เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
สาวน้อยชั้นสองlokasander2
ร่วมมือ
  • ถึง... ท่านปู่ผู้เป็นที่รักยิ่งของผมที่เสียไปนานแล้ว

    โชคชะตาของพาทีเนียและคาลเดนได้มาบรรจบกันแล้ว เรื่องที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้เป็นสิ่งที่โชคชะตากำหนด ในฐานะที่ได้รับเกียรติจากตระกูลเราให้เป็นสักขีพยานต่อเหตุการณ์ครั้งนี้ ผมจะทำหน้าที่ครั้งนี้ให้ดีที่สุด ความฝันของผมที่จะสร้างตำนานของตัวเองแบบที่ท่านปู่เคยทำ ตอนนี้ มันได้เริ่มต้นขึ้นแล้วละครับ

    หวังว่าท่านปู่ที่อยู่บนฟ้าจะคอยอวยพรให้กับผม...

    คิดถึงเสมอ.

    จาก หลานที่ท่านปู่ไม่ค่อยชอบขี้หน้า

    โลคาแซนเดอร์ มัวร์



    บรรยากาศทำงานบนชั้นสามของอาคารศูนย์กลางรับส่งพัสดุคาเดล่าของเมืองพาเทนดำเนินไปดังเช่นทุกวัน   ในอาคารที่มีความสูง14ชั้นของอาคารรับส่งพัสดุคาเดล่าแห่งนี้ตั้งอยู่โดดเด่นท่ามกลางตึกแถวรอบจตุรัสน้ำพุกลางเมืองพาเทนที่ส่วนใหญ่สูงไม่เกินห้าชั้น ถือเป็นอาคารที่สูงเป็นอันดับต้นๆของเมืองเลยทีเดียว ภายนอกตกแต่งด้วยลวดลายซับซ้อนของสถาปนิกที่เขียนแปลนขึ้นมา และยังมียอดอาคารทรงแหลมพร้อมกระจกสีทำให้โดนเข้าใจผิดจากนักท่องเที่ยวเมืองอื่นอยู่บ่อยครั้งว่าเป็นโบสถ์เซนต์โซเฟียที่อยู่ทางอีกฟากของเมือง เอเนลนั่งงมเอกสารกองท่วมหัวอยู่มุมห้องติดกำแพง ดวงตาไล่อ่านเอกสารที่ต้องจัดการและสบทออกเป็นพักๆเมื่อเจอลูกค้าที่ต้องการอะไรไม่มองความเป็นจริง ส่วนคูกิที่ตอนนี้ได้เลื่อนขั้นจากเด็กฝึกงานกลายเป็นพนักงานเต็มตัวกำลังจัดการกับรายการพัสดุที่ต้องส่งต่อให้หน่วยส่งพัสดุพิเศษที่อยู่ชั้นใต้ดินของอาคาร หรือที่รู้จักกันว่าคาเดอร์ โดยกระบวนการหลังจากส่งไปให้คาเดอร์แล้ว ขั้นตอนที่ไปถึงผู้รับได้อย่างไรนั้นไม่มีใครทราบ 


    บนชั้นสามของอาคารนี้ บริเวณทำงานถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่งเว้นทางเดินตรงกลางไว้ ด้านในสุดเป็นห้องทำงานส่วนตัวของหัวหน้าเจ้าหน้าที่พิเศษส่วนนอก ถึงที่ทำงานจะถูกแบ่งอย่างละครึ่ง แต่ฝั่งที่ติดกำแพงด้านในนั้นเป็นอาณาเขตของเอเนลแทบทั้งหมด ใหญ่กว่าห้องทำงานส่วนตัวของหัวหน้าหน่วยเสียอีก เหลือพื้นที่เล็กๆไว้สำหรับเก็บของทานเล่นรวมถึงชาและกาแฟ บ่งบอกว่างานที่เขาต้องทำมันเยอะที่สุดจริงๆ


      โต๊ะทำงานของอลิซอยู่ติดฝั่งหน้าต่างข้างๆโต๊ะของคูกิ บนโต๊ะเธอเต็มไปด้วยของตกแต่งที่ซื้อมาตอนไปติดต่องานที่ต่างเมืองอย่างตุ๊กตาล้มลุกของเล่นพื้นเมืองของลาครอส และตอนนี้มีดอกเดซี่สีแดงมาช่วยลดพื้นที่ยิ่งขึ้นไปอีก บนพื้นข้างๆตู้เก็บเอกสารริมกระจกหน้าต่างยังมีฟิโลเดนดรอนใบรูปหัวใจตั้งไว้ เธอให้เหตุผลว่ามันช่วยลดบรรยากาศอับๆ (ที่เธอคิดไปเองคนเดียว) และเพิ่มความสดชื่นให้กับที่ทำงาน (ที่เธอก็ไม่ค่อยได้อยู่) ตำแหน่งของอลิซคือเป็นคนประสานงานกับหน่วยพิเศษจากลาครอส ทำให้เธอต้องเดินทางไปที่นั่นบ่อย หน้าที่ดูแลต้นไม้เหล่านี้จึงตกไปอยู่ที่คูกิแบบไม่มีทางเลี่ยง ตรงข้ามกันกับเธอเคยเป็นที่ทำงานของโย แต่ตอนนี้ที่ทำงานฝั่งตรงข้ามถูกหนุ่มหน้าใหม่ครอบครอง ไปแล้ว

     

    “อลิซ เข้ามาหน่อย มีเรื่องจะคุยด้วย” เสียงเรียกจากวิกเตอร์ช่วยให้อลิซออกจากพวัง หันไปก็เห็นหัวหน้าหน่วยพ่วงตำแหน่งพ่อบ้านประจำตัวยืนรออยู่ตรงประตู ยักคิ้วหน้าเพยิดไปข้างหลัง หญิงสาวลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้องก่อน วิกเตอร์เข้าห้องแล้วปิดประตูตามหลัง ยังไม่ทันที่อลิซจะนั่งบนเกาอี้รับรองหน้าโต๊ะทำงาน วิกเตอร์ก็ถามเรื่องที่คาใจมาตั้งแต่เจ้าหน้าที่คนใหม่ปรากฏตัวรวมถึงบิลเรียกเก็บเงินจากเอเวอรีนด้วย


    “เล่ามาให้หมด ช่วงถูกพักงานเธอไปทำอะไรมา เด็กเอเวอรีนนั่นส่งบิลมาให้ฉันอีกแล้วให้ตายสิ บอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่าไปสุงสิงด้วยมาก  แล้วกับเจ้าหน้าที่ใหม่นั่นมันอะไรกัน เธอเอาแต่นั่งจ้องหน้ามันมาตั้งแต่ตอนแนะนำตัวแล้วนะ อีกอย่างวันนี้หน้าเธอโทรมมาก ไม่ได้ใช้ครีมที่ฉันส่งไปให้หรอ ออกไปอยู่คนเดียวตั้งนานแล้วทำไมยังลืมดูแลตัวเอง ฮึ แล้ว..” “หยุด! พอก่อน! ทีละเรื่อง”  อลิซโพล่งแทรกวิกเตอร์ขึ้นมาก่อนที่จะโดนสวดยาว และที่รับไม่ได้ที่สุด “ฉันโทรมมากเลยหรอวันนี้ จริงหรอ” มือสองข้างจับหน้าตัวเอง หน้าตาเหมือนคนจะร้อง ส่งสายตาถามวิกเตอร์ เมื่อคำตอบที่ได้รับคือการพยักหน้าพร้อมสายตาจริงจังก็เข่าแทบทรุด เซไปนั่งบนเก้าอี้ ดวงตาเหม่อลอย แต่เพียงครู่หนึ่งก็เปลี่ยนเป็นไฟแค้นเมื่อนึกถึงสาเหตุที่ทำให้เธออยู่ในสภาพนี้ หน้าตาถมึงทึง ทำเอาวิกเตอร์ที่ยืนอยู่ข้างๆกลัวว่าอีกฝ่ายจะโกรธจึงลูบหลังพลางพูดปลอบแต่เหมือนจะเป็นการราดน้ำมันลงบนกองไฟมากกว่า


    “จริงๆก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นหรอก ฉันก็พูดไปอย่างนั้น ยังสวยอยู่น่า ดูสิ อืม หน้าหยาบขึ้นนิดเดียวเอง ตาลึกกว่าปกตินิดหน่อย นี่ถ้าไม่มองดีๆก็ไม่เห็นหรอก แต่สิวอันนี้เห็นได้ชัดไปนะ แต่โดยรวมก็ยังโอเค เนอะ” อลิซหันมาแยกเขี้ยวใส่ ส่งเสียงขู่ในลำคอ ปัดมือที่เชยคางเธอออก มือสองข้างกอดอก เปลี่ยนมานั่งไขว่ห้าง หน้าเชิดขึ้นเล็กน้อย ส่งเสียงหึขึ้นจมูก ท่าทีที่วิกเตอร์คุ้นเคยเป็นอย่างดี คุณหนูบ้านพาทีเนียจะทำท่าทางแบบนี้เวลาที่เธอไม่พอใจ เหมือนตอนเด็กที่เขาไม่ยอมเป็นม้าคลานสี่ขาให้ขี่หลัง หรือเวลาที่มาแอบขอให้พาไปกินขนมตอนดึกแล้วโดนเขาไล่ให้กลับไปนอน วิกเตอร์หลุดยิ้มเมื่อคิดถึงเมื่อก่อน เดินไปนั่งบนเก้าอี้ด้านหลังโต๊ะไม้ มือเปิดลิ้นชักข้างใต้ หยิบของบางอย่างยื่นให้คุณหนูที่นั่งหน้าบึ้งอยู่


    “รับไปสิ ไม่ต้องทำหน้าบึ้งกลบเกลื่อนเปลี่ยนเรื่องด้วย วันนี้ยังไงเธอก็ต้องเล่าให้ฉันฟังทั้งหมด” อลิซหันมาแกนๆ เบื่อคนรู้ทัน แต่เมื่อเห็นว่าของในมือวิกเตอร์เป็นอะไรก็รีบเอี้ยวตัวมาคว้าไว้ทันที ตาเป็นประกาย ยิ้มร่าเหมือนเมื่อกี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน


     “อมยิ้มของแมรี่นี่นา นายกลับบ้านมาหรอ” อลิซถาม มือถืออมยิ้มอันเท่าฝ่ามือไว้ประหนึ่งของล้ำค่า


    “ใช่ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น ทีนี้ มันเกิดอะไรขึ้น เล่ามาได้แล้ว” พ่อบ้านประจำตัวดันแว่นขึ้น มือประสานวางแขนบนโต๊ะ น้ำเสียงเป็นการเป็นงาน 



    ——————————————————————


    ภายในห้องทำงานส่วนตัวของหัวหน้าหน่วยพิเศษที่ไม่ได้ตกแต่งอะไรเป็นพิเศษ ผนังหลังโต๊ะทำงานเต็มไปด้วยชั้นวางที่อัดแน่นไปด้วยแฟ้มเอกสาร ถัดไปเป็นโซฟาหนังตัวยาวที่อลิซซื้อมาวางไว้เผื่องีบระหว่างวัน รวมถึงต้นไม้ที่เธอซื้อมาวางเพื่อช่วยเพิ่มความสดชื่น (อีกแล้ว) และยังมีสมบัติของเธอวางไว้เป็นหย่อมๆรอบห้อง ชวนให้สงสัยว่านี่เป็นห้องทำงานของใครกันแน่


    อลิซนั่งเอามือกุมไว้บนตัก สอดสายตาไปรอบห้องหลีกหนีสายตาที่จ้องมาอย่างกินเลือดกินเนื้อ ปฏิกิริยาแบบเดียวกับตอนที่เธอบอกเอวี่เกี่ยวกับแหวน แต่หนนี้รุนแรงกว่าเยอะ คุณพ่อบ้านไม่พูดอะไรทั้งนั้นตั้งแต่เธอเริ่มเล่าเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ เล่นสงครามเย็นกันอยู่สักพัก วิกเตอร์ก็เป็นฝ่ายยอมแพ้ ถอนหายใจออกมาทีหนึ่ง 


     “ช่างเถอะ เธอไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว” ได้ยินแบบนี้อลิซก็ยิ้มร่า แต่รอยยิ้มก็อยู่ได้ไม่นานหลังจากที่วิกเตอร์พูดต่อ

     “แต่แทนที่จะมาบอกฉันให้ช่วย เธอดันไปหาเด็กขี้งกเอเวอรีนเนี่ยนะ ช่วงที่ไม่มาทำงานก็ไม่ติดต่อกันมาเลย ฉันสังหรณ์ใจอยู่บ้างว่ามันต้องมีอะไรเกิดขึ้นบ้างละ แต่ก็คิดอยู่เสมอว่าหากมีเรื่องอะไรเธอคงมาหาฉันเป็นคนแรก...ฉันคงสำคัญตัวเองมากไป” น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความน้อยใจของวิกเตอร์ ทำเอาอลิซทำตัวไม่ถูก เธอไม่เคยนึกถึงมุมนี้มาก่อน พ่อบ้านเธอคนนี้ถึงจะขี้บ่นบ้าง และไม่ค่อยมีความเคารพกันสักเท่าไหร่ แต่เวลาเกิดเรื่องอะไรขึ้นเขาก็อยู่ข้างๆเธอทุกครั้ง อลิซที่กำลังซึ้งที่วิกเตอร์เห็นเธอเป็นคนสำคัญขนาดนี้ เกือบจะพูดขอโทษออกไปแล้วถ้าอีกฝ่ายไม่พูดต่อขึ้นมาเสียก่อน


    “แถมยัยเด็กนั่นยังคิดค่าบริการแพงอย่างกับอะไร มันน่านัก ถ้ามาหาฉันตั้งแต่แรกก็ไม่ต้องไปเสียเงินให้คนหน้าเลือดแบบนั้นหรอก โดนยัยเอเวอรีนขูดรีดมาอีกแล้ว” ไม่มีความน้อยใจในน้ำเสียงอีกต่อไป ความสัมพันธ์ของเพื่อนรักเธอกับพ่อบ้านประตัวถือได้ว่าติดลบ อลิซยิ้มแหยๆ พยายามปรับอารมณ์ตามคนตรงหน้าให้ทัน ก่อนจะเดินไปแหวกม่านตรงกระจกกั้นห้อง ส่องเจ้าหน้าที่คนใหม่ที่ตอนนี้กำลังจัดโต๊ะตัวเองอยู่ หันมาหาวิกเตอร์


    “แล้วเราจะเอายังไงกับหมอนี่ดี ทุบหัวแล้วลากตัวไปเลยดีมั้ย?” อลิซพูดพลางเดินไปนั่งที่โซฟา คิ้วเลิกขึ้นบวกกับรอยยิ้มกว้าง วิกเตอร์ให้ความเห็นว่าคุณหนูเขาตอนนี้เหมือนคนโรคจิตอยู่ไม่น้อย


    “อย่ามาไร้สาระน่า อืม ข้อมูลของเจ้าหน้าที่หน่วยนี้ถูกปิดเป็นความลับ รวมถึงข้อมูลทุกอย่างถูกเก็บไว้ที่ศูนย์กลาง ซึ่งฉันก็ไม่มีสิทธิ์ไปยุ่งด้วย ‘พวกเรา’เข้ามาทำงานที่นี่ด้วยฐานะอะไร เธอก็รู้อยู่ ไหนๆก็จ่ายเงินให้เอเวอรีนไปแล้ว รอข้อมูลจากเพื่อนเธอก็แล้วกัน” วิกเตอร์เอนหลัง โยนลูกแก้วไม้แกะสลักในมือเล่น เป็นหนึ่งในบรรดาของที่อลิซซื้อมาฝาก 


    อลิซที่นั่งอยู่ก่อนหน้าตอนนี้หลังเอนแนบไปกับเบาะโซฟาเรียบร้อย ตาสองข้างปิดลง โดยที่เจ้าของร่างบอกกับตัวเองว่าแค่พักสายตาไม่ได้หลับ แต่เพราะเมื่อคืนแทบจะไม่ได้นอนเลยทั้งคืนทนอยู่ได้ไม่นานก็ผล็อยหลับไป เสียงลมหายใจสม่ำเสมอประกอบร่างที่นอนนิ่งไปแล้ว วิกเตอร์เห็นดังนั้นจึงไปหยิบผ้าห่มที่ก็เป็นของคนที่นอนอยู่บนโซฟาอีกนั่นแหละมาคลุมตัวให้ ตบเบาๆสองที 


    “เด็กหนอเด็ก” ส่ายหัวนิดๆแล้วเดินกลับไปทำงานต่อ     


    —————————————————————————


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in