เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
My First Storyjokesocool
GHOST JOB บ้านคนดุ ทะลุสามโลก EP.8 Bed
  • ณ ห้องเรียนของเก็น ขณะที่คุณครูกำลังอธิบายวิชาคณิตศาสตร์อยู่ที่กระดานดำ แต่ชีโต๊สเอาแต่ใช้ฟันกัดดินสอเล่น

    “นี่เก็น พอเจอเรื่องแบบเมื่อคืนแล้วทำให้เราเรียนไม่รู้เรื่องเลย” ชีโต๊สบ่น

    “ปกตินายก็เรียนไม่รู้เรื่องอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?” เก็นแขวะ

    “อย่าร้ายกับเราสิเก็น ว่าแต่ ไอ้หมาตัวเมื่อคืนมันคือผีจริง ๆ สินะ”

    “จากที่เคยฟังพ่อกับอาม่าคุยกันมาบ้าง แบบที่มีพลังทำร้ายคนได้ขนาดนั้น น่าจะเกินกว่าผีเยอะเลยล่ะ”

    “ซุปเปอร์ผีหรอ?” ชีโต๊สสุ่มชื่อมั่ว ๆ

    “ปีศาจไง เราก็ไม่เคยเจอที่น่ากลัวขนาดนี้เหมือนกันนะ โชคดีจริง ๆ ที่รอดมาได้”

    “ว่าแต่ ตัวที่ระเบียงน่ะ ไม่อยู่แล้วแน่ ๆ ใช่มั๊ย?”

    เก็นหันไปมองที่ระเบียง

    “ไปแล้วมั้ง ญาณีหยิบตั๋วไปแล้ว ฉันเห็นกับตา”

    “เปิดแว่นสักหน่อยสิ เพื่อความชัวร์” ชีโต๊สยักคิ้วด้วยความเก๋า ทั้งที่เพิ่งฉี่ราดไปไม่กี่วันที่แล้ว

    เก็นมองที่หน้าต่างสักครู่และค่อย ๆ ลดแว่นลง

    “เฮ้ย!!!!”

    เสียงเก็นตะโกนลั่นห้อง

    “สองคนนั้นหยุดเสียงดังได้แล้วนะ!” คุณครูหันมาตวาดก่อนที่จะสอนต่อ

    “นายเห็นอะไรอะ?” ชีโต๊สกระซิบถาม

    “ญาณียังอยู่ตรงระเบียง”

    เก็นตอบด้วยความมึนงง เขาเห็นญาณียืนหันหลังอยู่ และค่อย ๆ หันมายิ้มให้เค้า และโบกมือบ๊ายบาย จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงดังของเครื่องรถยนต์คันใหญ่ ค่อย ๆ ดังขึ้นเรื่อย ๆ และรถเมลล์คันสีแดงก็ค่อย ๆชลอมาจอดที่ข้างระเบียงโดยที่รถทั้งคันลอยอยู่กลางอากาศ และข้างรถมีหมายเลข 13 ติดอยู่
    พนักงานวัยรุ่นบนรถเดินลงมาจากรถเมล์ เขาย้อมผมสีทอง มีรอยสักรอดออกมาจากแขนเสื้อ เจาะหูหลายตำแหน่ง ดูท่าทางจิ๊กโก๋ หน้าตาพอใช้ เขาเดินลงมาหาวิญญาณของเด็กผู้หญิง

    “ญาณีสินะ ขอดูตั๋วหน่อยดิ๊”

    “เห้ยย!! พูดจาดี ๆ กับผู้โดยสารหน่อยโว้ย”

    ชายแก่ผมขาวใส่แว่นไว้หนวดจิ๋มใส่หมวกโชเฟอร์สีขาวตะโกนด่ามาจากที่นั่งคนขับ

    “เอาใจยากจริงนะลุง ทีตัวเองล่ะด่าได้ด่าดี ” พนักงานหนุ่มตอบกลับ

    “มันก็ต้องรู้จักแยกแยะสิวะ ผีดีผีชั่ว มันไม่ได้เหมือนกันสักหน่อย” ลุงคนขับเถียงกลับ

    “เฮ้อออ” พนักงานหนุ่มเกาหัว และหยิบตั๋วมาจากมือญาณี

    “เอ๋... นี่ไม่ใช่ลายมือไอ้หน้าจืดนี่ ตกลงเดี๋ยวนี้เค้ามีตำรวจโลกวิญญาณกี่คนกันเนี่ย”

    “มันใช่หน้าที่ของแกมั้ย!? ตั๋วถูกก็พอแล้ว พาเด็กขึ้นมาบนรถเร็ว วันนี้ต้องไปอีกหลายที่ ” ลุงคนขับด่าอีกครั้ง

    “ขอโทษที่มารับช้า แต่ไม่ต้องกลัวนะหนู ถ้าเป็นวิญญาณเด็กผู้หญิงจะถูกพิจารณาเป็นพิเศษ เดี๋ยวชั้นจะสอนวิธีตอบคำถามเอง”

    ขณะที่พนักงานหนุ่มพูดจบและกำลังจะเดินตามญาณีขึ้นรถไป เขาก็แหงะมามองด้านในห้องเรียนและเห็นเก็นกำลังจ้องหน้าเขาอยู่

    “เห้ย ลุง! มีเด็กนักเรียนมองเห็นพวกเราด้วยแหละ”

    “แกหมายถึงคนใช่มั๊ย?” ลุงถาม

    “ใช่ เด็กนักเรียนในห้องคนนึงเห็นพวกเรา”

    “ฮ่าๆๆ จิงเรอะ ไหนลองโบกมือทักทายหน่อยซิ”

    ลุงคนขับหันมามองเข้าไปในห้องและโบกมือพร้อมกับพนักงานของเขา เก็นเห็นการทักทาย และเขาก็โบกมือกลับ เบา ๆ ชีโต๊สก็ได้แต่มองเหวอ ๆ โดยไม่รู้อะไรทั้งสิ้น รถเมล์กำลังจะเคลื่อนตัวออกจากระเบียงห้อง ญาณีโบกมืออำลาเก็นอีกครั้ง ทันใดทั้นพนักงานหนุ่มก็ตะโกนออกมาก่อนจากไป

    “ไปก่อนนะไอ้หนูแว่น หวังว่าจะไม่ต้องมารับเร็ว ๆ นี้นะ!”

    จากนั้นรถเมล์จากโลกวิญญาณก็ขับจากไปโดยใช้ล้อวิ่งบนอากาศอย่างเสรี ตั้งแต่วันนี้ระเบียงห้องของเก็นและชีโตสคงเหลือเพียงความว่างเปล่า และเรื่องเล่าขานเท่านั้น

    ที่ห้องเรียนของรัน เสียงหมึกเขียนกระดานเอี๊ยดอ๊าดได้สิ้นสุดลง คุณครูจอห์นนี่ที่เป็นชาวยุโรป กำลังจะปล่อยนักเรียนไปพักกลางวัน

    ครู “โอเค เอฟวรี่วัน เอ็นจอย วิท ยัว โฮมเวิร์ค แอนด์ ซียูเยสเตอเดย์”

    นักเรียน “ทูมอโร่ว !!!”

    นักเรียนทั้งห้องตะโกนแก้มุกให้ครูจอห์นนี่ด้วยความพร้อมเพรียง

    หลังจากพูดจบ ครูจอห์นนี่ก็ได้เต้นมูนวอล์คออกไปจากห้องเรียน

    รันกำลังพับสมุดเรียนและเก็บลงไปในกระเป๋า ทันใดนั้นวิปครีมสาวสวยสุดป๊อบของห้องก็ได้สไลด์บั้นท้ายขึ้นมาบนโต๊ะเรียนของรัน

    “ว่าไงเด็กใหม่คนสวย มีคนเห็นเธอกับพี่ชีตาร์ไปกินขนมด้วยกัน”

    วิปครีมหยุดพูดแป๊บนึงและแสยะยิ้ม ก่อนจะถามต่อ

    “มันไม่จริงใช่มั้ย?” วิปครีมถามแบบทำตาจิก

    รันทำหน้าเซ็ง เก็บของใส่กระเป๋าต่อแล้วลุกขึ้นเตรียมจะเดินหนี

    “เดี๋ยว!”

    วิปครีมพูดเสียงดัง รันหยุดเดินและหันหลังกลับมาหาวิปครีม

    “จำไว้นะรัน ว่าเธอมาทีหลัง ถ้าอยากใช้ชีวิตอย่างสงบสุขล่ะก็ อย่าทำอะไรให้มันโดดเด่นเกินไปนัก แค่ชั้นปล่อยให้เธอเป็นแฟนคลับทั่ว ๆ ไปได้ ก็ดีแค่ไหนแล้ว”

    “แล้วแฟนคลับรุ่นใหญ่อย่างเธอ ได้ตามข่าวสารบ้างมั้ย?”

    บันนี่ สาวเนิร์ดใส่แว่นตาและเหล็กจัดฟันมัดผมแกะ แทรกขณะที่วิปครีมพูด

    “เธอรู้รึเปล่าว่าประธานแฟนคลับสามารถตัดสิทธิ์ต่าง ๆ ของแฟนคลับที่ประพฤติตัวไม่ดีได้ตามใจชอบ จนถึงขั้นตัดออกจากการเป็นแฟนคลับเชียวนะ”

    บันนี่พูดเบ่ง ๆ

    “แล้วเรื่องนี้มันเกี่ยวข้องอะไรกับเธอไม่ทราบยะ ยัยแฟนคลับหางแถว” วิปครีมพูดเหยียด

    เพื่อนกลุ่มของวิปครีมคนนึ่งเดินเขามาหาวิปครีม

    “เอ่อออ .... วิป คือ เมื่อเช้าเว็บของ Boy Attack เพิ่งประกาศให้บันนี่กับชิคเป็นประธานแฟนคลับของชั้น ม.5 โรงเรียนเราน่ะ ดูสิ”

    เพื่อนของวิปครีมชี้ไปที่จอโทรศัพท์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องนี้ในเว็บไซต์

    “นี่มันเรื่องอะไรกัน พักนี้ทำไมมีแต่เรื่องบ้า ๆ นี่ชั้นต้องฝันร้ายอยู่แน่ ๆ!”

    วิปครีมบ่นด้วยความไม่พอใจ

    “ขอโทษนะครับ”

    ตอนนี้ชายหนุ่มรุ่นพี่สองคนยืนอยู่หน้าห้อง

    “พี่ชีตาร์ให้มารับรันไปทานข้าวด้วย เห็นบอกมีเรื่องสำคัญจะคุยด้วยครับ”

    ตอนนี้วิปครีมมองด้วยสายตาสุดริษยา

    “ยัยรันนี่ไม่มีขารึไง? ทำไมถึงกับต้องให้คนมารับด้วย แล้วพี่ชีตาร์ทำไมถึงไม่กินข้าวกับพวกเพื่อนตัวเองล่ะ!”

    วิปครีมกวาดสายตาอันแค้นเคืองไปหาทุกคน

    “คิดว่าโรงเรียนนี้คนดังจะทำอะไรก็ได้เหรอ? ระวังให้ดีนะ ถ้าฉันเอาเรื่องนี้ไปพูดกับพวกครูล่ะก็ อาจจะได้แยกกินข้าวกันคนละโรงเรียนก็ได้” วิปครีมขู่

    “อ๋อหรอ? งั้นถ้ามีแฟนคลับที่ปากก็บอกว่ารัก Boy Attack แต่ทำให้นักร้องที่เป็นเมนหลักของวงต้องไม่พอใจเนี่ย คิดว่าประธานแฟนคลับอย่างเราต้องลงโทษยังไงดีนะบันนี่?”

    ชิค นักเรียนหมวยสูงถักเปียผมยาวลุกขึ้นมาถามบันนี่

    “นั่นสิ ที่ผ่านมายังไม่เคยมีแฟนคลับที่ทำเรื่องร้ายแรงขนาดนั้นด้วยสิ” บันนี่ตอบ

    บันนี่และชิค พูดจาแบบถือไพ่เหนือกว่ามาก

    “พวกแก .... จำเรื่องนี้ไว้ให้ดีนะ” วิปครีมพูดแบบหายใจแรง

    “งั้นพวกฉันขอจดไว้ในบันทึกเลยละกันนะ จะได้ไม่ลืม” บันนี่ย้อน

    วิปครีมรับลุกหนีจากโต๊ะของรันด้วยความโมโห

    “แคว่กกกก” เสียงกระโปรงของวิปครีมเกี่ยวตะปูข้างโต๊ะเรียนขาดยาวจนเปิดเห็นต้นขา รุ่นพี่ที่มารับรันมองกันอย่างตกใจก่อนหันหน้าหนีด้วยความเขิน

    “กรี๊ดดดดดดด” วิปครีมรีบคว้ากระเป๋าปิด และเดินเอาไหล่กระแทกรุ่นพี่ที่ขวางทางอยู่ออกไป พร้อมกลุ่มเพื่อน ๆ ที่รีบวิ่งตาม

    ที่ห้อง ๆ หนึ่งในโรงเรียน ชีตาร์กำลังจัดเรียงจานอาหารมากมายบนโต๊ะให้ออกมาดูดีที่สุด

    “ก๊อก ๆๆ”

    หลังเสียงเคาะประตู รันผลักประตูและเดินเข้ามา

    “มีเรื่องจะคุยกับหนูหรอคะ?”

    ชีต้าจ้องหน้ารันและยังไม่พูดอะไร

    “เอ่อ ... ต้องล็อคประตูมั้ยคะ?”

    “หึ ๆ (ชีตาร์หัวเราะในลำคอ) ไม่ต้องหรอก นั่งลงสิ”

    รันเลื่อนเก้าอี้และนั่งลงฝั่งตรงกันข้ามกับชีตาร์

    “ทานข้าวก่อนสิ นี่ห้องพักส่วนตัวของพี่เอง”

    รันมองรอบห้องด้วยความสงสัย ในห้องประดับด้วยโปสเตอร์ และรูปภาพใส่กรอบของชีตาร์ แถมเต็มไปด้วยของขวัญ ดอกไม้ และตุ๊กตามากมาย

    “ถึงหนูจะปลื้มพี่ แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า มีห้องทานข้าวส่วนตัวในโรงเรียนนี่มันไม่ดูเกินไปหน่อยเหรอคะ?”

    “ทางโรงเรียนน่ะ ไม่ได้เป็นห่วงพี่หรอกนะ แต่เป็นห่วงความสงบของเด็กทั้งโรงเรียนต่างหาก ถึงจับพี่มาขังไว้คนเดียวแบบนี้ไง” ชีตาร์ตอบยิ้ม ๆ

    “แหม... พอพูดแบบนี้เลยดูน่าสงสารขึ้นมาเลยเชียว”

    ทั้งสองเริ่มทานข้าวและพูดคุยกัน

    “ทำไมชิคกับบันนี่ถึงได้เป็นประธานแฟนคลับล่ะคะ?”

    “ก็ .. เป็นวิธีที่จะทำให้รันปลอดภัยจากพวกแฟนคลับขี้อิจฉาน่ะ ให้เพื่อนสนิทคอยปกป้องอยู่ใกล้ ๆ พวกแฟนคลับในโรงเรียนจะได้ไม่กล้ารังแกไง”

    “ต้องขนาดนั้นเลยหรอคะ?”

    ชีตาร์ยิ้มและเปลี่ยนเรื่อง

    “เรื่องเมื่อคืนน่ะ ทำให้พี่เปลี่ยนใจแล้วนะ”

    “อะไรคะ?”

    “เรื่องคนที่ตายไปแล้วน่ะ ไม่สำคัญเลยสักนิดถ้าเปรียบกับคนที่ยังมีชีวิตอยู่ พี่ทำให้รันต้องมาเสี่ยงตายเพราะพี่ พี่จะไม่ขอร้องอะไรให้รันต้องลำบากใจอีกแล้ว ต้องขอโทษด้วยนะ”

    รันก้มหน้าเคี้ยวข้าวอย่างครุ่นคิด

    “เค้าคือใครหรอคะ? วิญญาณที่พี่อยากจะเจอ”

    “เธอชื่อน้ำปั่น เป็นคนที่สำคัญกับพี่มากน่ะ แต่ดันจากไปโดยไม่มีโอกาสบอกลา พี่แค่อยากรู้ว่าเค้าอยู่สุขสบายดีรึเปล่า? ในอีกโลกนึง”

    รันทานข้าวเงียบ ๆ พร้อมฟังต่อ

    “วันนั้น เธอป่วยหนักอยู่ที่ รพ แต่เป็นวันเดียวกับที่พี่ถูกเรียกไปออดิชันที่ค่ายเพลง เธอต้องการจะสั่งเสียกับพี่ เพราะกลัวว่าจะมีชีวิตอยู่รอไม่ถึงตอนพี่กลับมา แต่พี่ไม่ยอม พี่บอกห้ามพูดเป็นลาง พี่สั่งให้รอพี่จนกว่าพี่จะกลับมา และบอกให้เธอมีชีวิตต่อไปให้ได้ ..... เพราะพี่ไม่รู้ ว่านั่นจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้คุยกัน...”

    ชีตาร์มีสีหน้าซึมเศร้าหลังพูดจบ

    “แฟนหรอคะ? ผู้หญิงคนนั้น ”

    รันถามด้วยดวงตาที่มีน้ำคลอ ๆ

    เวลาตอนเย็น ที่บ้านของรัน หน้าร้านขายยา Good Job มีป้ายแขวนที่ประตูกระจกหน้าร้านว่า “พักทานข้าว” ที่โต๊ะกินข้าวภายในบ้าน ทุกคนในครอบครัวนั่งกินข้าวกันพร้อมหน้า

    “กลายเป็นว่า คนที่นี่อันตรายยิ่งกว่าผีซะอีก เมื่อคืนที่เด็กทุกคนปลอดภัยเพราะรันยอมให้ท่านปู่ใช้ร่างของรันต่อสู้ และยูโร่ดันเลี้ยงปีศาจเอาไว้เฝ้าบ้านโดยไม่รู้ตัว ทำให้เราต้องพึ่งพาโลกวิญญาณอีกครั้ง จากนี้คงต้องระวังตัวกันให้มากขึ้น”

    อาม่าอธิบายเรื่องราวให้ทุกคนฟัง

    “เคร้ง!!” เสียงรันวางช้อนส้อมลงกระทบจานข้าว

    “หนูขอร้องได้มั้ย?” คำถามของรันทำให้ทุกคนนิ่งเงียบสักครู่

    “ม่าก็ไม่อยากให้มันเกิดขึ้น พวกเราต้องมีชีวิตแบบคนปกติได้แน่ ๆ รัน” อาม่าปลอบ

    “นั่นสิลูก เพิ่งย้ายมาใหม่ก็ต้องมีเรื่องติดขัดบ้าง” พ่อเสริม

    “หนูจะบอกว่า หนูต้องการตามหาวิญญาณของคน ๆ นึงให้ได้”

    “หืมมมม!!” พ่อ อาม่า และเก็น อุทานด้วยความช็อค

    เมื่อกี๊พ่อได้ยินอะไรผิดไปมั้ย? คุณพ่อมองหน้ารันด้วยความสงสัย

    “แบบเร็วที่สุดค่ะ” รันตอบ

    ช่วงเวลาตอนบ่ายวันเสาร์ที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง รถตู้ของบ้านรันได้ขับเข้ามาจอดที่ลานจอดรถหน้าโรงพยาบาล ข้างรถยังคงมีสติ๊กเกอร์ที่แปะคำว่า Ghost Job อยู่ โดยมีสมาชิกทุกคนในครอบครัวมากันครบรวมทั้งยูโร่ด้วย

    “แน่ใจนะว่าจะไม่บอกชีตาร์”

    คุณพ่อถามจากที่นั่งคนขับ

    “ถ้าบอกไป พี่ชีตาร์ต้องไม่ยอมให้หนูทำแน่นอนค่ะ เพราะเค้ากลัวว่าจะทำให้หนูต้องลำบากอีก”

    รันตอบ

    “อุ๊ยตาย ใหญ่กว่าฟาร์มโชคชัย ก็คงเป็นฟามห่วงใยของหนุ่มสาวนี่แหละ”

    อาม่าแซวอย่างชอบใจ

    “อาม่า!!”

    รันเบรกอาม่าตามเสต็ป

    “โดยทฤษฎีแล้ว เราต้องเริ่มค้นหาจากจากสถานที่ที่เสียชีวิตเป็นที่แรก เพราะก่อนเสียชีวิตชีตาร์บอกให้ผู้ตายรออยู่ที่เดิม ตอนนี้ก็เป็นเวลาเกือบ 2 ปี มีโอกาสที่วิญญาณจะยังรออยู่แค่ประมาณ 15 - 20% ” พ่ออธิบาย

    “ส่วนชื่อ-นามสกุล รูปถ่าย กับหมายเลขห้องที่เสียชีวิต ชีโต๊สได้บอกข้อมูลกับผมหมดแล้วครับ พี่คนนั้นสวยมากเลยด้วย” เก็นเสริม

    “ไม่ต้องอธิบายละเอียดขนาดนั้นก็ได้เก็น” รันบ่นทำตาค้อน

    “เอาเป็นว่าทุกคนทำตามแผนที่นัดกันไว้ให้ดี การเข้าไปในห้องโดยไม่มีเหตุผลเป็นเรื่องยาก ส่วนการเจรจาให้เป็นหน้าที่ของชั้นเอง” อ่าม่ากล่าวทิ้งท้าย

    ตอนนี้ที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ มีหญิงสาวผมสั้นแค่หูหน้าตาดีในชุดของโรงพยาบาลกำลังเซลฟี่และโพสรูปตัวลงโซเชียลที่เก้าอี้ทำงาน

    “นี่เธอ ตอนนี้ยอดฟอลชั้นสองหมื่นกว่าแล้วนะ เป็นเน็ทไอดอลได้รึยัง?”

    “เน็ตไอดอลเค้าต้องเป็นแสนฟอลโลวเวอร์ย่ะ นี่ถ้าจะเอาดีทางด้านนี้แกจะเรียนหนังสือมาทำไมเยอะแยะห๊ะ?”

    พนักงานสาวผมยาวที่นั่งข้าง ๆ ตอบ

    “พูดแบบนี้นี่อิจฉารึไง? ที่ต้องทำงานกับคนที่ทั้งสวยทั้งเก่งอย่างชั้น”

    ขณะที่ทั้งสองกำลังแซวกันสนุกปาก อาม่าก็เดินมาที่หน้าเคาน์เตอร์

    “แม่หนูจ๊ะ คือยายจะมาเยี่ยมญาติ แต่ก็จำชื่อจริงเค้าไม่ค่อยได้น่ะ ช่วยดูหน่อยได้มั้ย ว่าห้อง 726 คนไข้ชื่ออะไร?”

    “สักครู่นะคะคุณยาย”

    พนักงานผมสั้นหาข้อมูลไม่นาน ก็หันมามองหน้ากับเพื่อน

    “ห้อง 726 ทางโรงพยาบาลไม่ได้เปิดให้ใช้นะคะ คุณยายจำผิดรึเปล่าคะ?”

    อาม่าหยุดคิดสักครู่

    “อ้าว... เหรอจ๊ะ ยายก็หลง ๆ ลืม ๆ เดี๋ยวยายไปโทรถามลูกชายก่อนก็แล้วกันนะจ๊ะ”

    คุณยายหันหลังเดินจากเคาน์เตอร์ฝ่าผู้คนไปถึงหน้าลิฟท์ที่กำลังเปิดพอดี ทุกคนในครอบครัวที่รออยู่หน้าลิฟท์เดินปะปนกับผู้คนในโรงพยาบาลเข้าไปในลิฟท์

    “คุณยายไปชั้นไหนครับ?”

    คุณพ่อแกล้งถาม

    “เจ็ดจ้ะ”

    คุณยายตอบ ทุกคนทำเหมือนไม่ได้มาด้วยกัน พอลิฟท์เปิดที่ชั้น 7 ทุกคนในครอบครัวออกมาจากลิฟท์แล้วเดินไปด้วยกัน

    “พวกเราแอบขึ้นโรงบาลกันเหมือนโจรเลยนะครับ”

    เด็กน้อยยูโร่ทักขึ้นมา

    “ถ้าตามหลักแล้ว ตอนนี้เราก็เป็นโจรอยู่นะยูโร่”

    “พ่ออย่าบอกกับน้องแบบนั้นสิคะ” รันดุ

    “แหะ ๆ โทษที”

    พ่อยิ้มเจื่อน

    “พนักงานบอกว่าห้อง 726 ไม่เปิดให้ใช้ พวกเราต้องหาทางเข้าไปดูเองว่าเกิดอะไรขึ้น”

    อาม่าพูดจบ รันก็มาหยุดอยู่ที่หน้าห้อง 726 เป็นคนแรก

    “ก็เหมือนห้องอื่น ๆ นี่คะ เลขห้องก็ยังติดอยู่เลย”

    “แอ๊ดดด!!” เสียงประตูเปิด

    “กรี๊ดดด” รันร้องด้วยความตกใจ

    แม่บ้านหญิงร่างท้วมเดินลากรถเข็นทำความสะอาดออกมาจากห้องและล็อคกลอนประตูด้วยอาการมือไม้สั่นเล็กน้อย

    “แม่หนู ห้องนี้เปิดใช้ปกติรึเปล่า?” คุณยายถาม

    “ปิดมาเป็นปีแล้วค่ะ แต่ตอนนี้กำลังจะกลับมาเปิดให้ใช้ หนูเลยต้องจำเป็นต้องเข้ามาทำความสะอาด”

    แม่บ้านตอบแบบสีหน้าไม่ดีนัก

    “จำเป็นหรอ? ดูเธอไม่ค่อยอยากทำความสะอาดห้องนี้เท่าไหร่เลยนะ มันมีอะไรหรอ?”

    อาม่าจี้ถาม

    “เอ่อ ไม่มีหรอกค่ะ หนูไปก่อนนะคะ”

    “เดี๋ยว”

    อาม่าเรียก แม่บ้านหยุดเดินและหันมาหาอาม่า

    “รับนี่ไปสิ”

    คุณยายส่งแหวนทองใส่ในมือของแม่บ้าน

    “ดูเธอจะเป็นคนกลัวผีนะ พกนี่ติดตัวไว้ รับรองไม่ต้องกลัวอีก”

    “เอ่อ คุณยายคะ มันจะดีเหรอคะ?”

    “หรือถ้าเธอไม่กลัวผีก็เอาไปขายร้านทองก็ได้เงินดีอยู่นะ ทีนี้บอกชั้นทีว่าห้องนี้มันมีอะไรกันแน่”

    แม่บ้าน มองซ้ายขวาเห็นไม่มีคนจึงเริ่มเผยความลับ

    “ห้องนี้คนในโรงพยาบาลเค้าลือกันมานานแล้วว่าห้ามเปิดใช้เพราะผีน่ะค่ะ”

    “โรงพยาบาลทุกที่ก็ต้องมีคนตายตลอดอยู่แล้วไม่ใช่เรอะ?” อาม่าสงสัย

    “แต่ห้องนี้ดุมากค่ะ คนไข้ที่ไหนก็มานอนไม่ได้ เป็นผีผู้หญิง หวงเตียงมากไม่ยอมให้ใครมานอน พอคนไข้โดนหลอกบ่อย ๆ เข้าก็เริ่มมีข่าวลือออกไป ทางโรงพยาบาลกลัวเสียชื่อเสียงก็เลยปิดตายห้องเอาไว้น่ะค่ะ แต่เรื่องมันก็นานมาแล้ว อีกอย่างหนูก็ไม่เคยเห็นกับตาหรอกนะคะ”

    “ขอโทษนะครับ พวกคุณมาทำอะไรกันที่นี่!”

    คุณหมอหนุ่มทรงผมเนี้ยบเรียบแปล้ ผิวขาวซีด กำลังเดินเข้ามากับพนักงานสาวที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ทั้งสองคน

    “อุ๊ย หนูไปก่อนนะคะ”

    แม่บ้านรีบเข็นรถทำความสะอาดไปห้องอื่นด้วยอาการกลัวความผิด

    “คุณยายคนนี้แหละค่ะ ที่บอกว่ามีญาติพักอยู่ห้องนี้ หนูก็บอกไปแล้วนะคะว่าห้องนี้ทางโรงพยาบาลไม่เปิดให้ใช้”

    พนักงานสาวผมสั้นฟ้อง

    “ชิ ขี้ฟ้องจริงนะ”

    รันแขวะโดยมองพยาบาลสาวด้วยหางตา

    “อะไรกันเธอน่ะ อายุแค่นี้ เก็บปากไว้กรี๊ด Boy Attack ดีกว่ามั้ยหนู?”

    พนักงานสาวต่อว่ารัน

    “คงไม่จำเป็นหรอกค่ะ เมื่อวานก็เพิ่งนั่งกินข้าวอยู่ด้วยกัน” รันตอบกลับ

    “ต๊าย นี่เธอเพ้อรึไง”

    “หยุดนะ! ทำไมเธอถึงพูดจากับคนที่มาโรงพยาบาลแบบนี้”

    คุณหมอดุพนักงานสาว

    “ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่าทุกคนมีอะไรกับห้องนี้หรือครับ?”

    ทุกคนมองหน้ากันเลิ่กลั่กเพื่อหาคำแก้ตัว

    “เพราะถ้าไม่มีเหตุผลที่ดีพอ ผมอาจจำเป็นต้องแจ้งความนะครับ”

    คุณหมอขู่ด้วยความสุภาพ

    “ชั้นแค่อยากรู้ว่าข้างในห้องนั้นมีผีรึเปล่าน่ะ”

    อาม่าตอบทื่อ ๆ

    “เดี๋ยวนะ เอาอย่างนี้เลยหรอแม่?” คุณพ่องงที่อาม่ายอมรับ

    “อ้าว แล้วมึงจะให้กูไปยังไงล่ะ? เค้าจะแจ้งความแล้ว!” อาม่าบ่น

    “พวกลองของเหรอเนี่ย?” พยาบาลสาวผมสั้นมองเหยียด

    “พอดีคนที่ยายรู้จักเค้าตายในห้องนี้น่ะค่ะคุณหมอ ยายเลยอยากรู้ว่าวิญญาณเค้ายังอยู่มั้ย?” อาม่าอธิบาย

    “พูดความจริงก็ดีแล้วครับ หมอไม่เชื่อเรื่องผีหรอกนะครับ แต่ถ้าทุกคนอยากพิสูจน์หมอก็จะให้เข้าไปดูข้างในห้องก็ได้”

    คุณหมอให้พนักงานเรียกแม่บ้านคนเดิมที่กำลังทำความสะอาดห้องข้าง ๆ กลับมาไขกุญแจห้องอีกครั้ง
    ตอนนี้ทุกคนเดินเข้าไปในห้อง 726 ภายในห้องตกแต่งสะอาดน่าอยู่เหมือนห้องทั่วไปในโรงพยาบาล แลดูไม่มีความน่ากลัวใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่มีอะไรผิดปกติให้สังเกต มีเพียงแมวดำตัวหนึ่งที่เดินไปเดินมาอยู่ที่ขอบหน้าต่างด้านนอก

    “ไม่รู้สึกอะไรเลยแฮะ ที่นี่ไม่มีพลังวิญญาณเลย” อาม่าบ่นเบา ๆ

    “ใช่ครับอาม่า ห้องนี้ไม่มีวิญญาณ” เก็นพูดพร้อมกับขยับแว่นใส่กลับเข้าไป

    “เรื่องมันก็นานมาแล้ว ก็ไม่แปลกที่จะไม่เจออะไร” คุณพ่อพูด

    “แต่ว่า ... ผ้หญิงที่เคยอยู่ในห้องนี้เธอไปกับเตียงครับ”

    จู่ ๆ ยูโร่ก็พูดออกมาทื่อ ๆ ทำให้ทุกคนตกใจ

    “ยูโร่ ทำไมพูดแบบนั้นล่ะ?” รันถามด้วยความสงสัย

    “แมวตรงหน้าต่างบอกผมน่ะครับ”

    ทุกคนหันไปมองที่แมว และเสียงหัวเราะของคุณหมอก็ดังขั้น

    “ฮ่า ๆๆ เป็นเด็กช่างจินตนาการจังนะ หนูชอบดูเรื่องโดเรม่อนเหรอครับถึงชอบคุยกับแมว”

    คุณหมอก้มลงลูบหัวยูโร่

    “จะว่าไปเตียงนี้เป็นเตียงรุ่นใหม่ใช่มั้ยครับ?” คุณพ่อถาม

    ใช่ครับเตียงรุ่นเก่าของชั้นนี้ถูกทางโรงพยาบาลเปลี่ยนหมดแล้วครับ ตอนนี้โรงพยาบาลของเรากำลังอยู่ในช่วงเรโนเวท

    คุณหมอลูบหัวยูโร่เสร็จก็ยืนขึ้นถอนหายใจ

    “เฮ่อ เอาล่ะทุกคน เดี๋ยวหมอต้องรีบไปตรวจคนไข้ต่อ หวังว่าคงไม่มีอะไรต้องสงสัยกันอีกแล้วนะครับ ครั้งนี้หมอจะไม่เอาเรื่องอะไรก็แล้วกัน ลาก่อนครับ”

    ทุกคนทยอยเดินออกจากห้อง แม่บ้านล็อคประตูห้องอีกครั้ง ทุกคนค่อย ๆ เดินกลับไปที่ลิฟท์ โดยคุณหมอกับพนักงานทั้งสองเดินเข้าไปในลิฟท์และลงไปก่อน

    “มาเสียเที่ยวเหรอเนี่ย? คนอุตส่าห์ตั้งใจ” รันบ่นหน้างอ

    “ที่บอกว่าคุยกะแมวนี่เรื่องจริงใช้มั้ยยูโร่? แต่แค่บอกว่าไปกับเตียงนี่จะทำอะไรได้” อาม่าบ่น

    “แมวตัวนั้นบอกไม่ให้ผมพูดตอนที่คุณหมออยู่”

    ยูโร่พูดเรื่องแปลก ๆ ขึ้นมาอีกครั้ง

    “ไม่ให้พูดว่าอะไรเหรอยูโร่ !?”

    รันก้มลงจับแขนถามน้องด้วยความตื่นเต้น

    “เตียงของผู้หญิงคนนั้น ถูกเก็บไว้ที่ชั้น 13 ครับ”

    “งั้นก็ลองดู! แต่เรามีเวลาไม่มากแล้ว ถ้าออกจากโรงบาลช้า รอบนี้ได้คุยกับตำรวจกันแน่” คุณพ่อเตือน

    ลิฟท์เปิดขึ้นอีกครั้ง ทุกคนรีบเดินเข้าไปในลิฟท์

    “ไม่มีชั้น 13 หมายความว่ายังไง!?”

    รันกระวนกระวายที่ตัวเลขของลิฟท์ข้ามจากชั้น 12 แล้วไปชั้น 14 เลย

    “ใช่แล้ว! ลิฟท์ขนของ! ชั้น 13 คงเป็นชั้นร้าง ไม่ก็ชั้นเก็บของ พวกเราต้องไปขึ้นที่ลิฟท์ขนของ!”

    คุณพ่อคิดออก

    “แกรู้ได้ยังไงกาโม่” อาม่าถาม

    (พ่อ) “ผมก็เคยทำงานโรงพยาบาลนะแม่”

    (อาม่า) “เป็นช่างซ่อมลิฟท์?”

    (พ่อ) “เป็นหมอนี่แหละ! รีบไปกันเร็วอย่ามัวแต่ตลก !”

    ทุกคนวิ่งตามคุณพ่อเพื่อค้นหาลิฟท์ขนของ

    “เจอแล้ว! แฮ่ก ๆๆ” คุณพ่อหอบ

    “วิ่งในโรงพยาบาลก็ดีนะ เผื่อชั้นตายจะได้ปั้มหัวใจขึ้นมาทัน แฮ่ก ๆ” อาม่าบ่น

    “ทุกคน! มีชั้น 13 จริง ๆ ด้วย!” รันตะโกนด้วยความตื่นเต้น

    ตอนนี้ลิฟท์ขนของได้พาทุกคนขึ้นมาหยุดที่ชั้น 13 ประตูลิฟท์บานใหญ่ค่อย ๆ เปิดออกช้า ๆ ปะทะกับความมืดและความเงียบไร้ผู้คน สมาชิกในบ้านทุกคนค่อย ๆ ก้าวขาออกมาจากลิฟท์ ภายในชั้นนี้มีเพียงแสงไฟจากหน้าต่างส่องให้พอมองเห็นเตียงที่ไม่ใช้เป็นจำนวนมาก และข้าวของต่าง ๆ วางเกลื่อนกลาดอยู่เต็มไปหมด

    “พ่อครับ ผมอยากกลับบ้าน” ยูโร่กอดขาคุณพ่อด้วยความกลัว

    “ที่บ้านเราอาจน่ากลัวกว่านี้ก็ได้นะยูโร่” อาม่าประชด

    “ได้เวลาแล้วเก็น” รันบอกน้องชาย

    “ครับพี่”

    ทันทีที่เก็นขยับแว่นลง เขาได้มองเห็นวิญญาณที่ใส่ชุดคนไข้อยู่ภายในชั้นนี้เต็มไปหมด มีตั้งแต่เด็กยันคนแก่

    “ที่นี่มีวิญญาณอยู่เต็มไปหมดเลยครับ” เก็นพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

    “ที่ชั้นนี้ไม่มีคนอยู่ เลยไม่มีพระเครื่องและการป้องกันผี พวกวิญญาณเลยมารวมตัวอยู่ที่นี่กันหมด”

    อาม่าวิเคราะห์

    “เก็น พยายามมองหาวิญญาณผู้หญิงวัยรุ่นไว้นะ พี่รู้ว่าเธอต้องทำได้”

    รันให้กำลังใจน้อง

    ในความมืดสลัว ขณะที่เก็นกำลังก้าวขาไปข้างหน้าและพยายามข่มใจตัวเอง เขาได้ไปเหยียบขาเก้าอี้ที่มีล้อเลื่อนจนหกล้มลงไปกระแทกพื้น

    “พลั่ก!!” แว่นของเก็นกระเด็นหลุดออกไปจากใบหน้าของเขา

    ขณะที่เก็นเงยหน้าขึ้นมา เขามองเห็นวิญญาณทุกตัวมองมาที่เขา เมื่อพวกผีรู้ว่าสามารถสื่อสารกับเก็นได้ พวกมันก็รีบกรูเข้ามาหาเก็นโดยการเหาะพุ่งตัวเข้ามาอย่างพร้อมเพรียง

    “อ๊ากกก” เก็นตะโกนอย่างสติแตก

    พ่อรีบคว้าแว่นมาใส่ให้เก็นและกอดเก็นเอาไว้

    “ทุกคน ชั้นเจออะไรเข้าให้แล้วล่ะ”

    อาม่ายืนอยู่ที่ประตูห้อง ๆ หนึ่ง ที่มียันต์แปะไว้มากมาย

    “ข้างในห้องนี้ ชั้นสัมผัสได้ถึงจิตใจที่โศกเศร้า ”

    อาม่าพูดก่อนที่จะบิดกลอนประตู

    “แกร๊ก”

    “ไม่ได้ล็อคเสียด้วย“

    อาม่าหันไปถามทุกคน

    “อาร์ยูเรดี๊?”

    ยูโร่ขานรับตามสไตล์เด็กอนุบาลทั้ง ๆ ที่แววตาและน้ำเสียงของยูโร่เต็มไปด้วยความกลัว

    “เยส”

    อาม่าผลักประตูเข้าไป

    “แอ๊ด”

    และสิ่งที่เห็นทำให้ทุกคนต้องขนลุก เมื่อเจอเตียงคนไข้เตียงหนึ่งตั้งอยู่ที่กลางห้อง และของเส้นไหว้ และตุ๊กตาต่าง ๆ วางอยู่

    “นี่มันแปลกเกินไปแล้ว” อาม่าพูด

    พ่อหันไปเห็นเครื่องเสียงที่เปิดเพลงคลอ ๆ อยู่แล้วเอ่ยทัก

    “มีคนเข้าออกห้องนี้ด้วยนะครับแม่”

    “ทำไมถึงเปิดเพลงเกาหลี” รันสงสัย

    แสงในห้องมีน้อยเพราะม่านหน้าต่างถูกเปิดไว้ด้านเดียว อาม่าจึงเดินเอามือไปรูดหน้าต่างที่ที่ถูกปิดอีกด้านไว้ให้เปิดออก ทันใดนั้น แมวดำตัวเดิมก็กระโดดลงมาตรงหน้าต่างห้อง

    “ตุ้บ!!”

    “ว้ายยยยยย!!!!!”

    อาม่ากรีดร้องอย่างเสียอาการ แต่เมื่ออาม่าตั้งสติได้เธอก็เปลี่ยนสีหน้าทันทีและพูดแบบเรียบ ๆ

    “เจอกันอีกแล้วนะเจ้าแมวโง่”

    “ไม่ต้องมาเก๊กเลยอาม่า เมื่อกี๊ร้องซะแสบหู” รันแซะ

    ช่วงเวลานี้ทุกคนหันไปมองที่เก็นที่กำลังร้องไห้เบา ๆ อยู่

    “ถึงเวลาที่แท้จริงแล้วเก็น ไม่ต้องกลัวนะไม่ว่าหลานจะมองเห็นอะไร เพราะมีม่าอยู่ทั้งคน”

    เก็นเช็ดน้ำตา และเอามือสั่น ๆ ของเขาค่อย ๆ ลดแว่นลง ทุกคนมองหน้าเก็นด้วยความตื่นเต้น

    และตอนนี้หัวใจของเก็นนั้นแทบระเบิด เมื่อเขาเห็นภาพหญิงสาวใส่ชุดคนไข้ เส้นผมยาวปกคลุมใบหน้า ยืนอยู่บนกลางเตียงและดูท่าทางโกรธเกรี้ยว เธอค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมามองเก็นด้วยความเย็นชาและตะโกนเสียงดังว่า

    “ออกไป๊ !!!”

    เก็นก้มหน้าลงทันที และพูดจาด้วยเสียงละล่ำละลัก

    “ใช่แล้วครับ ใช่ผู้หญิงคนนี้!”

    รันหันมองไปที่เตียงแล้วรีบคว้าสร้อยหินของเธอไว้ในกำมือ

    “ด้วยอำนาจของหิน หนูขออนุญาติให้วิญญาณของหญิงสาวที่เฝ้าเตียงนี้เข้ามาในร่าง เพื่อพูดคุยกับพวกเรา”

    ตอนนี้ภาพที่เก็นเห็น คือภาพของวิญญาณที่ยืนบนเตียงกระโดดพุ่งเข้ามาในร่างรันด้วยความเร็วสูง ดวงตาของรันเบิกกว้าง พร้อมกับแสงสีเขียวที่สว่างออกมาจากหินที่คอ

    “เลิกมายุ่งกับชั้นซักที!!”

    ผีสาวตะโกนต่อว่าทันทีเมื่อสิงในร่างของรัน

    “เธอคือน้ำปั่นใช่มั้ย?” อาม่าถาม

    ร่างของรันเอียงคอมองอาม่าด้วยความสงสัย

    “ตั้งใจฟังก่อน พวกเรามาเพื่อพาเธอไปหาชีตาร์น่ะ”

    คำพูดของอาม่าทำให้มีน้ำตาไหลออกมาจากดวงตาของรันอย่างล้นเอ่อ เธอค่อย ๆ ร้องไห้ออกมาก่อนจะพูด

    “ฮือออ แต่หนูไม่เคยออกไปจากเตียงนี้ได้” ร่างของรันคร่ำครวญ

    “ใจเย็น ๆ แม่หนู ก่อนอื่นเลิกทำตัวเป็นผีก่อน แล้วลองสังเกตุร่างกายตัวเองดูว่าตอนนี้เธอเหมือนกับคนแค่ไหน”

    ร่างของรันยกมือสองข้างขึ้นมามองด้วยความแปลกใจ

    “จริงด้วย ทำไมหนูถึงใช้ร่างกายของเด็กคนนี้ได้แบบนี้”

    เธอถามด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตา

    “เธอเล่ามาซิ ว่าทำไมเธอถึงอยู่ที่นี่จนป่านนี้”

    อาม่ารีบเข้าเรื่อง ร่างของรันหยุดคิด และค่อย ๆ เริ่มเล่า

    “หนูจำได้ดีว่า หนูรอพี่ชีตาร์จนหนูตายไป จากนั้นก็ไม่มีใครมาหาหนูอีก แม้กระทั่งพ่อแม่ หรือเพื่อน จะมีก็แต่เจ้าเสือดำเท่านั้นที่อยู่เป็นเพื่อนหนู”

    เธอเริ่มร้องไห้หนักอีกครั้ง

    “เธอหมายถึงแมวตรงหน้าต่างเรอะ?” อาม่าถาม

    “ใช่ค่ะ ตอนที่หนูป่วยอยู่ที่นี่ พี่ชีตาร์ชอบแอบเอาของกินให้มันตรงหน้าต่างตั้งแต่มันเป็นลูกแมว มีแค่แมวตัวนี้เท่านั้นที่มองเห็นหนูตลอดเวลา แม้หนูจะตายไปแล้ว”

    ตอนนี้เจ้าเสื้อดำกำลังเอามือเขี่ยหน้าต่างเล่นกับยูโร่อย่างไม่สนใจใคร

    “สิ่งเดียวที่หนูทำได้ คือพยายามไม่ให้ใครมายุ่งกับเตียงนี้เพื่อรอเจอกับพี่ชีตาร์ เพราะสัญญาที่ให้กันไว้มันคอยมาวนเวียนอยู่ในหัวตลอด ไม่ว่าหนูจะพยายามหนีไปที่ไหน สุดท้ายวิญญาณก็จะถูกดึงกลับมาที่เตียงนี้”

    “สัญญากรรมสินะ เป็นเพราะเธอไม่รู้ว่าคำพูดก่อนตายสำคัญแค่ไหน แต่ไม่ต้องกลัวแล้วล่ะ เดี๋ยวชั้นจะพาเธอออกไปเดี๋ยวนี้” อาม่ากล่าว

    “ยังไงเหรอคะ?”

    “ถ้าอยากเจอกับชีตาร์ พวกเราต้องย้ายเตียงนี้ไปกับพวกเราด้วย”

    คุณพ่ออธิบาย

    “เป็นไปไม่ได้!”

    ร่างของรันส่ายหน้าด้วยความกังวล

    “หมอ.. หมอต้องไม่ยอมปล่อยหนูไปแน่ ๆ”

    “เธอหมายถึงคนที่คอยมาดูแลเธอในห้องนี้ใช่มั๊ย?”

    คุณพ่อถาม

    “ใช่ เค้าเป็นหมอที่รักษาหนู ทุกวันหมอจะเข้ามานั่งคุย และขอร้องให้หนูปรากฎตัวให้เห็น เค้าอยากเจอหนูเหมือนทีคนอื่น ๆ เคยเจอ แต่ว่าหนูไม่เคยยอมให้เค้าเห็น เพราะไม่อยากให้หมอมายุ่งกับหนู เกือบทุกวันหมอจะเข้ามาในห้องที่ถูกปิดตาย และเปิดเพลงที่หนูชอบให้ฟัง”

    “อย่าบอกนะว่าเค้าหลงรักคนที่ตายไปแล้ว”

    อาม่าสงสัย

    “ใช่ค่ะ เค้าสารภาพรักกับหนูที่เตียงนี้วันที่หนูไม่หายใจแล้ว ต่อมาหนูก็คอยขับไล่คนอื่น ๆ ที่จะมานอนเตียงนี้จนห้องถูกห้ามใช้ จนวันนึงโรงพยาบาลมีการเปลี่ยนเตียงของชั้นวีไอพีเป็นรุ่นใหม่ และมีคำสั่งให้เปิดใช้ห้องของหนู แต่เค้าก็แอบเอาเตียงของหนูมาขังไว้ที่นี่อีก”

    “งั้นยันต์ตรงประตูห้องก็คงกลัวเธอจะหนีออกไปสินะ” อาม่าวิเคราะห์

    “ปัง!!”

    เสียงประตูห้องถูกผลักออก

    “นี่มันเรื่องอะไรกัน! พวกคุณเข้ามาที่นี่ทำไม!?”

    คุณหมอคนเดิมโผล่ออกมาโวยวาย

    “หาา.. เป็นหมอเองหรอเนี่ย?” คุณพ่อตกตะลึง

    “ว่าแล้วเชียว ปกติแรื่องแค่นี้ไม่เห็นต้องขู่แจ้งความสักหน่อย”

    อาม่าพูด

    “ผมคงต้องให้ รปภ มาพาตัวพวกคุณลงไปแล้วล่ะ” หมอพูดด้วยใบหน้าซีเรียส

    “เดี๋ยวก่อน หมอจะจับพวกเราข้อหาอะไร?” อาม่าถาม

    “ลักลอบบุกรุกโดยไม่ได้รับอนุญาตไงล่ะ”

    “งั้นชั้นก็จะแฉว่าหมอกักขังวิญญาณหญิงสาว” อาม่าสวน

    “ถ้ายายคิดว่าตำรวจเค้ารับแจ้งความเรื่องผีก็เอาสิ” คุณหมอเถียง

    “งั้นเรากลับกันเถอะ ชั้นแพ้แล้ว” อาม่าหันหลัง

    “แม่! จริงจังหน่อยได้มั้ย?” พ่อเตือนสติอาม่า

    “อย่าทำแบบนี้เลยค่ะ ... ”

    ร่างของรังพูดนิ่ง ๆ และค่อย ๆ เดินเข้ามาหาคุณหมอ

    “ตั้งแต่ตายไป หมอก็อยากเจอหนูมาตลอดไม่ใช่เหรอ?”

    คนเป็นหมอที่ไม่เคยกลัวแม้แต่ศพคนตาย ตอนนี้มือกำลังเริ่มสั่นไม่เป็นท่า

    “นี่มันเรื่องอะไรกัน?” หมอพูดด้วยเสียงสั่นเครือ

    “หนูอยู่ในร่างเด็กคนนี้ หนูรู้ว่าหมอจำเสียงหนูได้ หนูไม่โกรธหมออีกต่อไปแล้วนะที่ถูกขัง“

    คุณหมอเกร็งตัวสั่นและหน้าเริ่มเบะพร้อมน้ำตาที่ไหลออกมา

    “เพราะถ้าไม่มีหมอ .... หนูอาจจะเหงากว่านี้ก็ได้”

    ร่างของรันสวมกอดคุณหมอที่กำลังตัวสั่นไปทั้งตัวและไม่กล้าแม้จะกอดตอบ

    “แต่วันนี้หมอต้องปล่อยหนูไปได้แล้ว”

    “ผมขอโทษ ที่รักษาชีวิตน้ำปั่นเอาไว้ไม่ได้ ผมเสียใจมาก ผมเลยไม่อยากเสียวิญญาณของน้ำปั่นไปอีก”

    หมอพูดพร้อมปล่อยโฮ เพลงจากเครื่องเล่นยังคงบรรเลงคลออยู่ภายในห้อง

    “เวลาหมอคิดถึงหนูก็เปิดเพลงพวกนี้ หาคนรักดี ๆ สักคน แล้วหนูอาจจะมาเกิดเป็นลูกของหมอก็ได้”

    ร่างของรันหลับตาคาอกคุณหมอ พร้อมเสียงสะอึกสะอื้นของหมอ รันลืมตาอีกครั้งโดยไม่มีวิญญาณสิงอยู่ เธอผลักอกคุณหมออกเบา ๆ

    “เรื่องไปถึงไหนแล้วคะ”

    “รอหมอยกเตียงให้เราน่ะ” อาม่าตอบเซ็ง ๆ

    “ตอนนี้คุณคือใคร?” หมอถามรัน

    รันเอามือปาดน้ำตาที่เต็มใบหน้าและมองหมอด้วยดวงตาค้อน ๆ

    “เธอออกจากร่างไปแล้วล่ะ” รันตอบ

    “หมอก็เห็นแล้วว่าพวกเราคือของจริง คงไม่คิดจะต่อต้านแล้วสินะ“

    คุณพ่อถาม

    “พวกคุณคงเอาเตียงนี้ไปจากโรงพยาบาลไม่ได้หรอกครับ?”

    “ว่าไงนะ!!” รันตวาด

    “ผมจะทำเรื่องซื้อขายกับโรงพยาบาลให้ก่อน ไม่งั้นก็กลายเป็นขโมยสิครับ”

    หมอตอบ

    ที่สนามบาสแห่งหนึ่ง สมาชิกและกลุ่มเพื่อน ๆ ของวง Boy Attack กำลังพักผ่อนกันด้วยการเล่นบาสอย่างสนุกสนุกสนานแบบส่วนตัว และมีแฟนคลับสาว ๆ กลุ่มเล็ก ๆ ที่ติดตามมาคอยกรี๊ดอยู่ด้วย ซึ่งตอนนี้พวกแฟนคลับกำลังเม้าท์อย่างสนุกปาก

    “นี่ได้ข่าวเรื่องยัยรันเด็กใหม่มั้ย ว่ามันกิ๊กกับพี่ชีตาร์น่ะ”

    “จะบ้าเหรอ ต่อให้นางเอกที่ดังที่สุดตอนนี้ก็ยังไม่คู่ควรเลย แล้วยัยนั่นเนี่ยนะจะเป็นไปได้”

    ในสนามมีเสียงลูกบาสเดาะกระทบพื้น เสียงชายหนุ่มตะโกนด้วยความสนุก เสียงกรี๊ดของสาว ๆ วัยรุ่น และตอนนี้ชีโต๊สกำลังเดินคุยมือถืออยู่ที่ข้างสนาม

    “ใช่ ๆ สนามนี้แหละ ให้พ่อจอดรถได้เลยเก็น”

    ตอนนี้รถตู้ Ghost Job ขับมาจอดที่สนาม ประตูรถเปิดออก ทุกคนทยอยลงรถลงมา พ่อเดินมาเปิดประตูหลังรถขึ้น ภายในรถได้ถอดเบาะบางส่วนออกเพื่อใส่เตียงคนไข้ไว้ด้านหลัง รันยืนมองเข้าไปในสนามบาส

    “ไม่ไหว ... คนเยอะขนาดนี้หนูไม่กล้าเข้าไปจริง ๆ”

    รันบ่นด้วยความประหม่า

    “แล้วหนูจะทำยังไง” พ่อถาม

    รันเดินขึ้นไปนั่งบนเตียงที่อยู่ท้ายรถแล้วเอามือขึ้นมากำหินคริสตัลที่คอ

    “ให้เจ้าตัวเค้าจบเรื่องนี้กันเองแล้วกัน” รันตอบ

    “ส่งมา ๆ!!”

    ชีตาร์และเพื่อน ๆ กำลังเล่นบาสกันอย่างสนุกสนาน

    “เฮ้ ผู้หญิงคนนั้นใครน่ะ?”

    ผู้เล่นในสนามคนหนึ่งทัก ทำให้ลูกบาสกระแทกหัวชีตาร์เพราะมัวหันไปมอง

    “ตุ้บ!”

    ชีตาร์นั่งเอามือเกาหัวและค่อย ๆ ลุกขึ้นมา ภาพที่เขาเห็นคือรันกำลังเดินเข้ามาในสนามท่ามกลางหมู่ผู้ชายที่กำลังเล่นบาส เธอเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ จนหยุดตรงหน้าชีตาร์และสวมกอด เสียงฮือฮาทั้งในและนอกสนามดังขึ้นทันที

    “นี่แก นั่นยัยรันเด็กใหม่ใช่มั้ย กรี๊ดดดด!! ไม่จริ๊งงงงง”

    ร่างของรันร้องไห้ทันทีเมื่ออยู่ในอ้อมอกของชีตาร์

    “ชั้นคิดถึงเธอมากเลยนะ ชีตาร์ เธอเก่งมากเลยนะ ที่พยายามตามหาชั้นจนเจอกับคนพวกนั้นได้” ร่างของรันพูดไปร้องไห้ไป โดยที่เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของรัน

    “น้ำปั่น!?”

    ชีตาร์เรียกชื่อพร้อมดวงตาที่ถลึงเพราะความตกใจ

    ร่างของรันยิ้มพยักหน้าและยื่นรูปถ่ายให้ชีตาร์

    “ดูสิ รูปนี้ชั้นเอาซ่อนไว้ที่เตียงมาตลอด รูปที่เธอแอบถ่ายกับตึกของค่ายเพลงไง”

    ชีตาร์หยิบรูปถ่ายขึ้นมาดูพร้อมน้ำตาที่ค่อย ๆ หยดลงไปบนรูป

    “ใช่ ชั้นถ่ายไกล ๆ เพราะกลัวว่ายามจะมาไล่น่ะ”

    ชีตาร์พูดแบบยิ้มทั้งน้ำตา

    “แล้วเป็นไง ตอนนี้เธอดังรึยัง?”

    แม้กำลังร้องไห้แต่ร่างของรันก็ถามด้วยรอยยิ้ม

    “ดัง .... ชั้นดังที่สุดเลยล่ะ”

    สองคนกอดกันแน่นและร้องไห้สะอึกสะอื้นจนไม่มีใครกล้าแซวหรือเข้าใกล้

    “แย่แล้ว! .. เหมือนวิญญาณชั้นจะหลุดจากร่างนี้แล้ว!!”

    “น้ำปั่น!!!”

    ชีตาร์ได้แต่เรียกชื่อ และทำอะไรไม่ถูก

    “ไม่ต้องหว่งฉันอีกต่อไปแล้วนะ คนพวกนี้จะส่งชั้นไปที่ ๆ มีความสุขแล้ว”

    พูดจบ ร่างของรันก็โน้มคอชีตาร์ลงมาจูบทันที ทำให้เสียงกรี๊ดและฮือฮาในสนามดังก้องขึ้นอีกครั้ง

    เพียงเวลาไม่กี่วินาที เธอก็ถอนปากออก ทั้งสองมองตากัน

    “จูบนี้เป็นจูบสุดท้ายของชั้น และเป็นจูบแรกของเด็กคนนี้ แบบนี้ก็มีแต่ได้กับได้”

    ร่างของรันยิ้มและพูดต่อ

    “เธอนี่มันโชคดีตลอดเลยนะชีตาร์”

    ทันใดนั้นวิญญาณของน้ำปั่นก็ออกจากร่าง เพียงกะพริบตาหนึ่งครั้งรันก็กลับมาเป็นตัวเอง

    “เอ่ออ ตอนนี้เป็นยังไงบ้างคะ?”

    รันถามทั้ง ๆ ที่แขนยังโอบคอชีตาร์อยู่

    “ก็นุ่มดีนะ”

    ชีตาร์พูดพร้อมรอยยิ้ม

    (โปรดติดตามตอนต่อไป)





Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
jackjackky2529 (@jackjackky2529)
โอยบีบหัวใจ#ฟินสิคะ#รัน
โอ้ เพิ่งจะมาเจอ อ่านเพลินดีครับ รวดเดียวเลยรอตอนต่อไปอยู่นะครับ
Napaporn Walter (@fb1015543754730)
คือกำลังจินตนาการว่าคุณเล่นเป็น
อาม่า555555
Napaporn Walter (@fb1015543754730)
อร๊ากกกกกก
สาบานคุณ ว่าเขียนเอง....ใช่ม๊ายยยยย
ทำไมมันสนุก มันฟิน มันดี
อิจฉามากกกกกกกกก เก่งจัง
nnunoii (@nnunoii)
อะไรคือนุ่มดีนะะะะะ บ้าบอไปหมดแล้ว ฮือ
nnljp (@nnljp)
ต่อเดี๋ยวนี้นะอร้ายยยยเขินชีต้าร์ นี่คิดว่าตัวเองเป็นรันอยู่
โอ้ยยฟิน อยากมีอาม่าแบบนั้นอยากมีเจ้าคุณปู่555+มาแต่งต่อไวๆนะคะ#fc
Koi Finale (@fb5910078077759)
ฟิน~~~รอคอนต่อไป
이은비 (@bubblebee.416)
ก็นุ่มดีนะ กรี๊ดดดดดดดดด เขินอะ มันแฟนตาซี มันน่ากลัว มันน่ารัก แล้วก็ตลก มีหลายอรรถรสมากค่ะ ค้างมากด้วย มาต่อไวๆนะคะะะะะะ
Ankh Sa (@gufewangsana)
จะกลัวหรือจะเขินดีเนี่ย เป็นนิยายที่มีรสชาติแปลกใหม่ #fcม่า