เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Not today, he said.Ms.Ambiguous
What are you doing here?
  • 00


    มีคนบอกว่าความตายน่ากลัวแต่ผมว่ามันไม่ได้น่ากลัวหรอก ที่น่ากลัวคือการมองไม่เห็นวันพรุ่งนี้ต่างหาก

     

    ปฎิทินได้ฟรีจากธนาคารบอกว่าวันนี้คือวันที่ 18 สิงหาคม เป็นวันที่ผมรู้สึกว่าความอดทนทุกอย่างหมดลงแล้ว และความตายน่าจะเป็นแสงสว่างสุดท้ายที่ทำให้มองเห็นอะไรๆชัดขึ้น ดังนั้นผมจึงตื่นนอนแต่เช้า อาบน้ำแปรงฟันและโกนหนวดจนสะอาดสะอ้าน เลือกสวมเสื้อยืดตัวเก่งที่แม่ซื้อให้กับกางเกงยีนลดราคาจากโลตัส

     

    ผมมองกระจกเป็นครั้งสุดท้าย ร่างกายซูบผอมเหมือนเด็กส่งยาไม่ทำให้รู้สึกเกลียดตัวเองมากไปกว่านี้อีกแล้ว วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ผมอยู่ที่นี่ เพราะคืนนี้ผมจะออกเดินทางไกล เป็นการเดินทางที่ไม่รู้จุดหมาย แต่ผมมั่นใจว่ามันจะช่วยให้หลุดพ้นจากความหนักอึ้งที่ทับถมมาตลอดชีวิตได้แน่นอน

     

    วันนี้ผมจะตาย

    ผมจะฆ่าตัวตาย

     

    หลังจากคิดหาวิธีที่รบกวนคนอื่นน้อยที่สุด ผมตัดสินใจเลือกการกระโดดสะพานเป็นทางออกสุดท้าย ผิวน้ำเรียบๆจะไม่ต่างอะไรพื้นคอนกรีตเมื่อกระโดดลงมาด้วยความสูงที่มากพอ ผมคงตายสนิทและไม่เป็นภาระให้มูลนิธิต้องทำความสะอาดด้วย อีกอย่างถ้าผมตายเงียบๆโดยไม่มีใครเห็น บางทีร่างที่ไร้ประโยชน์นี้อาจเป็นอาหารให้ปลากินจุอย่างพวกปิรันยาก็ได้

     

    แต่ผมลืมไป

    แม่น้ำเจ้าพระยาไม่มีปิรันยานี่หว่า

     

    ผมหัวเราะให้กับความไร้สาระของตัวเองระหว่างผูกเชือกรองเท้าพลางคิดว่าเดือนสิงหาปีนี้ร้อนผิดปกติ มันก็ร้อนขึ้นทุกปีเหมือนความทุกข์ แต่พ้นวันนี้ไปผมจะไม่เศร้าแล้ว ผมกำลังจะเดินทางไกล ถ้าไม่ผิดจากที่เตรียมเอาไว้ อีกสิบหกชั่วโมงผมจะจากโลกนี้ไปเพียงลำพังเหมือนอย่างที่เกิดมา

     

    ต้องล็อคประตูบ้านไหม?

    ไม่ -- ไม่จำเป็น

    อย่างน้อยถ้าตำรวจพบศพเมื่อไหร่ พวกเขาจะได้เข้ามาคุ้ยหาเศษซากความขี้แพ้ของผมได้สะดวก

     

    ผมปิดประตูบ้านแต่ไม่ได้ลงกลอน เดินออกจากที่ซุกหัวนอนโดยไม่ใส่ใจแม่กุญแจขึ้นสนิมที่ห้อยต่องแต่งอยู่ตรงรั้วเหล็ก ผมหันหลังมองบ้าน มองปฏิทินซีดจางที่แขวนอยู่ตรงเสาก่อนจะตัดใจเดินด้วยความมุ่งมั่น ทิ้งซากไม้สองชั้นที่มีแต่ความทรงจำไว้เบื้องหลัง ไม่จำเป็นต้องอาลัยอาวรณ์มันอีกต่อไป

     

    แต่งตัวเสียหล่อ จะไปไหนวะไอ้ก้อง?

     

    ลุงชัย วินมอเตอร์ไซค์หน้าปากซอยถามเมื่อเห็นผมเดินผ่าน

     

    เดินห้างครับ

    ตอนแปดโมงเนี่ยนะ?

    ครับ

     

    ผมยกมือไหว้บอกลาลุงชัยด้วยความว่างเปล่าและไม่ทิ้งคำสั่งเสียให้มีพิรุธแม้เราจะรู้จักกันตั้งแต่ผมยังเป็นเด็กกะโปกแก้ผ้าวิ่งในซอยก็เถอะ ผมทำแค่อวยพรขอให้ลุงโชคดี มีลูกค้าเยอะๆ ถูกหวยเร็วๆจะได้เป็นเศรษฐีหน้าใหม่ในยุคข้าวยากหมากแพงแบบนี้เสียที

     

    รีบไปรีบมาแล้วอย่าแอบใช้แกร๊บไบค์ล่ะ

    ครับ

     

    ผมหันหลังให้กับซอยที่อาศัยอยู่มาสิบกว่าปี เดินตรงดิ่งไปป้ายรถเมล์มุ่งหน้าสู่ชานชาลาสุดท้ายของชีวิต หมู่บ้านที่จากมาพยายามยุดยื้อด้วยความทรงจำเก่าๆแต่ไร้ประโยชน์ ผมตั้งใจจะไปแล้ว ไม่มีอะไรหยุดผมได้หรอก

     

    เพราะฉะนั้น -- ผมควรจะเอ่ยคำลาซักหน่อย

     

    ลาก่อนครับป้าเพ็ญเลิกขี้เหนียวแล้วหัดทำบุญทำทานบ้าง

    ลาก่อนครับลุงชื่นขอบคุณที่ทอดไก่ให้ผมกินเสมอ

    ลาก่อนครับพี่ลีขอให้กิจการเบเกอรี่ขายดิบขายดียิ่งกว่าเทข้าวให้หมากินนะครับ

    ลาก่อนข้าวฟ่างโตมาอย่าแรดเหมือนแม่ ตั้งใจเรียนหนังสือหนังหาจะได้ไม่เป็นแบบพี่

     

    ที่สำคัญเลย --

    ลาก่อนไอ้แดง ไอ้หมาเวรที่ชอบหอนตอนตีสองแบบไม่มีเหตุผลไอ้เนรคุณ ขนาดผมจะตายวันนี้มันยังไม่มีกะจิตกะใจเดินมาส่งนอกจากนอนอืดใต้ท้องรถลุงชื่นอย่างสบายอารมณ์แต่ช่างเถอะ อย่าเสียเวลาคิดถึงเลย ผมต้องออกเดินทางแล้ว

     

    ลาก่อนทุกคน

    ลาก่อนครับ

     

    ผมไปแล้วนะ

    ถ้าชาติหน้ามีจริง -- เราอย่าเจอกันอีกเลยครับผมอยากเกิดเป็นคนรวย

     

     


     

     

    แผนของผมคือเที่ยวไปเรื่อยใช้เงินก้อนสุดท้ายให้หมด แล้วปิดทริปด้วยการมุ่งหน้าไปสะพาน วันนี้ผมมีเวลาทั้งวันเพื่อบอกลากรุงเทพที่อยู่มาเกือบตลอดชีวิต ผมควรรู้สึกดีขึ้นเมื่อได้ออกมาสูดอากาศข้างนอกแต่เปล่าเลย ทุกอย่างราบนิ่งราวกับความมุ่งมั่นตั้งใจจะตายมีมากจนไม่เหลือที่ว่างให้ความสุขเข้ามามีส่วนร่วม

     

    เดี๋ยวก็ตายแล้วนี่

    จะวอกแวกทำไมอยู่ต่อไปอีกหนึ่งวันก็ต้องทรมานเพิ่มขึ้นอีกยี่สิบสี่ชั่วโมง

     

    ผมนั่งรถเมล์อย่างไร้จุดหมาย ถึงตอนเที่ยงก็แวะห้างกินข้าวซักหน่อย วันนี้คือวันเปิดเทอมของมหาลัย มีนิสิตใส่เครื่องแบบมาเดินห้างบ้างประปราย ความผิดหวังที่เคยฝังกลบถูกขุดขึ้นมาจนอยากร้องไห้ ผมหยิบโค้กขึ้นมาดูดจนหมดแก้ว ทิ้งจานข้าวขาหมูไว้บนโต๊ะแล้วเดินจากไปโดยวางเงินเอาไว้ยี่สิบบาทเป็นทิปให้ป้าพนักงานเก็บจาน

     

     

     

     

    สิบห้าชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในที่สุดผมก็พาตัวเองมาถึงชานชาลาสุดท้ายในสภาพชุ่มเหงื่อ  ห้าทุ่มกว่าแล้วแต่บนสะพานไม่ได้เงียบเลย รถยนต์ยังคงวิ่งสวนกันตลอดทั้งสองเลน มีผู้คนเดินออกกำลังกายอยู่ริมขอบสะพาน มีคู่รักหนุ่มสาวยืนกอดคอกันถ่ายรูปกะหนุงกะหนิง สั้นๆคือมันไม่ได้ร้างคนแบบที่คิด และนั่นหมายความว่าผมจะยังฆ่าตัวตายตอนนี้ไม่ได้เพราะพวกเขาจะเข้ามาห้ามและกระชากผมลงจากราวสะพานแน่ๆ

     

    มองไปมองมาสะพานนี่ก็สวยแบบพิลึก เส้นสลิงที่ยึดสะพานดูเหมือนกู่เจิง เครื่องดนตรีจีนที่เคยเห็นในทีวี ผมมองท้องฟ้ามองแม่น้ำที่จะโอบกอดร่างขี้แพ้เบื้องล่าง มองรถที่วิ่งสวนไปมาด้วยความรู้สึกว่างเปล่า ผมอยากบอกตัวให้คิดดูอีกทีแต่ก็มั่นใจแล้วว่าวันนี้ต้องตายให้ได้ ผมทรมานมานานเกินไปแล้ว วันนี้ทุกอย่างต้องจบ ผมจะถ่วงความเศร้าและความผิดหวังลงในแม่น้ำเจ้าพระยา ให้มันจบไปพร้อมกันแบบเด็ดขาด เราจะได้หมดเวรหมดกรรมเสียที

     

    ผมรออีกครู่ใหญ่ นาฬิกาบอกเวลาว่าเที่ยงคืนห้านาที

    เอาล่ะ -- ไม่ค่อยมีคนแล้ว

     

    ผมจับราวสะพานก่อนจะก้มมองข้างล่าง แม่น้ำเจ้าพระยาเป็นสีดำสนิทเหมือนท้องฟ้า กลางคืนทุกอย่างกลายเป็นสีดำราวกับต้องการไว้อาลัยให้แก่การจากไปของเศษขยะในจักรวาลอย่างผม ขอบคุณนะ ขอบใจนะ แต่ไม่ต้องมืดขนาดนี้ก็ได้ ทำใจกระโดดลำบากชะมัด

     

    ผมกัดริมฝีปาก สูดเอาควันพิษบนถนนเข้าลึกๆจนเต็มปอดแล้วถอดรองเท้า กระเป๋าสตางค์ที่มีบัตรประชาชนและข้อมูลระบุตัวตนว่าผมคือใครถูกวางไว้ข้างกัน อย่างน้อยตอนเช้าจะต้องมีคนเห็นรองเท้ากับกระเป๋า แล้วพวกเขาจะรู้ว่ามีเด็กหนุ่มขี้แพ้คนหนึ่งกระโดดลงไป เด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดที่มีแค่บัตรนักเรียนแต่ไม่มีบัตรนักศึกษา ดังนั้นวุฒิการศึกษาสุดท้ายในชีวิตเฮงซวยของเขาคือระดับมัธยมปลาย ไปไม่ถึงปริญญาตรี

     

    หลังจากนั้นจะมีรายงานข่าวเกี่ยวกับชีวิตของผม บางทีพี่น้องไบรท์อาจจะอ่านมันด้วยน้ำเสียงเศร้าๆเพื่อเป็นการแสดงความเสียใจ ทีนี้เพื่อนบ้านก็จะรู้ว่าผมตายแล้ว พวกเขาจะบุกเข้ามาในบ้าน รื้อเอาเสื้อผ้าเตรียมแต่งตัวใหม่ให้ผมที่หลับพักผ่อนในโลงไม้อัด ลุงชัยต้องร้องไห้แน่ๆ แต่ไอ้แดงจะไม่รับรู้อะไร มันจะวิ่งเตาะแตะอย่างร่าเริงไปที่วัดเพื่อกินข้าวในงานศพของผมโดยไม่แม้แต่ชายตามองรูปหน้าศพด้วยซ้ำ

     

    ไอ้หมาเวร

    ขอด่ามันอีกครั้งก่อนตายเถอะ

     

    ผมวางจดหมายลาตายเอาไว้ใต้รองเท้า เนื้อหาในนั้นไม่มีอะไรมากนอกจากแจ้งความประสงค์ครั้งสุดท้าย ของสะสมทุกชิ้นทั้งหนังสือเรียนและหนังสือการ์ตูนจะเป็นของข้าวฟ่าง เครื่องครัวปรุๆสภาพแย่เป็นของพี่ลี ตู้เย็นเป็นของลุงชัยแกจะได้มีน้ำเย็นๆตอนพักเที่ยง ลุงชื่นได้บ้านไป ลุงจะทำอะไรก็ได้ ตามใจ ผมไม่ถือ ส่วนป้าเพ็ญไม่ได้อะไรเลย ไม่พูดถึงในจดหมายแต่ละเอาไว้เป็นเชิงรู้กัน ผมลงท้ายว่าขอบคุณสำหรับทุกอย่าง ผมเหนื่อยมามากแล้ว  ขอบคุณครับ ลาก่อนครับ ก้องเอง

     

    นาฬิกาบอกเวลาว่าเที่ยงคืนแปดนาที

     

    ผมปีนขึ้นไปนั่งบนสะพาน แต่ราวจับของมันแคบมากจนไม่สามารถนั่งได้เต็มก้น ผมก็เลยต้องนั่งคร่อมอย่างเก้ๆกังๆ แล้วก็พลิกตัวไปประจัญหน้ากับความตายไม่ได้เพราะติดขาผมตัวสูงเกินไป แขนขาก็ยาวเก้งก้างจนเป็นภาระแม้กระทั่งตอนจะฆ่าตัวตาย ดังนั้นผมจึงนั่งคร่อมราวจับอยู่แบบนั้นอีกสองสามนาที ถอนหายใจให้กับความผิดเพี้ยนไปหมดของชีวิตก่อนจะก้มมองข้างล่าง

     

    สูงชิบหาย

    แต่มาถึงขนาดนี้แล้ว จะกลัวอะไร

     

    สิบเจ็ดปีที่ผ่านมามันคุ้มค่าแล้ว คิดเอาเองว่าคุ้มค่า จู่ๆวูบหนึ่งผมก็คิดถึงโลกหลังความตาย ถ้าผมกระโดดไปตอนนี้ อีกสิบนาทีข้างหน้าผมจะเจอใครไหม ผมจะกลายเป็นวิญญาณเร่ร่อน จะแหลกสลายไปตามกฎของธรรมชาติ หรือลืมตาอีกทีก็เจอยมบาลในนรก เวรเอ๊ย ไม่น่าคิดเลย พอคิดว่าต้องตกนรก เหงื่อก็ท่วมตัวเหมือนคนขี้ขลาดเสียอย่างนั้น

     

    ในจังหวะที่กำลังทำสมาธิเตรียมบอกลาโลกนี้เพื่อพักผ่อนตลอดไปในโลกหน้า ผมได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์จอดอยู่ข้างหลัง ผมอยากหันไปมองแต่เพราะท่านั่งคร่อมราวเหล็กนี่ทำให้องศาการเอี้ยวตัวไม่ง่ายเหมือนที่คิด ผมใช้หลังมือเช็ดเหงื่อเมื่อได้ยินเสียงรองเท้าหนังกระทบพื้นกึกกักเดินเข้ามาใกล้ ใครวะ ผมสงสัย ใครมันจะเข้ามาขัดขวางอีก

     

    น้องทำกระเป๋าตังค์หล่น

     

    เสียงของผู้ชายดังขึ้น ผมยังไม่เห็นหน้าเขา จนกระทั่งเขาเดินมาข้างๆแล้วส่งกระเป๋าสตางค์มาให้

     

    ไม่ได้ทำหล่นครับผมตอบส่งๆ นั่งตัวเกร็งบนราวเหล็กเพราะต้องเงยหน้าคุยกับคนเพี้ยนที่เดินมาชวนคุยไม่ดูเวล่ำเวลา

    จะฆ่าตัวตายเหรอ?

    ครับ

     

    ผมพยักหน้า นั่งคร่อมราวสะพานขนาดนี้ดูเหมือนคนตกปลามากมั้ง

     

    อายุเท่าไหร่ล่ะ?

    สิบเจ็ดครับ

    โห เพิ่งสิบเจ็ดเอง ทำไมรีบจังวะ

     

    ชายตรงหน้าบ่นก่อนจะปีนราวสะพานขึ้นมานั่งข้างๆผมร้อง เฮ้ย!” ออกมาเมื่อเรานั่งประจันหน้ากัน เขาดูเหมือนพนักงานธนาคารที่แต่งตัวเนิร์ดๆ เสื้อเชิ้ตสีขาวเข้ารูปกับเนกไทสีแดงมีบัตรพนักงานห้อยอยู่ที่คอแต่ไม่รู้ว่าบริษัทอะไร เขาเป็นผู้ชายสูงประมาณร้อยเก้าสิบเซน ถามว่ารู้ได้ไงเหรอ? เพราะเขาเพิ่งบ่นว่าตัวเองสูงเกินไป แขนขาก็เลยเกะกะจนนั่งไม่สะดวก

     

    พี่นั่งแบบนี้ทำไม?อยากตกลงไปเหรอ?

    เอ้า แล้วเราไม่กลัวเหรอ?

    ไม่ เพราะผมคิดดีแล้ว

    ทำไม? มันหนักขนาดนั้นเลยเหรอ?

     

    เออ หนักชิบหาย

     

    ผมอยากพูดแบบนั้นนะ แต่เพราะเราน่าจะอายุห่างกันหลายปีก็เลยพยายามคุยกับเขาด้วยภาษาสุภาพ ชายแปลกหน้านั่งแกว่งขาจนผมเสียวสันหลังกลัวเขาจะเป็นฝ่ายตกลงไปแทน เขาไม่ได้แนะนำตัวว่าชื่ออะไร มายุ่งอะไร แล้วปีนมานั่งตรงนี้ทำไม เขาเอาแต่ถามผมจนเหมือนรายการสัมภาษณ์ดาราที่ต้องคอยตอบเรื่องส่วนตัวเสียอย่างนั้น

     

    ชื่ออะไรน่ะเรา?

    ก้องครับ

    หวัดดีก้องเขายิ้มกว้างแล้วโบกมือ ก้องว่าสิบเจ็ดปีที่ผ่านมาใช้ชีวิตคุ้มแล้วเหรอ?

    คุ้มแล้วครับ

    แน่ใจ๋?

    ครับ

     

    จะเสือกอะไรนักหนาวะ

     

    ผมรู้ว่าพี่จะพูดอะไร แต่พี่อย่าห้ามเลยผมเหนื่อย ผมอยากไปแล้ว

    ไม่ได้ห้ามนี่ อยากโดดก็โดดเลย เขายักไหล่เหมือนไม่ใส่ใจ แต่ผมจะโดดได้ยังไงในเมื่อเขานั่งคร่อมสะพานหันหน้ามาจ้องตาแบบนี้ถ้าคิดว่าสิบเจ็ดปีที่ผ่านมามันส้นตีนนักก็เอาเลย

    พี่หลบไปก่อนได้ไหมครับขอผมโดดน้ำก่อน ไม่งั้นคืนนี้นอนไม่หลับ ผมนอนไม่หลับมาเป็นเดือนแล้ว

    เคยไปหาหมอยัง?

    ไม่เคยครับผมตอบ พูดอย่างกับทุกคนมีเงินนักแหละ

    เดี๋ยวพี่พาไป หมอมียานอนหลับ ดีกว่าโดดน้ำเป็นไหนๆเขาตบไหล่ผมเบาๆ ไอ้บ้าเอ๊ยแรงตบเกือบทำผมหล่นลงไปอยู่แล้ว รู้จักสตาร์บัคส์ไหม? เขายังชวนคุยในขณะที่ผมเหงื่อแตกพลั่ก อยากนั่งนิ่งๆไม่อยากขยับปากพูดเพราะกลัวหล่นลงไป

    รู้จักครับ กาแฟนางเงือก

    ช่าย เคยกินไหม?

    เคยกินแต่สตาร์บังครับ

     

    ผมตอบตามจริง เขาหัวเราะจนตาหยีเป็นเส้นตรงก่อนจะถามต่อว่าอร่อยไหม

     

    ก็กินได้ครับ หวานดี

    เออ ช่วงนี้สตาร์บัคส์มีโปรโมชั่นหนึ่งแถมหนึ่งด้วย

    ครับ

    อยากกินหรือเปล่า?

    ไม่มีเงินครับผมตอบ ภาวนาให้เขาจบบทสนทนาเสียที แม่น้ำเจ้าพระยารอเก้อแล้ว

    กินไหม? เดี๋ยวพี่เลี้ยงเอง

    ไม่เป็นไรครับ

    ถือว่าเป็นของขวัญก่อนตายไง เขาพูดด้วยสีหน้ายิ้มๆไม่พยายามรั้งให้ผมลงจากสะพานด้วยคำพูดกลวงๆอย่าง ชีวิตน้องมีค่าคนอื่นลำบากกว่าตั้งเยอะดูสิ เลยซักนิด

    แต่ผมกำลังจะฆ่าตัวตาย

    ไม่ใช่วันนี้

     

    เขาบอกด้วยสีหน้าจริงจังที่ผมมีโอกาสได้เห็นไม่กี่วินาทีเพราะเขาเปลี่ยนมายิ้มเหมือนเดิม

     

    ไม่ใช่วันนี้ ไปเหอะไปกินสตาร์บัคส์กัน พี่เลี้ยงเอง

     

    เขาเสนอก่อนจะพยายามยกขากลับไปวางบนพื้น แต่พอเห็นผมลังเลไม่ยอมลงจากราว เขาก็ดื้อด้านนั่งต่อเหมือนเดิม

     

    ไหนบอกว่าใช้ชีวิตคุ้มแล้วไง?”

    ใช่ครับ

    นั่นเรียกว่าคุ้มเหรอ? สตาร์บัคส์ยังไม่เคยกินเลย ลองกินกาแฟแก้วละร้อยดูซักครั้งสิ เอาไปเทียบกับสตาร์บังแล้วค่อยตาย จะได้บอกเทวดาว่าอันไหนอร่อยกว่ากัน

    พี่คิดว่าผมจะได้เจอเทวดาจริงๆเหรอ?

    พูดไปงั้น ถ้าบอกว่ายมบาลเราก็ใจเสียอีกสิ เขาหัวเราะ ว่าไง? ตกลงจะกินหรือเปล่า? พี่ซื้อให้กินเลยพรุ่งนี้ แล้วค่อยคิดอีกทีว่าจะตายหรือไม่ตาย

     

    ผมครุ่นคิดลังเลเพราะจู่ๆก็อยากลองกินสตาร์บัคส์ตามคำยั่วยุของเขา แต่ผมเป็นคนตัดสินใจเร็ว ดังนั้นเมื่อคิดว่าอยากลองกินเพื่อเปรียบเทียบกับสตาร์บังซักครั้ง ผมจึงค่อยๆปีนลงจากสะพานแล้วสวมรองเท้าราวกับไม่เคยคิดอยากฆ่าตัวตายมาก่อน

     

    ง่ายแบบนี้เลยเหรอ?

    ครับ

    เออดี พี่ชอบคนว่าง่าย

     

    เขายิ้มกว้างแล้วพยายามลงจากราวอย่างเก้ๆกังๆ เกือบหงายหลังตกลงไปแต่โชคดีที่ผมดึงแขนเขาไว้ได้ทันเราก็เลยกลับมายืนบนพื้นอย่างปลอดภัยอีกครั้ง

     

    ขาผมสั่น

    สั่นเหมือนลูกนกที่เพิ่งฟักออกจากไข่

     

    ไม่เหตุผลเลยที่จู่ๆก็รู้สึกแบบนี้ ความตายอยู่ใกล้แค่เอื้อมแต่ผมกลับปฏิเสธมัน ไม่ใช่วันนี้ ผมคิดเพราะพรุ่งนี้ผมต้องมีชีวิตอยู่เพื่อกินสตาร์บัคส์ตามคำเสนอของเขา แม้จะยังงุนงงว่าทำไมมนุษย์เงินเดือนคนนี้ต้องควักเงินเป็นร้อยเพื่อเลี้ยงคนแปลกหน้า แต่สุดท้ายผมก็เดินตามเขา ขึ้นซ้อนมอเตอร์ไซค์ของเขาอย่างว่าง่ายเหมือนลูกหมาที่ถูกเก็บจากวัด

     

    ตอนนี้พี่คงพาไปไม่ได้นะห้างปิดหมดแล้ว

    อ้าวผมเปล่งเสียงเตรียมตัวจะลงจากรถแต่เขาก็รีบเอื้อมตัวมาจับข้อมือไว้อย่างรวดเร็ว

    พี่บอกว่าจะเลี้ยงพรุ่งนี้ไงรอห้างเปิดไม่ได้เหรอ?

    ได้ครับผมตอบรู้สึกเซ็งแปลกๆที่วันนี้ต้องกลับไปนอนบ้าน

    งั้นขึ้นรถ

    พี่จะพาผมไปไหนครับ?

    ไปส่งที่บ้านไงเขาถอนหายใจเมื่อผมดูอ๊องๆงงๆ ขึ้นมาเร็วเก็บของมาครบหรือยัง?

    ครบครับ

    กระเป๋าสตางค์ล่ะ?

    อยู่นี่ครับผมชูมันขึ้นมา เขาพยักหน้ารับแล้วตบเบาะสกู๊ปปี้ ไอสีฟ้าเบาๆ บ้านผมอยู่ไกลนะ”

    เออน่า มาเหอะ

     

    ผมคงบ้าไปแล้วแน่ๆที่ซ้อนมอเตอร์ไซค์คนแปลกหน้ากลับบ้าน แต่ที่บ้ากว่าคือการให้สัญญากับเขาว่าพรุ่งนี้เราจะออกไปซื้อสตาร์บัคส์ด้วยกัน ผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาคือใคร ชื่ออะไร อายุเท่าไหร่ และทำแบบนี้ไปทำไมแต่ช่างเถอะ สุดท้ายความเป็นคนเรื่อยๆสบายๆของเขาก็ทำให้ผมปล่อยตัวเองช่วงหนึ่ง

     

    ผมหยุดคิดฟุ้งซ่านและนึกถึงแค่สตาร์บัคส์ตามที่เขาบอก หลังจากนั้นทุกอย่างก็กลับสู่ภาวะปกติ ผมไม่อยากตายแล้ว ตอนนี้ผมอยากกลับบ้าน อยากนอนบนฟูกอุ่นๆ อยากหลับซักงีบอยาก ลองชิมสตาร์บัคส์ซักครั้งก่อนคิดเรื่องฆ่าตัวตายวันหลัง พี่แปลกหน้าขับรถมาส่งผมถึงบ้านตามที่สัญญาไว้ เขาดับเครื่องแล้วถอดหมวกกันน็อคก่อนจะเงยหน้ามองบ้านของผมด้วยแววตาสงสัยใคร่รู้

     

    อยู่กับใครเนี่ย?

    คนเดียวครับ

    พ่อแม่ล่ะ

    แม่ตาย พ่อมีเมียใหม่ครับ

     

    ผมพูดเรียบๆ ไม่ยินดียินร้ายไม่แสดงออกว่าเสียอกเสียใจกับชะตากรรมชีวิตตัวเอง พี่แปลกหน้าปิดปากเงียบเมื่อรู้ความจริง ผมยกมือไหว้ขอบคุณตามมารยาทและเตรียมเดินเข้าบ้านแต่เขาไม่ให้ผมไป

     

    ก้อง

    ครับ?

    เมื่อตอนเย็นกินข้าวยัง?

    กินแล้วครับผมตอบ พี่ -- ผมยังไม่ได้ถามชื่อพี่เลยพี่ชื่ออะไรครับ?

    อู๋เขาแนะนำตัวเองก่อนจะเกาแก้ม ดูเขินๆ พี่ชื่ออู๋นะ

    ขอบคุณครับพี่อู๋

     

    ผมยกมือไหว้อีกครั้งเตรียมจะเข้าบ้าน แล้วเขาก็เรียกอีก เรียกมันอยู่นั่นแหละ รำคาญจริงๆ

     

    ก้อง พรุ่งนี้พี่พูดว่ายังไง?

    พี่บอกว่าจะมารับผมไปกินสตาร์บัคส์

    ใช่ เพราะฉะนั้นเอาเบอร์มือถือมาพี่จะโทรตามเรา

     

    ผมส่งโทรศัพท์ของตัวเองให้พี่อู๋เขาก้มหน้ากดมันยิกๆก่อนจะส่งคืน

     

    [น้องก้อง]

     

    เขาให้ผมดูหน้าจอว่าเมมเบอร์ไว้ว่าอะไร

     

    พรุ่งนี้ต้องอยู่บ้านนะ

    ครับ

    พี่ทำงานเลิกบ่ายสอง เดี๋ยวพี่มารับ

    ขอบคุณครับ

     

    ผมตอบแล้วมองหน้าเขาพี่อู๋ดูมีเรื่องอยากพูดแต่ไม่พูด ผมก็เลยหมุนตัวเดินเข้าบ้านไป แล้วเขาก็เรียกอีก

     

    ก้อง

    ครับ?!”

    นอนหลับฝันดีนะ

     

    ผมอึ้ง ทำตัวไม่ถูกได้แต่ยืนทื่อเป็นหินก่อนจะพยักหน้ารับแกนๆ

     

    ครับ

     

    แล้วก็เดินเข้าบ้านไป

     

    ผมแสร้งปิดประตู แสร้งทำเสียงก็อกแก๊กลงกลอนแต่จริงๆแอบอยู่หลังบานไม้ ผมรอจนกระทั่งเสียงมอเตอร์ไซค์ขับออกไปจึงเดินกลับไปหน้าบ้าน ชะเง้อมองแผ่นหลังของพี่อู๋ด้วยความไม่เข้าใจว่าเขาทำแบบนี้ทำไม

     

    ผมกำลังจะฆ่าตัวตายแท้ๆ

    แต่ก็เปลี่ยนใจเพราะอยากกินสตาร์บัคส์

     

    ไอ้ตะกละเอ๊ย

     

    ผมหัวเราะขำตัวเองก่อนจะต้องชะงักเมื่อเห็นสายตาเขียนปั๊ดของลุงชัยที่กำลังยืนแปรงฟันอยู่บนระเบียงชั้นสอง ผมยกมือไหว้แต่แกไม่รับ แกมองอย่างไม่พอใจก่อนจะมุบมิบทำปากจับใจความได้ว่า --

     

    บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าเรียกแกร๊บไอ้เด็กบ้า

     

    เวรกรรม

    พรุ่งนี้ก่อนไปกินสตาร์บัคส์แล้ววางแผนฆ่าตัวตายผมคงต้องอธิบายให้ลุงชัยเข้าใจก่อนว่าพี่อู๋ไม่ใช่แกร๊บไบค์ เฮ้อ




Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in