเดินผ่านไปอย่างเชื่องช้า และความอับจนหนทางนั้นก็กัดกินผมเรื่อยๆจนขาดวิ่น ในที่สุดผมไม่เหลือความรู้สึกอีกเลย ผมมีชีวิตเพื่อตื่นมาดูว่าพี่อู๋เป็นยังไง ถ้าเขาสบายดี ก็แค่นั้น

     

      วันหนึ่งขณะที่กำลังทำมื้อเย็นอยู่หน้าเตา จู่ๆจานที่วางหมิ่นเหม่บนเคานท์เตอร์ก็หล่นเพล้ง แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆบนพื้น ผมถอนหายใจยาว มองดูเศษซากของจานบิ่นๆแล้วย่อตัวลงเก็บ พี่อู๋ที่อยู่ห้องน้ำรีบตะโกนถามว่าทำอะไร ผมตอบเขาว่าเปล่าครับ จานหล่น แค่จานหล่น ไม่มีอะไรหรอก

     

    ผมนั่งจ้องเศษจานเซรามิกสีแดงที่กระจายบนพื้นสีขาว บางชิ้นแตกเป็นสามเหลี่ยม บางชิ้นเป็นเกล็ดเล็กๆ รูปร่างของมันแตกต่างกันไป ผมค่อยๆบรรจงหยิบเศษซากของพวกมันขึ้นมา ชิ้นที่หนึ่ง ชิ้นที่สอง ชิ้นที่สาม ชิ้นที่สี่

     

    ชิ้นที่ห้า -- มีปลายแหลมเหมือนมีด

     

    ผมเคยสงสัยว่าของเปราะบางอย่างเซรามิกพวกนี้สามารถทำให้มนุษย์เลือดออกได้ยังไง เพราะวันก่อนที่คุณหมูพีกรีดข้อมือตัวเองก็ใช้แค่เศษแตกๆจากแก้วพวกนี้เท่านั้น ผมลองใช้นิ้วแตะตรงขอบบิ่น มันให้ความรู้สึกสากกระด้างเหมือนจับกระดาษทราย ผมไล้นิ้วไปเรื่อยๆจนกระทั่งลองกดน้ำหนักบนปลายแหลม ไม่มีเลือดออก มันไม่เจ็บ เศษเซรามิกพวกนี้สร้างรอยแผลไม่ได้

    แต่ถ้าลองปาดดูล่ะ?

     

    ผมใช้มือขวาจับเศษแก้วก่อนจะวางบนข้อมือซ้าย เส้นเลือดสีม่วงเต้นตุบตับใต้ผิวหนังเป็นหนึ่งในสัญญาณที่ยืนยันว่านายก้องเกียรติยังมีชีวิตอยู่ ความแสบจากรอยบาดทำให้ผมสงสัยมากกว่าเดิม ผมรู้สึกเจ็บนะ มันเจ็บ แต่ทำไมไม่มีเลือด ทำไมเลือดไม่ออกเยอะเหมือนคุณหมูพีล่ะ

     

    ถ้าปาดตรงนี้ --

    ถ้าปาด -- ลงบนผิวที่บางกว่านี้หน่อย

     

    ผมขยับเศษแก้วขึ้นไปเกือบถึงฝ่ามือ กดมันเบาๆบนผิวหนังจนเจ็บจี๊ดไปถึงสมอง ตอนนี้ข้อมือของผมยังคงสะอาดเหมือนเดิม ไม่มีหยดเลือดหรือรอยแผล มีแค่รอยสีขาวที่ค่อยๆปรากฎขึ้นช้าๆก่อนจะตามด้วยของเหลวสีแดงเป็นจุดเล็กๆ เลือดออกแล้ว แต่ไม่ได้ไหลเป็นน้ำเหมือนของเขาเลย

     

    งั้นต้องกรีดให้ลึกเท่าไหร่ -- ต้องโดนอีกกี่แผลผมถึงจะเป็นที่รักเหมือนคุณหมูพี

     

    ลึกๆแล้วผมรู้ตัวว่าอิจฉาคุณพีรพัฒน์มาโดยตลอด คนนิสัยเสียแบบเขาไม่ควรมีใครอยากอยู่ข้างๆแท้ๆ แต่สุดท้ายทุกคนก็ห้อมล้อมเขา ทั้งครอบครัว ทั้งเพื่อน ทั้งพี่อู๋ ใครๆก็เห็นอกเห็นใจคุณหมูพี เศษแก้วชิ้นเดียวในคืนนั้นทำให้เขาได้รับความรักความสนใจ ถ้าผมมีแผลบ้างล่ะ? ถ้าผมเจ็บตัวจนเลือดออกบ้าง --

     

    พี่อู๋จะเลิกเล่นเกมสัปดาห์ของคนใบ้กับผมไหม?

     

    จังหวะที่กำลังจะลองปาดให้ลึกกว่านี้ จู่ๆข้อมือของผมก็ถูกกระชากอย่างแรงจนเศษจานสีแดงหล่น มันกระทบพื้นดังกริ๊ง!ก่อนจะเงียบไป ไม่มีเสียงพูดหรือเสียงตะคอกจากพี่อู๋ ไม่มีคำถามบีบคั้นให้อึดอัดใจ เขาแค่ดึงมือผมออกแล้วหยุดค้างไว้แค่นั้นเพื่อให้ผมตั้งสติด้วยตัวเอง

     

    “จานแตกครับ” ผมบอกผู้ปกครอง “พี่อู๋ครับ จานแตก”

    “เห็นแล้ว”

    “ผมกำลังจะเก็บจาน”

    “จริงเหรอ?”

    “ครับ” ผมยืนยันแล้วก้มหน้าก้มตาหยิบเศษแก้วใส่ถุงพลาสติก “กำลังจะเก็บ”

     

    พี่อู๋ผละตัวออก เขากลับไปยืนข้างๆเหมือนเดิมและจ้องกอริลลาก้องตาไม่กระพริบ ผมรู้ทันทีว่าเขาโกรธแน่ๆ แต่ไม่รู้ว่าโกรธเรื่องอะไร โกรธที่ผมทำจานใบโปรดของเขาแตก หรือโกรธที่เห็นผมพยายามทำตัวเรียกร้องความสนใจ ผมอยากบอกพี่อู๋นะว่าไม่ได้อยากเลียนแบบคุณหมูพี อารมณ์มันพาไป จู่ๆผมก็แค่สงสัยว่าเศษของแตกๆพวกนี้เรียกความสนใจจากพี่ได้ยังไง แต่ตอนนี้พิสูจน์แล้วว่ามันไม่ได้ผล พี่อู๋ไม่โวยวาย ไม่ได้สติแตกเหมือนตอนเห็นคุณหมูพีเลือดออกเลย

     

    “ทำไมทำแบบนี้ล่ะก้อง?”

    “ทำอะไรครับ?” ผมถามกลับ แสร้งทำเป็นไร้เดียงสาทั้งๆที่แสบข้อมือแทบแย่

    “ก้องเป็นอะไร?”

    “ผมไม่ได้เป็นอะไร?”

    “แล้วทำแบบนี้ทำไม?”

    “ทำอะไรครับ?”

     

    พี่อู๋ตาขวาง เขาโกรธจนไหล่สั่นเมื่อนายก้องเกียรติทำตัวไม่รู้ร้อนรู้หนาว เขาถามเสียงแข็งเป็นครั้งที่สามว่าเป็นอะไร ทำแบบนี้ทำไม และเมื่อผมถามกลับว่าทำอะไรเหรอ? ผมทำอะไรผิด พี่อู๋ก็เม้งแตก เขาหยิบเศษจานขึ้นมาแล้วกรีดบนแขนตัวเองให้ดู

     

    “ทำแบบนี้ไง!”

     

    ผมกรีดร้องเมื่อเห็นเลือดซึมออกตามรอยแผลเป็นจุดๆ ผมเอาแต่ถามเขาว่าทำแบบนี้ทำไม พี่ทำแบบนี้ทำไม อยู่หลายหน พี่อู๋ไม่ตอบ สีหน้าของเขาราบเรียบเหมือนไม่รู้สึกเจ็บปวด ในขณะที่กอริลลาก้องโวยวายจะเป็นจะตาย แต่คุณอุรัสยากลับนิ่งเฉย มองดูผมร้องไห้สุดเสียงอยู่อย่างนั้นโดยไม่มีการปลอบใจ

     

    “พี่ทำแบบนี้ทำไม! พี่ทำแบบนี้ทำไม!”

    “ทำอะไร?”

    “พี่ทำแบบนี้ทำไม?!” ผมตะโกนถาม “พี่กรีดแขนตัวเองทำไม?!”

    “ก้องมีปัญหาอะไรเหรอ?”

    “พี่อู๋!”

     

    ผมชักดิ้นชักงอเหมือนคนบ้า ยิ่งพี่อู๋ตอบกวนตีนเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งร้องไห้ฟูมฟายมากขึ้นเท่านั้น คราวนี้ผู้ปกครองเลิกถามแล้วว่าทำทำไม เขาแค่นั่งมองกอริลลาก้องตีอกชกหัวตัวเองอย่างใจเย็นผิดกับผมที่ตะโกนคอแทบแตก เสียงร้องไห้ของผมคงดังมากจนลุงยามข้างล่างถึงกับโทรมาถามพี่อู๋ว่าเกิดอะไรขึ้น

     

    “ก้องเดินชนโต๊ะครับ นิ้วก้อยไปเกี่ยวกับขาโต๊ะ คงเจ็บน่าดู” เขาโกหก “ครับ ครับ เดี๋ยวผมจัดการเองครับ”

     

    หลังวางสาย พี่อู๋ยังคงนั่งมองผมเฉยๆ เขาไม่ตอบโต้คำตัดพ้อต่อว่าของกอริลลาก้อง ไม่เข้ามาปลอบหรือกอดเหมือนที่ทำกับคุณหมูพี เขาไม่ให้ความสนใจแม้ว่าผมจะทำร้ายตัวเองจนได้เลือด ไม่มอบความรักความเป็นห่วงใดๆนอกจากมองผมร้องจนคอแทบแตกอยู่คนเดียว เขาไม่โอ๋ ไม่พูดปลอบ ไม่ดุด่าที่ทำเรื่องโง่ๆ พี่อู๋ไม่ทำในสิ่งที่ผมต้องการเลยซักอย่าง

     

    “ทีนี้รู้หรือยังว่าเวลาพี่เห็นก้องทำร้ายตัวเอง พี่รู้สึกยังไง?”

     

    คุณอุรัสยาพูดเมื่อเห็นผมร้องจนเหนื่อย พอเหนื่อยมากๆก็ต้องหยุดร้องซักพักเพื่อรวบรวมพลังเตรียมแหกปากร้องต่อ คราวนี้ผมเงยหน้ามองผู้ปกครอง เขากำลังมองมาเหมือนกัน เราเล่นเกมจ้องตานานเกือบนาทีจนสุดท้ายนายก้องเกียรติต้องเป็นฝ่ายยอมแพ้ หลบสายตาดุดันของพี่อู๋แล้วก้มมองพื้นแทน

     

    “ทีหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะ”

     

    เขาสั่ง แต่ผมไม่รับปาก

     

    “ก้องเกียรติ พี่บอกว่าอย่าทำแบบนี้อีก ได้ยินไหม?”

    “พี่ห้ามผมไม่ได้หรอก”

    “ห้ามได้หรือไม่ได้เดี๋ยวก็รู้”

     

    พี่อู๋จ้องกลับจนผมกลัว จากที่เคยเป็นฝ่ายน้อยใจก็กลายเป็นคนรู้สึกผิด ผมพูดอะไรไม่ออกเมื่อเห็นแผลบนแขนของพี่อู๋ คำพูดต่างๆมันจุกตรงคอจนได้แต่นั่งเป็นใบ้นานหลายนาที พี่อู๋นั้นอดทนอย่างน่าเหลือเชื่อ เขาไม่ลุกไปไหนเลย ไม่เก็บเศษจาน ไม่คุย ไม่ทำแผลที่แขนตัวเอง เขานิ่งจนผมต้องเป็นฝ่ายง้อเพราะกลัว กอริลลาก้องค่อยๆขยับเข้าไปใกล้ผู้ปกครอง ผมบอกพี่อู๋ว่าขอโทษครับ แล้วก็ร้องไห้อีกรอบ

     

    “ผมน้อยใจที่พี่ไม่คุยกับผมเลย” ผมบอกความรู้สึกของตัวเองให้พี่อู๋ฟัง “ผมรู้ว่าพี่ยังเสียใจเรื่องคุณหมูพี รู้ว่าพี่ยังรักเขาอยู่ แต่พี่เลิกเล่นเกมนี้ไม่ได้เหรอ ผมไม่ชอบเกมนี้ ผมไม่อยากให้พี่เล่นเกมนี้กับผม”

    “เกมอะไร?” เขาถามด้วยสีหน้างุนงง

    “สัปดาห์ของคนใบ้” ผมตอบ “แม่เล่นเกมนี้กับผมมาทั้งชีวิตแล้ว พี่อย่าเป็นเหมือนแม่เลยนะ ผมไม่ชอบที่พี่เงียบเลย”

     

    พี่อู๋เงียบเหมือนคิดเรื่องอื่นอยู่ พอผมระบายความในใจจนหมดเปลือกเขาถึงถามต่อว่ายาอยู่ที่ไหน ผมตอบไม่ได้ ไม่ใช่ว่าไม่อยากบอกหรือมีความลับอะไร

     

    แต่ -- แต่ผมจำไม่ได้ว่าเอายาไปไว้ที่ไหน

     

     ครั้งสุดท้ายที่หาหมอ ผมยังถือถุงยาอยู่ แต่หลังจากนั้นผมกลับนึกไม่ออกว่าทิ้งมันไว้ที่ไหน พอพี่อู๋เห็นผมอ้ำๆอึ้งๆ เขาก็จับได้ทันที

     

    “ยาหายเหรอ?”

     

    ผมยอมรับ ครับ ยาหาย ผมจำไม่ได้ว่าเอาไปวางไว้ตรงไหน พี่อู๋เริ่มหงุดหงิด เขามุ่งมั่นกับการหายารักษากอริลลาจนลืมผมไปชั่วขณะ คุณอุรัสยานึกทบทวนเหตุการณ์ในวันนั้นอยู่นาน เขาไล่ตั้งแต่พาผมไปหาหมอ รถชน เจอผมหน้าโรงพยาบาล ขึ้นแท็กซี่ ไปซื้อของเข้าห้อง -- พอนึกได้ว่าครั้งล่าสุดเราซื้อของมาหลายถุง เขาก็เปิดตู้เก็บเครื่องปรุงเหนือเตาไฟฟ้าก่อนจะหันมามองกอริลลาก้องตาขวาง

     

    “ไม่ได้กินยาซักเม็ดเลยเหรอ?”  

     

    เขาวางยาสี่ปึกลงบนเคานท์เตอร์ครัวแล้วกระแทกกระปุกยาทิ้งท้ายเป็นการบอกกลายๆว่าโมโหแค่ไหน

     

    “ผม -- ผมลืม”

    “ลืม? ลืมว่าเก็บยาไว้ตรงไหนเนี่ยนะ?”

     

    พี่อู๋ถามย้ำ ผมยอมรับตามตรง ก็ผมลืมจริงๆนี่ วันนั้นเราเหนื่อยกันมาก และผมก็เครียดมากจนไม่ได้สนใจอะไร เมื่อได้ยินคำอธิบายทั้งหมดพี่อู๋ถึงกับทึ้งหัวตัวเองด้วยท่าทางหงุดหงิด เขาบอกว่าเขาผิดเองแหละที่ดูแลผมไม่ดี เขามีเรื่องให้คิดเยอะจนไม่ค่อยได้สนใจกอริลลาก้องที่เลี้ยงไว้เท่าไหร่ ผมอยากถามพี่อู๋เหมือนกันว่าเขาเครียดเรื่องอะไรแต่ก็พอเดาได้ว่าคงไม่พ้นเรื่องคุณหมูพี

     

    “พี่น่าจะเอะใจให้เร็วกว่านี้” ผู้ปกครองตำหนิตัวเอง “แต่ -- เมื่อกี๊พูดถึงเกมอะไรนะ?”

    “สัปดาห์ของคนใบ้ครับ”

    “ก้องบอกว่าพี่เล่นเกมนี้กับก้องเหรอ? เล่น? ยังไง?”

    “ครับ” ผมยืนยัน “พี่ไม่คุยกับผมเลย พี่เอาแต่เล่นโทรศัพท์ทั้งวัน คุยกับพี่ตั้มเรื่องคุณหมูพี พี่ไม่สนใจผมเหมือนเมื่อก่อน”

    “มั่วแล้ว พี่คุยกับประกันบ่อยกว่าไอ้ตั้มอีก” เขาผลักหัวผม

    “ไม่จริง ผมถามพี่ตลอดว่ากับข้าวอร่อยไหม พี่ก็ตอบแค่ว่าอร่อยแต่กินไม่หมด”

    “เพราะมันเค็ม”

    “พี่ว่าอะไรนะครับ?”

    “กับข้าวของก้องรสชาติไม่เหมือนเดิมแล้ว” พี่อู๋ตอกย้ำ “ที่ไม่พูดตรงๆเพราะไม่อยากให้ก้องเสียใจ แต่จะให้ฝืนกินจนเป็นโรคไตมันก็ไม่คุ้มเปล่าวะก้อง”

     

    ผมน่ะ -- ไม่เคยเสียใจเลยนะที่โดนตำหนิว่าทำบางเมนูไม่อร่อย แต่พอได้ยินพักหลังมานี้รสชาติมันห่วยแตกจนพี่อู๋กินไม่ลงก็แอบเจ็บนิดหน่อยเหมือนกัน เรากินด้วยกันแท้ๆ ทำไมมีแค่ผมคนเดียวที่ไม่รู้สึกถึงความผิดปกติเลย

     

    “อีกอย่าง คนที่ไม่ยอมพูดก็คือก้องนั่นแหละ”

    “ไม่จริง ผมชวนพี่คุยตลอด ผมเรียนเปียโนก็เพราะพี่ ผมทำทุกอย่างก็เพราะอยากให้พี่กลับมาสนใจผมเหมือนเดิม พี่นั่นแหละเปลี่ยนไป พี่ไม่ใช่พี่อู๋คนเดิมที่ผมรู้จัก”

    “ที่คิดแบบนี้เพราะขาดยาหรือน้อยใจ?”

    “ผมไม่ได้คิดไปเองนะ หลังๆมานี้พี่ไม่สนใจผมเลย ขนาดผมเล่นเปียโนเป็นตั้งหนึ่งเพลง พี่ยังไม่ชมซักคำ!”

    “แล้วรู้หรือเปล่าว่าวันนั้นก้องเล่นเพลงเดิมซ้ำกี่รอบ?”

    “สองสามรอบเอง”

    “สองสามรอบ? แน่ใจ?” เขาถามจนผมเริ่มลังเล “ก้องไม่รู้ตัวเลยเหรอว่าเล่นเป็นสิบรอบ เล่นนานเกือบครึ่งชั่วโมงและไม่ยอมหยุดจนพี่ต้องยกมือถือมาจับเวลาว่าจะเล่นอีกนานแค่ไหน”

     

    พี่อู๋บอกก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมา เขาเปิดคลังภาพเพื่อให้ผมดูคลิปวิดีโอที่อัดไว้ หน้าจอปรากฏภาพของกอริลลาก้องกำลังนั่งหลังคู้เล่นเปียโนอย่างใจจดใจจ่อ หน้าของผมก้มต่ำจนแทบจะติดคีย์เปียโน ท่าทางดูหมกมุ่นเหมือนนักเปียโนเสียสติที่ลืมวันลืมคืน พอเห็นสภาพตัวเองผ่านทางวิดีโอคลิปแล้ว ผมก็จำนนต่อหลักฐาน เถียงไม่ออกว่าตัวเองดูผิดไปจากปกติจริงๆ

     

    “ทีนี้ก้องมีอะไรจะบอกพี่หรือเปล่า?”

    “ไม่มีครับ”

    “ก้องเกียรติ”

    “ก็ได้ -- แต่ผมไม่รู้ว่าควรบอกพี่ดีไหม” ผมอ้ำๆอึ้งๆ “ผมไม่อยากไปหาหมอแล้ว”

    “ทำไม?”

    “ผมรู้สึกว่าหมอไม่ได้เข้าใจจริงๆ เขาแค่พูดเพื่อให้ผมสบายใจ แต่สุดท้ายเขาก็เหมือนคนอื่นที่มองว่าผมยึดติดกับพี่เกินไปจนไม่ยอมเริ่มต้นใหม่เสียที”

    “แล้วก้องคิดว่าไง?”

    “ผมว่ามันก็จริงส่วนนึง แต่อีกส่วนก็ไม่ใช่อย่างที่เขาคิด” ผมสารภาพ “วันนั้นผมกลัวว่าพี่ทิ้งก็เลยรีบคุยกับหมอให้เสร็จไวๆเพราะอยากไปหาพี่ แต่หมอไม่ยอม หมอพูดให้ผมยืนด้วยตัวเองทั้งๆที่ผมยังไม่พร้อม ผมไม่พร้อมจะออกไปใช้ชีวิตคนเดียวตอนนี้”

    “ทำไมล่ะ?”

    “ผม -- ผมอยากอยู่กับพี่ตลอดไป” กอริลลาก้องร้องไห้อีกแล้ว “ผมไม่ได้รักความสบายหรือยึดติดพี่เพราะเห็นแก่เงิน แต่ผมไม่เหลือใครแล้ว ผมแค่ไม่อยาก -- ไม่อยากกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิม พี่เข้าใจไหมว่าผมไม่อยากตื่นมามองเพดานคนเดียว ผมอยากมีพี่นอนมองเพดานอยู่ข้างๆ”

    “เกือบซึ้งแล้วก้อง มาตกม้าตายตรงคำว่านอนมองเพดานนี่แหละ”

    “ผมแค่กลัวว่าจะต้องกลับไปใช้ชีวิตคนเดียวเหมือนเมื่อก่อน ถ้าเป็นแบบนั้น -- ผมจะมีชีวิตอยู่ต่อไปทำไมถ้าไม่มีใครอยู่เป็นเพื่อน”

     

    พี่อู๋ดูกังวลเมื่อผมพูดว่าไม่อยากกลับไปใช้ชีวิตคนเดียว เราต่างรู้ทั้งนั้นว่าไม่วันใดก็วันหนึ่งผมต้องไปตามทางของตัวเองเพราะเขาไม่สามารถเลี้ยงกอริลลาก้องได้จนตาย พี่อู๋รู้ ผมก็รู้ แต่เรายังไม่เคยพูดถึงวันนั้นจริงๆจังๆซักครั้ง

     

    “ก้อง -- พี่ว่าก้องน่าจะไปที่นี่นะ”

     

    ผมเงยหน้ามองผู้ปกครองทั้งน้ำตา ไม่เข้าใจเลยว่าที่นี่ของเขาหมายถึงที่ไหน พี่อู๋ทิ้งตัวนั่งลงข้างๆพร้อมกับกดโทรศัพท์ เขาส่งมันให้ผมอ่าน ในนั้นเขียนว่าศูนย์สุขภาวะทางจิต

     

    “บางทีกินยาอย่างเดียวไม่พอ ก้องน่าจะมีใครซักคนคอยช่วยอีกทาง” พี่อู๋อธิบายเพิ่มเมื่อเห็นผมแสดงสีหน้าต่อต้าน “ไปคุยกับนักจิตบำบัดนะก้อง เดี๋ยวพี่พาไป”

    “แต่ผมไม่อยากนั่งตอบคำถามกับคนแปลกหน้าแล้ว ผมเบื่อที่จะต้องเล่าเรื่องตัวเองซ้ำๆ เบื่อที่ต้องเล่าให้ฟังว่าแม่ตายยังไง”

    “ทำไมล่ะ? ก้องไม่อยากรู้สึกดีขึ้นเหรอ?”

    “พี่ก็รู้ว่าโรคนี้ไม่มีวันหายหรอก” ผมบอกพี่อู๋ “ยังไงมันก็รักษาไม่ได้ พี่อย่าเสียเงินเสียเวลากับผมอีกเลย”

    “เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา ขอแค่ก้องรู้สึกดีขึ้น ต่อให้จ่ายเป็นหมื่นพี่ก็จ่ายได้ --”

    “พี่เลิกทำเหมือนผมเป็นเอมซักทีได้ไหม?! ต่อให้พี่ใช้เงินกับผมมากแค่ไหน ผมก็ไม่มีวันเป็นเอมของพี่หรอก!”

     

    คราวนี้พี่อู๋เป็นฝ่ายอึ้ง เขาตกใจเมื่อผมกลับมาเกรี้ยวกราดอีกหนด้วยการพาดพิงถึงเอม พอพูดถึงตัวแทน ผมก็ร้องไห้โฮออกมา ผมบอกเขาว่าทำเต็มที่แล้ว ผมพยายามเป็นคนที่สมบูรณ์แบบเหมือนน้องชายของเขาแต่มันไม่เคยดีพอ ผมไม่ได้เกิดมาเก่งเหมือนเอม ไม่มีพรสวรรค์ทางดนตรีเหมือนเอม และผมไม่อยากฝืนตัวเองอีกแล้ว

     

    ผมไม่อยาก -- ไม่อยากเป็นใครที่ไม่ใช่ก้องเกียรติอีกแล้ว

     

    “ถ้าพี่ตั้งใจเอาก้องมาแทนที่เอมจริงๆ คิดว่าตอนนี้ก้องจะได้นั่งกรีดแขนตัวเองเหรอ?! นู่น! คงขลุกตัวในโรงเรียนกวดวิชาแถวพญาไทนู่น! ไม่มีเวลามาน้อยใจแบบนี้หรอก!”

     

    ผมชะงักเมื่อโดนตะคอกกลับ พี่อู๋กำมือแน่นเหมือนมีเรื่องอยากพูดมากกว่านี้แต่สุดท้ายเขาก็เงียบ และพยายามกลับมาที่เรื่องของเด็กในอุปการะแทน

     

    “พี่ไม่เคยคาดหวังให้ก้องเป็นเอม ไม่เคยอยากให้ก้องเก่งเหมือนเอม ทำไมล่ะก้อง? ทำไมถึงคิดว่าพี่เอาก้องมาแทนที่ใครตลอด? พี่ทำอะไรผิดเหรอ? พี่พูดจาไม่ดีเหรอ?”

    “พี่บังคับให้ผมเรียนเปียโน”

    “พี่เห็นก้องชอบ --”

    “ผมไม่ชอบ! ผมไม่ชอบเปียโน!”

    “ถ้าไม่ชอบแล้วนั่งมองตาละห้อยทุกวันทำไมล่ะก้อง?” เขาถามเสียงสั่นราวกับผิดหวังที่ผมตะโกนออกไปว่าเกลียดเครื่องดนตรีนั่นแค่ไหน “ที่พี่ติดต่อไอ้โรมเพราะคิดว่าดนตรีจะช่วยบำบัดให้หายไวๆ แต่ถ้าก้องไม่มีความสุขกับมัน พี่ไม่ฝืนใจก็ได้ ไม่ต้องเรียนเปียโนก็ได้”

    “ผมไม่ได้บอกว่าไม่มีความสุข”

    “แต่เมื่อกี๊ก้องเพิ่งตะคอกใส่หน้าพี่ว่าไม่ชอบเปียโน”

    “ผมไม่ชอบที่ต้องกดดันตัวเองเพื่อเล่นเก่งเหมือนเอมต่างหาก”

    “แล้วพี่เคยขอให้ก้องเป็นเอมเหรอ?”

     

    พี่อู๋ถามย้อน คราวนี้ผมเห็นความผิดหวังในแววตาของเขาด้วย

     

    “พี่เคยพูดเหรอว่าต้องเรียนเปียโนให้เก่งเท่าเอม ต้องเป็นเด็กดี ต้องเป็นน้องชายที่ว่านอนสอนง่าย พี่ไม่เคยพูดซักคำเพราะพี่รู้ว่าก้องไม่ใช่เอม ก้องก็คือก้อง เป็นเด็กซื่อบื้อธรรมดาๆคนหนึ่ง พี่ไม่เคยคิดจะปั้นก้องให้เป็นเอมซักครั้ง เมื่อไหร่ชุดความคิดลิเกพวกนี้จะหลุดจากหัวก้องซักที ขี้เกียจอธิบายแล้วนะโว้ย!”

    “พี่หาว่าผมเป็นดราม่าควีนเหรอ?”

    “เออ!!!!!”

     

    พี่อู๋ขึ้นเสียง ถ้าเป็นเวลาปกติเราคงหัวเราะขำๆ แต่ตอนนี้ผมไม่ขำ ผมอยากร้องไห้ที่โดนกล่าวหาว่าเป็นดราม่าควีน

     

    “ผมไม่ได้ชอบดราม่า! ผมแค่น้อยใจ!”

    “น้อยใจเรื่องอะไร?”

    “น้อยใจที่พี่สนแต่เรื่องของคุณหมูพีไง!”

    “โอ๊ย -- หมูพีอีกแล้วเหรอวะ --” คุณอุรัสยายีหัวจนฟูยุ่ง สองมือลูบหน้าด้วยท่าทางเหมือนเด็กมหาลัยจนปัญญากับการอธิบายแคลคูลัสให้เด็กประถมฟัง

    “ขนาดผมเจ็บตัวพี่ยังไม่สนใจเลย! พี่เปลี่ยนไปมากแค่ไหนพี่รู้ตัวไหม?!”

    “ที่พี่ไม่ปลอบเพราะพี่ไม่อยากให้ก้องมีชุดความคิดผิดๆไง! ถ้าโอ๋ทุกครั้งที่ก้องทำร้ายตัวเองเหมือนหมูพี ต่อไปก้องจะคิดว่าขอแค่เจ็บตัวก็จะได้ความรักซึ่งมัน! ไม่! ใช่! พี่ไม่อยากสร้างเงื่อนไขแบบนั้นกับก้อง พี่ผิดมากเลยเหรอ? หืม? ผิดมากเลยเหรอที่ไม่โอ๋ก้อง?”

    “ผมไม่ได้อยากให้พี่โอ๋ ผมแค่อยากให้พี่สนใจผมเหมือนเดิม!”

    “แล้วที่นั่งอยู่ตอนนี้คืออะไร? ไม่สนใจเหรอ? แบบนี้เรียกว่าไม่สนใจเหรอ?” พี่อู๋ยกมือจะเขกหัวกอริลลาก้องแต่ก็ไม่ได้ทำ “ความคิดลิเกๆแบบนั้นเก็บไว้อ่านจากนิยายเถอะ เพราะถ้าพี่ไม่สนใจก้องจริง พี่จะพาก้องไปหาหมอ จะจ้างไอ้โรมมาสอนเปียโน จะพยายามหาวิธีช่วยให้ก้องดีขึ้นทำไม?”

     

    ผมเงียบ เถียงไม่ออกเพราะที่พี่อู๋พูดก็จริงทุกอย่าง กอริลลาก้องได้แต่นั่งจ๋อย อุตส่าห์หงายการ์ดกรีดแขนแล้วแต่โดนเสยกลับจนแพ้ราบคาบ ใช่สิ -- ผมมันดราม่าควีน ผมมันคิดไปเอง ผมมัน -- ผม --

     

    “ทีนี้ฟังพี่ -- ไปอาบน้ำแปรงฟัน โกนหนวดให้เรียบร้อยแล้วมากินข้าวกินยา”

     

    พี่อู๋ลูบหัวผมเบาๆ เขาเช็ดน้ำตาออกให้ก่อนจะดึงแก้มนายก้องเกียรติจนยืดเหมือนพิซซ่าขอบชีสที่เราเคยกินด้วยกัน

     

    “รู้ไหมว่าก้องเน่าแค่ไหน? หนวดก็ครึ้ม หน้าก็มัน แถมตายังบวมอีก” พี่อู๋เปลี่ยนเป้าหมายจากแก้มมาเป็นปลายจมูกของกอริลลา “หยุดร้องไห้แล้วไปจัดการตัวเองนะ”

    “ครับ”

     

    ผมตอบเสียงอ่อย ก่อนจะโดนพี่อู๋ลากไปตบกลางสี่แยก ผมกลับไม่รู้สึกถึงความสกปรกซกมกของตัวเองเลย ไม่ได้กลิ่นหรือเหนียวตัวเพราะไม่ได้อาบน้ำหลายวัน แต่พอพี่อู๋ทักเรื่องนี้ จู่ๆผมก็ได้กลิ่นปากตัวเองมากะทันหัน ผมกลายเป็นคนซกมกเหมือนที่เคยว่าคุณอุรัสยาไปแล้ว

     

    “หลังจากนี้ก้องไม่ต้องทำกับข้าวแล้ว พี่จะสั่งไลน์แมน”

    “กับข้าวผมไม่อร่อยขนาดนั้นเลยเหรอ?”

    “กินยาก่อน กินยาให้ครบสองสัปดาห์แล้วเราค่อยพูดกันเรื่องกับข้าว”

    “ทำไมต้องรอนานขนาดนั้นด้วย?”

    “เพราะตอนนี้ก้องขาดยาไง คนขาดยา อธิบายยังไงก็เก็บไปน้อยใจอยู่ดี”

     

    พี่อู๋เขกหัวกอริลลาก้องดังก๊อก! จังหวะที่ผมกำลังจะลุกขึ้นยืน จู่ๆพี่อู๋ก็จับแขนผมเอาไว้ เขามองด้วยสายตาเว้าวอนแบบแปลกๆก่อนจะเอ่ยปากขอให้ช่วย

     

    “ทายาให้หน่อยสิ เจ็บว่ะ”

    “แล้วพี่กรีดแขนตัวเองทำไมล่ะ!” ผมแหวใส่คุณอุรัสยา “กรีดเองก็ทายาเองสิครับ แผลใครแผลมัน”

    “จะเอาแบบนี้เหรอก้องเกียรติ?”

    “ครับ เอาแบบนี้แหละ” ผมตอบแล้วเอื้อมตัวหยิบกล่องปฐมพยาบาลหลังตู้เย็น “ผมอาบน้ำก่อนนะ เหม็น”

    “เออ ดีนะที่ยังรู้ตัวว่าเหม็น”

     

    ผมเบะปากแล้วไปอาบน้ำ ไม่สนพี่อู๋ที่นั่งเก็บเศษจานบนพื้นคนเดียว หลังจัดการตัวเองเสร็จ ผมก็เดินไปหาพี่อู๋เพื่อทำแผลให้ น่าแปลกที่แผลของคุณอุรัสยาไม่ลึกเท่าของผมแต่เลือดไหลเยอะกว่า ในขณะที่ของผมมีตั้งหลายแผลแต่เลือดกลับมีแค่นิดเดียว -- นิดเดียวจริงๆ นี่สินะที่คนเขาพูดกันว่าเลือดข้น เงินจาง กรีดยาวเป็นทาง ไม่มีน้ำยางซักหยด

     

    “พรุ่งนี้ไปหานักจิตบำบัดนะก้อง” พี่อู๋บอกเมื่อทำแผลให้เขาเสร็จ ผมไม่รับปาก “ว่าไง? ไปไหม?”

    “ไม่ไปไม่ได้เหรอครับ?”

    “พี่มีทางเลือกให้ก้องแค่ทางเดียว --”

    “ซึ่งก็คือต้องไป ถูกไหมครับ?”

    “ถั่วต้ม” พี่อู๋พยักหน้าอย่างพอใจ “นะ เดี๋ยวพี่โทรจองให้ คิวว่างเมื่อไหร่พี่จะพาไป”

     

    ผมเป็นคนเก็บสีหน้าไม่เก่ง ถ้าไม่ชอบ ไม่อยากทำหรือถูกขัดใจ มุมปากของผมจะโค้งต่ำทันที บางครั้งก็มองบนโดยไม่รู้ตัว แสดงออกถึงท่าทีเบื่อหน่ายจนพี่อู๋กังวล ดังนั้นตอนเห็นผมเริ่มเฉยชากับการตอบคำถาม คุณอุรัสยาก็ยื่นข้อเสนอแบบยื่นหมูยื่นแมว ถ้าผมไปหาหมอ เขาจะให้สิ่งที่ผมต้องการ

     

    “พี่จะซื้อเกมให้”

    “ผมไม่อยากได้ครับ”

    “รองเท้าผ้าใบ”

    “ไม่อยากได้”

    “บุฟเฟ่ต์แซลม่อน”

    “ผมไม่ใช่หมีกริซลีที่อยากกินปลาส้มขนาดนั้น”

     

    ผมส่ายหน้า พี่อู๋ถอนหายใจเซ็งๆแล้วพยายามเสนอต่อ เขาบอกว่าจะให้ขนม ให้เกม ให้เสื้อผ้าเท่ๆ ให้กระเป๋าเป้สวยๆซักใบ ให้หนังสือที่ผมอยากอ่าน ให้ไปเที่ยวในที่ที่อยากไป พอผมปฏิเสธทุกคำเสนอ เขาก็เริ่มเพิ่มวงเงินมากขึ้นเรื่อยๆ จากแค่ของกินของใช้กลายเป็นเที่ยวต่างประเทศ พี่จะพาไปสิงคโปร์ ไปมาเลเซีย ไปเวียดนาม ไปเกาหลี ก้องอยากโกอินเตอร์ไหม ถ้าอยาก ต้องพบนักจิตบำบัดก่อน พี่อู๋ถึงจะจองตั๋วให้ แล้วเราก็ค่อยกลับห้องมาแพ็คกระเป๋าไปเที่ยวกันสองคน

     

    “ผมรู้นะว่าที่พี่ยื่นเสนอเว่อๆเพราะพี่มั่นใจว่าผมไม่เอา”

    “อ่ะ ถูกอีก งั้นบอกมาซักทีเถอะ ก้องอยากได้อะไร?”

     

    ผมแกล้งเล่นตัว ทำเป็นไม่พูดอยู่หลายนาทีจนพี่อู๋รำคาญ เขาเลิกถามในที่สุดเพราะกอริลลาก้องมัวแต่ทำตัวเป็นหล่อเลือกได้ ผมรีบคว้าแขนผู้ปกครองเมื่อพี่อู๋ลุกจากโซฟา เขามองหน้าผมและยิ้มเหมือนผู้ชนะ เขารู้ว่านายก้องเกียรติมีของที่อยากได้ เพียงแค่ไม่รู้ว่ามันคืออะไรเท่านั้น

     

    “ผมจะยอมไปพบนักจิตบำบัดก็ได้ถ้า --”

    “ถ้าอะไร?”

    “ถ้าพี่ -- พี่เข้าบำบัดกับผม”

     

    ผมยื่นคำขาด

     

    “แต่ถ้าพี่ไม่ไป ผมก็ไม่ไป”

     

     

     

     

    กอริลลาสองตัวตื่นนอนตอนเจ็ดโมงเช้า พวกมันอาบน้ำแต่งตัวเตรียมออกไปทำธุระข้างนอก กอริลลาที่อายุมากกว่าตัดสินใจแวะร้านสะดวกซื้อหน้าปากซอยเพราะหิว มันหยิบแซนด์วิชทูน่ามาสองกล่อง นมสองขวด และน้ำเปล่าหนึ่งขวดเป็นเสบียงติดกระเป๋าก่อนจะเดินเท้าข้ามสะพานลอย มุ่งหน้าสู่รถไฟฟ้ามหานครสถานีลาดพร้าว

     

    กอริลลาที่แก่กว่าบ่นเรื่องชั่วโมงเร่งด่วน ลิงตัวอื่นๆเริ่มทยอยเดินเข้ามาในสถานี พวกมันยืนต่อแถวเป็นระเบียบหน้าป้ายที่เขียนว่าหัวลำโพง กอริลลาที่เด็กกว่าเริ่มหาวปากกว้าง แสดงท่าทางเบื่อหน่ายและหมดเรี่ยวแรงทั้งๆที่ยังไม่ทำอะไร

     

    “รถน่าจะเสร็จก่อนปีใหม่ อดทนอีกนิดนะ ใช้รถไฟฟ้าไปก่อน”

     

    กอริลลาที่เด็กกว่าพยักหน้ารับ พวกมันขึ้นรถไฟมุ่งหน้าสู่สถานีสีลมเพื่อไปตามนัด ตลอดทางที่ยืนโหนราว กอริลลาที่แก่กว่าเอาแต่จ้องกอริลลาเด็ก มันจ้องเฉยๆจนกระทั่งถึงจุดหมายปลายทาง กอริลลาที่อายุมากกว่าจูงมือกอริลลาเด็กไปเรื่อยๆอย่างชำนาญ มันเดินข้ามถนน เข้าเขตโรงพยาบาลไปจนถึงตึกสีขาว กอริลลาเด็กเงยหน้าอ่านชื่ออาคารตรงหน้า บรมราชชนนีศรีศตพรรษ มันหันไปถามผู้ปกครองว่าชื่อนั้นมีความหมายว่ายังไง

     

    “ไม่รู้อ่ะ เดี๋ยวค่อยเปิดกูเกิ้ลที่บ้านนะ”

     

    มันตอบ ก่อนจะจูงมือเด็กในปกครองขึ้นไปชั้นห้าซึ่งมีป้ายเขียนว่าคณะจิตวิทยา พวกมันมาถึงจุดหมายแล้ว กอริลลาที่แก่กว่าโทรศัพท์แจ้งเจ้าหน้าที่ หลังจากนั้นก็รอไม่กี่นาที ผู้หญิงท่าทางใจดีก็เชิญพวกมันเข้าไป กอริลลาทั้งสองตัวต้องกรอกแบบสอบถามก่อนเข้ารับการตรวจ สำหรับกอริลลาเด็กนั้นไม่เป็นปัญหา เพราะมันผ่านการถามย้ำซ้ำๆมาแล้วหลายหน แต่กอริลลาที่แก่กว่าดูท่าจะไม่ค่อยคุ้นเคยเท่าไหร่ บางทีมันหยุดนึกนานมากราวกับไม่แน่ใจในคำตอบ

     

    หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ก็มาชี้แจ้งถึงสิทธิของกอริลลา จะไม่มีการนำเสียงหรือใบหน้าของมันไปเปิดเผยแพร่ ทุกเรื่องที่ออกจากปากกอริลลาจะเป็นความลับ มีแค่นักจิตวิทยาเท่านั้นที่รู้ถึงสิ่งที่อยู่ข้างใน กอริลลาที่อายุน้อยกว่าค่อนข้างเฉยๆ ไม่สนใจว่าเรื่องของตัวเองจะถูกนำไปบอกต่อหรือไม่ แต่กอริลลาตัวใหญ่มีสีหน้าโล่งใจเมื่อเจ้าหน้าให้สัญญาว่าจะรักษาความลับอย่างดี

     

    “คนรู้จักพี่เรียนที่นี่เยอะ” มันอธิบายความกังวลให้กอริลลาเด็กฟัง “รอข้างนอกก่อนนะ คุยไม่นานหรอก”

     

    กอริลลาที่อายุน้อยกว่าพยักหน้ารับและอดทนรอครอบครัวเพียงคนเดียวของมันนานเกือบสองชั่วโมง นาฬิกาบอกเวลาว่าสิบโมงสี่สิบสองนาที ผู้ปกครองของมันเดินออกมาจากห้องสีขาวด้วยสภาพเหมือนคนเพิ่งร้องไห้ ดวงตาและปลายจมูกแดงช้ำ ขนตายังเปียกชื้นจนเห็นได้ชัด กอริลลาเด็กใจไม่ดีที่เห็นผู้ปกครองของมันร้องไห้ แต่ก็ไม่ได้ซักไซ้ถามไถ่อะไรนอกจากนั่งรอเจ้าหน้าที่เรียกชื่อตัวเองอย่างใจเย็น

     

    ระหว่างที่นั่งรอหน้าห้องตรวจ กอริลลาเด็กเริ่มกังวลจนมือเย็นไปหมด กอริลลาที่อายุมากกว่าปลอบมันด้วยการจับมือเบาๆ ทั้งสองตัวนั่งปิดปากเงียบโดยไม่พูดคุยเลยซักคำ มีเพียงแค่มือของพวกมันเท่านั้นที่สัมผัสกันอยู่

     

    “ถ้ามันไม่ดีขึ้นล่ะ” กอริลลาเด็กถามเสียงสั่น

    “เราก็ค่อยหาวิธีอื่นต่อไป”

    “ถ้ามันไม่หาย ถ้าไม่มีใครช่วยผมได้ ถึงตอนนั้น -- พี่จะเบื่อผมไหม? พี่จะรำคาญ พี่จะทิ้งผมเหมือนแม่ไหม?” มันถามอีก

    “พี่ไม่ทิ้งก้องหรอก”

    “สัญญานะ”

    “สัญญา”

     

    กอริลลาเด็กยิ้มเมื่อผู้ปกครองมันเกี่ยวก้อยสัญญา หลังจากนั่งรอไม่กี่นาที ในที่สุดชื่อของมันก็ถูกเรียก กอริลลาก้องลุกขึ้นยืนก่อนจะหันมามองกอริลลาที่อายุมากกว่า

     

    “ตอนที่ผมออกจากห้อง -- ผมจะเห็นพี่นั่งตรงนี้ใช่ไหม?”

     

    กอริลลาอู๋พยักหน้ารับ

     

    “คุยเสร็จเราไปหาอะไรอร่อยๆกินกันนะ”

    “ครับ”

     

    กอริลลาโบกมือลาก่อนจะเดินเข้าห้องสีขาวทางขวามือ น่าเสียดายที่มันอดเห็นรอยยิ้มบางบนใบหน้าของกอริลลาอู๋ นาฬิกาบอกเวลาว่าเที่ยงยี่สิบเจ็ดนาที หลังจ่ายเงินค่าบริการ กอริลลาทั้งสองตัวก็นั่งรถไฟฟ้าไปพารากอน กอริลลาอู๋พากอริลลาก้องไปกินอาหารญี่ปุ่นก่อนจะจบการเดินทางด้วยหนังสือสามเล่ม หนึ่ง โสกราตีส สอง ขอให้มีชีวิตอยู่ด้วยกัน และ สาม --

     

    เอ่ยชื่อคือคำรัก






    TBC



    ______________________


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in