เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
all about music and stuffeurdyce
Hyukoh Live in Bangkok 2017
  • "So..."

    จนถึงตอนนี้เรายังไม่อยากเชื่อเลยว่าตัวเองได้ฟังวงโปรดเล่นสดจริงๆ ตื่นมาทุกเช้าแล้วเหมือนฝัน เนี่ยพอ realize ว่าทุกอย่างมันเกิดขึ้นจริงก็หุบยิ้มไม่ได้เลย สามสี่วันมานี้ก็เอาแต่ฟังเพลงเขา แค่นั่งมองรูปกากๆ ที่ถ่ายไว้ในมือถือก็รู้สึกอารมณ์ดี เปิดดูคลิปช่วงเม้นท์ที่อัดไว้ก็นั่งหัวเราะคนเดียวเหมือนเป็นบ้า จนตอนนี้เชื่อแล้วว่าบางครั้งความสุขระยะยาวมันก็มาในรูปแบบของการได้พบปะกันเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงอ่ะ เพราะตั้งแต่วันเสาร์จนถึงตอนนี้ยังหยุดคิดถึงเขาไม่ได้เลย 





    ไม่รู้จะเริ่มต้นตรงไหนก่อนดี มีอะไรอยากเล่าเยอะแยะ เอาจริงก็อยากเล่าตั้งแต่ที่จองบัตรรอบ early bird ได้ 300 คนแรกเลย (แหม ขี้อวด) เพราะตั้งแต่เริ่มต้นปี 2017 มานี่เป็นหนึ่งในไม่กี่เรื่องที่ทำให้รู้สึกภูมิใจในตัวเองมากๆ เว่อมะ 555 แต่ก็นั่นแหละ เกิดมาเราก็เพิ่งเคยกดบัตรคอนเสิร์ตที่อยากไปจริงๆ ได้เองครั้งนี้ครั้งแรกเลย


    มาพูดถึงเรื่องคอนเสิร์ตเลยดีกว่า ขอตัดภาพไปตอนที่เข้าไปอยู่ในฮอลล์เลยละกัน เรายืนอยู่แถวกลางๆ ระยะห่างจากสเตจถือว่าไม่ใกล้หรือไกล แต่ไม่ได้พอใจกับตำแหน่งที่ตัวเองยืนเท่าไหร่เพราะพอยืนจริงๆ ก็เหมือนเป็นฮ็อบบิทที่ยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มเอลฟ์ แฮ่ ล้อเล่น จริงๆ ก็ไม่ได้เตี้ยขนาดนั้นแต่ก็ struggle กับดูคอนเสิร์ตพอสมควรเพราะคนข้างหน้าตัวสูงมาก แต่ก็ไม่มายด์เท่าไหร่เพราะก็ตั้งใจมาฟังเพลงจริงๆ พอวงเปิด gym and swim เล่นจบก็รู้สึกว่าพอหอมปากหอมคอ เอาจริงตั้งแต่เดินเข้ามาในคอนเสิร์ตก็ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นเลยจนกระทั่งรู้ว่าอีกไม่ถึง 5 นาทีก็จะได้เจอฮยอกโอแล้ว 


    ภาพแรกที่เราเห็นคือสมาชิกในวงเดินขึ้นมาบนสเตจในชุดสูทโอเวอร์ไซส์สีแดงแสนเท่เพื่อไปเซ็ทเครื่องดนตรีกันเองตามปกติ ซึ่งถ้าเทียบกับคอนเสิร์ตที่ผ่านๆ มาของเราก็ถือว่าเป็นการเปิดตัวที่ต่างกันพอสมควร แต่ชอบนะ เรียบง่าย ไม่หวือหวา เหมือนตั้งใจมาเล่นให้ฟังจริงๆ และถึงจะไม่ได้เปิดตัวเว่อวังแต่เสียงกรี๊ดจากคนดูก็ไม่ใช่เล่นๆ เลย แบบหูย อปป้าเว่อ ส่วนเราก็ยืนขำอยู่ตรงนั้นเพราะเอาจริงก็ไม่ได้ต่างจากตอนดูคอนเสิร์ต boyband เท่าไหร่ จนตอนนั้นนึกในใจว่าต่อไปจะไม่เรียกพี่แล้ว จะเปลี่ยนไปเรียกอปป้าแทน และถ้าถามว่าหล่อแค่ไหนก็คงต้องบอกว่าแบบนี้ค่ะ หล่อจนมือไม้สั่น 55555 


    2

    ไม่นานอินโทร comes and goes ที่เราคุ้นหูกันดีก็ดังขึ้นมา ตอนนั้นเรายิ้มแบบอดไม่ได้จริงๆ เพราะถือว่าเลือกใช้เพลงเปิดคอนเสิร์ตได้ดีทีเดียว จากนั้นก็ต่อด้วย tokyo inn หนึ่งในเพลงโปรดมากๆ จากอัลบั้มล่าสุด แล้วขยี้ต่อด้วย leather jacket  สักพักฟรอนท์แมนของเราก็หยิบโพยสีเหลืองๆ ขึ้นมาอ่านแบบเก้ๆ กังๆ  แนะนำตัวด้วยคำว่า "สวัสดีครับ" แบบสุดความพยายาม เรียกเสียงกรี๊ดจากคนดูได้ทั้งฮอลล์ ส่วนนี่ก็ยืนกลั้นขำเพราะที่ได้ยินคือใช้ควบคล้ำรอเรือชัดมากจนอดเอ็นดูไม่ได้จริงๆ รู้เลยว่าทำการบ้านมาดี พอทักทายจบก็ต้องหลุดยิ้มให้กับซาวด์กวนๆ ของ panda bear เป็นเพลงที่ไม่คิดว่าจะได้ฟังในคอนเสิร์ตครั้งนี้แฮะ รักมาก ไอ้ความ “i never thought you were such a traitor.” เนี่ย ฟังทีไรก็รู้สึก relate เหมือนเขียนเพลงขึ้นจากสิ่งที่อยู่ในหัวตัวเอง จากนั้นก็ต่อด้วยเพลง 2002worldcup ก่อนจะปิดท้ายเซ็ทแรกด้วยซาวด์คันทรี่จ๋าๆ อย่าง wonderful barn แล้วตามด้วยคำว่า “ขอบคุณครับ” ซึ่งก็ยังคงคอนเซปท์ควบคล้ำรอเรือได้ชัดถ้อยชัดคำเหมือนเดิม 555 เออ เราว่าวงตั้งใจเซ็ทลิสต์นี้มาให้ได้ขยับแข้งขาอ่ะเพราะเหมือนจะไม่ปล่อยให้คนดูได้ยืนนิ่งๆ ได้เลย แบบเออ "ก็อยากเล่นให้ฟังอ่ะ จะทำไม" ก็หนำใจดี 


    3

    จบเม้นท์สั้นๆ ไปอีกรอบอินโทร wanli ก็ดังขึ้นมา ตอนนั้นทั้งแสงและซาวด์มันมีสเน่ห์มากๆ แบบนึกภาพออกป่ะ บรรยากาศที่คลุ้งไปด้วยแสงสีแดงและซาวด์ฝีเท้าม้าควบอ่ะ โอโห เท่เป็นบ้า อีกอย่างท่อน ‘เอ๊ เอ๊ เอ๊ เอ๊’ ที่ทุกคนพร้อมใจกันร้องนี่มันแบบสุดมากกกกก มากจนเรารู้สึกว่าเพลงนี้แหละที่ทำให้คนดูเริ่มกลายเป็นส่วนหนึ่งของคอนเสิร์ตนี้จริงๆ จากนั้นต่อด้วย masitnonsoul ซึ่งเป็นอีกเพลงที่เราไม่คิดว่าจะได้ฟังในคอนเสิร์ตนี้เหมือนกัน (เพราะเป็นเพลงประกอบซีรีส์) พอได้ยินเลยตื่นเต้นมาก อยากกรี๊ดเป็นภาษาเกาหลีมันตรงนั้น หลังจากเล่นเพลงหนักๆ ไปก็ค่อยๆ ลดเลเวลลงมาที่เพลงจังหวะเท่ๆ อย่าง jesus lived in a motel room เพลงโปรดอีกแล้ว ฮื้อออ หัวใจงี้เต้นตามบีทเลย ชอบมาก ความรู้สึกตอนฟังสดมันดีเกินจะบรรยายจริงๆ 


    4

    มาถึงช่วงที่รู้สึกเหมือนโดนร่ายมนต์สะกดและดำดิ่งลงลึกไร้ที่สิ้นสุด

    วงเริ่มดนตรีด้วยจังหวะเนิบๆ ช้าๆ อารมณ์ตอนนั้นเหมือนเรากำลังนั่งเล่นอยู่ริมทะเลและสายตากำลังหยุดอยู่ที่สุดขอบฟ้าพอดี ถึงท่อน "across another river, reached the ocean just before sunset..." แล้วรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังวิ่งไล่ตามบางอย่าง โหยหา เคว้งคว้าง และถูกปลอบโยนในเวลาเดียวกัน เราชอบความรู้สึกที่วงตั้งใจส่งผ่านมาทางเสียงดนตรีนะ ฟังแล้วล่องลอยแต่กลับรู้สึกว่ามันจับต้องได้จริงๆ ซึ่งตอนนี้เราหลงรัก mer เวอร์ชั่นนี้แบบเต็มหัวใจเลย 

    ต่อด้วยเพลงโปรดที่รักที่สุดของเรา gondry แค่ขึ้นดนตรีมาก็เหมือนรอบตัวหยุดนิ่ง มวลความสุขอบอวลไปทั่วฮอลล์ ยิ่งตอนได้ยินเสียงฮัมเบาๆ ของโอฮยอกเราทำอะไรไม่ได้เลยนอกจาก "โห" กับตัวเองเบาๆ อย่างอดไม่ได้ (ที่แปลกก็คือเราแอบได้ยินคนข้างๆ ส่งเสียงกับตัวเองแบบเดียวกัน) เหมือนเป็นช่วงเวลาที่ให้ต่างคนต่างซัมซับและชื่นชมสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอ่ะ พอถึงท่อน “sitting on the sunshine…” จังหวะนั้นสายตาเราไปโฟกัสกับโอฮยอกพอดี ภาพที่เราเห็นคือเขาเงยหน้าขึ้นมามองแฟนๆ ที่กำลังร้องเพลงคลอไปพร้อมๆ กัน เป็นสายตาของคนที่เหมือนกำลัง appreciate บางอย่าง บางอย่างที่มีความหมายมากๆ จนอดสงสัยไม่ได้ว่าอาจจะเป็นสายตาแบบเดียวกันที่เราใช้มองเขาตอนแสดง อาจจะเพราะตลอดชั่วโมงที่ใช้เวลาอยู่ในคอนเสิร์ตสิ่งที่เราสังเกตได้คือทุกครั้งที่กำลังแสดงเขาจะจ่อจดอยู่กับสิ่งที่ทำมากกว่าเงยหน้าขึ้นมาสบตาแฟนๆ มั้ง พอเห็นเขากวาดสายตามองแฟนเพลงแบบนั้นก็เลยรู้สึกว่าเป็นอะไรที่พิเศษดีจัง ถึงจะไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไรก็ตาม

    มาถึงเพลงโปรดทั้งของเราและของโอฮยอกที่เจ้าตัวเป็นคนบอกเองว่าเพลงนี้คือ “the best of 23” ในใจตอนนั้นเรานึกถึงสองเพลงในอัลบั้ม และหนึ่งในสองช้อยส์นั้นคือ tomboy ซึ่งเป็นตัวเลือกที่ถูก ครั้งแรกที่ฟังเพลงนี้เราดีใจมากๆๆ เพราะหลังจาก a little girl ที่ร้องประกอบซีรีส์ reply 1988 แล้วนี่เป็นแนวเพลงที่เราไม่คิดว่าจะได้ยินจาก hyukoh อีก ตอนฟังสดก็แอบน้ำตาคลอด้วยแหละ อิน
      

    5

    มาถึง highlight of the night

    ‘reserved seat’ คิดว่าใครๆ ก็คงจะพูดถึงโชว์นี้กัน เพราะเล่นสดดีโครตๆ ดีจนเราอยากก้มลงกราบเบญจางค์มันเดี๋ยวนั้น ยิ่งช่วง outro ที่แต่ละคนจะละเลงเครื่องดนตรีในมือกันอย่างบ้าคลั่ง ไต่ระดับความหน่วงขึ้นไปเรื่อยๆ ให้ความรู้สึกยาวนานไม่มีที่สิ้นสุดจนกระทั่งถึงจุดพีคแล้วค่อยๆ ลดระดับความรุนแรงลงมาจนถึงโน้ตตัวสุดท้าย ในหัวเราตอนนั้นจู่ๆ ก็ฉายภาพ ending scene ในหนังเรื่อง whiplash ซ้อนทับขึ้นมา เป็นช่วงเวลาที่แม่งรู้สึกว่า my ears have been blessed (สัสๆ) นี่ไม่มีความรู้เรื่องดนตรีเลยแต่สำหรับประสบการณ์การฟังเพลงที่มีทำให้รู้สึกว่าเพลงนี้แหละที่ดึงศักยภาพการเป็นนักดนตรีของผู้ชายทั้ง 4 คนนี้ออกมาได้ดีที่สุด 


    (อันนี้ lighting เพลง wiing wiing ซึ่งบรรยายกาศจริงสวยมาก แต่กล้องเรากากเอง)

    6

    ถึงช่วง encore ก็ไม่ได้ปล่อยให้รอนาน เหมือนลงจากสเตจพอเป็นพิธีงี้ ใจตอนนั้นคือถ้าชั้นยังไม่ได้ฟัง wiing wiing กับ ohio ชั้นจะไม่กลับเด็ดขาด 5555 ซึ่งพออินโทรเพลง wiing wiing ขึ้นมาทุกคนก็ดูแฮปปี้สมใจดี ส่วนนี่รอดูรีแอคของโอฮยอกว่าจะเป็นยังไง จะน่ารักเหมือนที่เคยดูในคลิปมั้ย แต่ปรากฏว่าน่ารักกว่าตอนดูในคลิปอีก บ้าบอ ความยิ้มเขินตอนได้ยินแฟนเพลงร้องท่อน wiing wiing, biing biing กับ tell me นี่มันแบบ ฟๆำไๆหดวาดกฟๅไไดกหวสะ ทำไมน่ารักได้ขนาดนี้อ่ะคนเรา แต่ที่ชอบมากๆ ก็คือแค่ได้ยินเพลงนี้ทุกคนก็ดูจอยแบบรู้สึกได้อ่ะ เข้าใจดีเลยว่าเพลงนี้เป็นที่โปรดปรานแค่ไหน ที่ชอบมากๆ อีกอย่างคือ lighting ตอนนั้นก็สวยมาก ไม่รู้จะอธิบายยังไงแต่บรรยากาศรอบตัวมันน่ารักไปหมด น่ารักจนอดหยิบมือถือขึ้นมาอัดวีดิโอไม่ได้ ทั้งที่ตั้งแต่เริ่มเล่นเพลงแรกมาเรายังไม่ได้หยิบมือถือขึ้นมาถ่ายวีดิโอเพลงไหนเลย

    และแล้วก็เดินทางมาถึงเพลงสุดท้าย แอบใจหวิวหน่อยๆ แต่ก็แอบลุ้นด้วยว่าจะได้ฟัง ohio มั้ย ซึ่งแน่นอนว่าไม่ 5555 (ใจร้าย)

    ก็ไม่ได้รู้สึกว่าเราพลาดอะไรไปเลยนะเอาจริง อีกอย่างเพลงสุดท้ายก็เป็นเพลงโปรดของเราด้วย เพราะงั้นพอเริ่มเล่น paul สิ่งเดียวที่เราอยากทำคือซึมซับบรรยากาศตอนนั้นไว้ให้ได้มากที่สุด ก็ไม่รู้มันคือความสุขแบบไหนกันแน่ รู้แค่ว่าตอนนั้นอิ่มใจ ยิ่งฟังท่อนสุดท้ายที่ร้องว่า “it’s your victory” แล้วรู้สึกว่าแบตฯ ที่มีค่อยๆ ถูกชาร์จขึ้นมาจนเต็ม ถึงจะไม่ใช่เพลงที่ต้องใช้ดนตรีหนักๆ แต่กลับทำให้รู้สึกว่าเป็นการปิดคอนเสิร์ตที่สวยงามและมีพลังดี 


    "Their sincere passion for music will always deeply stuck in my head."



    ?

    อยากเล่ารายละเอียดน่ารักๆ บ้าง


    ขอเริ่มที่สมาชิกวงก่อนเลยละกัน

    ฮยอนแจ (ขวาสุด: มือกีต้าร์) พี่เขายืนในตำแหน่งที่ตรงกับระยะสายตาของเราพอดี เลยมองเห็นได้ตลอด ซึ่ง interact กับแฟนๆ ดีมาก ดีดมาก 55555 แบบตะโกนเรียกชื่อทีไรก็จะมีรีแอคชั่นกลับตลอด สุดน่ารัก สุดเอ็นดู 

    อินวู (ตรงกลาง: มือกลอง) อีกคนที่เฟรนด์ลี่มาก รู้สึกเหมือนโดนตะโกนเรียกชื่อบ่อยมากเหมือนกัน พอแฟนๆ ตะโกนเรียกชื่องี้ก็จะโบกไม้(กลอง)โบกมือให้ทุกครั้ง ปกติเราก็นึกถึงพี่เขาในใบหน้าเปื้อนยิ้มตลอดอ่ะ พอมาเจอจริงๆ ก็แบบนั้นเลย แง้ น่ารัก

    ดงกอน (ซ้ายสุด: มือเบส) เรายืนฝั่งตรงข้ามเลยมองไม่ค่อยเห็นแต่ก็พยายามมองพี่เขานะ มองไปทีไรก็โหยเท่อ่ะ เพราะแบบมาดนิ่งมาก แต่พอแฟนๆ ตะโกนเรียกก็ยิ้มทักทายพร้อมให้ตลอด แถมก่อนคอนฯ จบก็เดินมา "ขอบคุณครับ" ชนิดที่ควบคล้ำรอเรือชัดถ้อยชัดคำยิ่งกว่าโอฮยอกอีก 555 ฮือ เก่ง

    โอฮยอก (ฟรอนท์แมน: ร้องนำ&กีตาร์) รู้จักกันหมดแล้วเนอะ งั้นข้าม 555 ล้อเล่น คนนี้จะพูดถึงยังไงดี เนี่ยแค่มองหน้าก็ขำละ แต่รักความขี้เขินกับความ awkward ในตัวเขาอ่ะ ไม่รู้เหมือนกันแต่เป็นคนที่ไม่ว่าจะขยับตัวทำอะไรก็น่ารักน่าเอ็นดูไปหมด แถมยังมารับหน้าที่เตรียมโพยอีก แต่พูดไทยชัดมากเลยนะ ต้องชม ยิ่งตอนที่หยิบโพยออกมาแล้วถามว่า "ถ้าผมกลับมาปีหน้า อยากมาฮ่าผมไหมครับ" นี่แบบโหย ก็ต้องไปมะ อ้อนขนาดนี้ 555 แต่ถ้าเทียบกับสมาชิกก่อนหน้าทั้งสามคน ยัยโดนตะโกนเรียกน้อยสุดละ (โหไรอ่ะ ไม่ป็อบเลย 555555) เหนือสิ่งอื่นใด ไอ้รอยยิ้มขัดๆ เขินๆ เนี่ยมันน่าตีแต่ก็น่ารักอยู่ดีว่ะ อือ เป็นความ awkward but in a cute way อ่ะ นึกออกมั้ย 

    ?

    ต่อไปเป็นความรู้สึกยิบย่อยที่มีต่อคอนเสิร์ต 

    อย่างแรกเลยเราตั้งใจจะไปเสพดนตรีเฉยๆ ไม่ได้คาดหวังโปรดักชั่นอะไรเลย แต่พออยู่ในคอนเสิร์ตจริงๆ กลับรู้สึกว่าถึงแสงสีจะไม่ได้เว่อวังอะไรแต่ก็โอเคระดับนึงเลย พูดถึง lighting ก็สวยเอาเรื่องอยู่นะ ชอบมาก เหมือนเป็นตัวที่ช่วยขับให้ดนตรีมันกลมกล่อมขึ้นอ่ะ เพราะงั้นนอกจากดนตรีแล้วก็รู้สึกเหมือนได้เสพบรรยากาศไปในตัวด้วย ดีมาก ประทับใจ

    อีกเรื่องที่ประทับใจมากๆ คือ performance ของวงนี่แหละ พลังล้นเหลือมาก ไม่รู้ว่าเอาเรี่ยวแรงกันมาจากไหนมากมายขนาดนี้ และด้วยความที่เล่นสดเรื่องจังหวะช่วงต่อเพลงเลยต้องใช้ความเชื่อกันใจสุดๆ ซึ่งพอขึ้นเพลงมาแต่ละครั้งเรารู้สึกว่าเขาทำหน้าที่ร่วมกันได้ดีจริงๆ โปรมาก เก่งมาก

    ตลอดเวลาร่วมสองชั่วโมงที่อยู่ในคอนเสิร์ตเรารู้สึกได้อย่างนึงคือพอยิ่งเวลาผ่านไปก็เหมือนตัวเองค่อยๆ เข้าใกล้ดนตรีของ hyukoh ไปทีละนิดๆ ให้ความรู้สึกแปลกใหม่จากตอนเปิดเพลงฟังปกติ เพราะเสียงดนตรีตอนเล่นสดมันติดตรึงและให้ความรู้สึกที่ดีไปอีกแบบจนบอกตัวเองไว้แล้วว่าถ้ามีโอกาสไปคอนเสิร์ตฮยอกโออีกเมื่อไหร่ ก็ต้องไปให้ได้นะ ต้องไป 




    ย้อนกลับไป ความรู้สึกแรกหลังเปิดอัลบั้ม 23 ฟังคือรู้สึกว่าเขาทำเพลงออกมาให้เราฟังจริงๆ พอมีโอกาสได้เห็นเขาเล่นสดก็ยิ่งตอกย้ำความรู้สึกนั้น เพราะก็เหมือนตั้งใจทำเพลงมาเล่นให้เราฟังจริงๆ รักมาก รักที่แพชชั่นต่อดนตรีของพวกเขามันจับต้องได้

    ถือว่าเป็นประสบการ์ณทางดนตรีที่น่าจดจำมากสำหรับเรา เพราะก่อนหน้านี้คิดมาตลอดว่าการไปคอนเสิร์ตมันคือ win-win situation ทั้งเราและศิลปินต่างเป็นผู้รับและผู้ให้ แต่การไปคอนเสิร์ต hyukoh ทำให้ความคิดเราเปลี่ยนไป ไม่รู้เหมือนกัน อาจจะเพราะรู้สึกว่าตัวเองได้อะไรดีๆ กลับเยอะกว่าเงินค่าบัตรที่เสียไปมั้ง 

    เออ คิดไปคิดมาก็ยังเสียดายอยู่นะที่ไม่เล่น ohio อ่ะ งอน แต่ล่าสุดเห็นอัพไอจีงี้ก็โอเค้ ง้อขนาดนี้งั้นหายงอนก็ได้ 


    สุดท้าย นอกจาก hyukoh แล้ว อีกคนที่อยากขอบคุณมากๆ ก็คือผู้จัด seen scene space เพราะนอกจากจะใจดีพาวงโปรดของเรามาเล่นให้ชื่นใจแล้วยังใส่ใจความรู้สึกแฟนๆ รวมทั้งรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของศิลปินอีกด้วย ขอบคุณนะคะ :)

    ?






    p.s. ถ้ามีเงินและวันจันทร์ไม่ติดว่าต้องสอบฟิสิกส์ เราคงตัดสินใจซื้อบัตรวันที่ 2 แบบไม่คิดเลย เห็นเล่น hooka ด้วย เสียดายจัง T_T
    p.s. เป็นไปได้ปีหน้าอยากให้เล่น i have no hometown นะ อยากฟังเพลงนี้สดๆ สักครั้งในชีวิต @hyukoh
    p.s. ว่าแต่วันแรกโอฮยอกเริ่มต้นเม้นท์ด้วยคำว่า "so" ไปกี่ครั้งคะ มีใครนับมั้ย 555




Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in