เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
บันทึกเรื่อยเปื่อยpunpun_lawit
หมอนี่
  • หมอนี่เป็นของชำร่วยงานแต่งงานเพื่อนค่ะ เพื่อนแต่งตั้งแต่เดือนมิถุนาปีกลาย แจกต้นไม้ประดับกระถางเล็กๆ หลายพันธุ์ ดิฉันก็ได้ขอให้เพื่อนอีกคนช่วยเลือก “ไอ้ต้นที่ทนที่สุด” มาให้ค่ะ



    พูดตามตรงก็คือ ดิฉันไม่มีประสบการณ์ในการดูแลต้นไม้ นับแต่เด็กจนโต ต้นไม้ต้นเดียวที่เลี้ยงรอดคืออัญชัน  นอกจากนั้นตามรายทางในชีวิตดิฉันเต็มไปด้วยต้นไม้ตาย...

    อืม ถึงจะบอกว่า “มีแต่ต้นไม้ตาย” จริงๆ ก็มีแค่สองต้น เพราะตามความเป็นจริง ดิฉันก็ไม่ได้มีแพชชั่นกับต้นไม้ (คือชอบอยู่ท่ามกลางต้นไม้ แต่ให้ปลูกเลี้ยงก็ไม่สนใจ)

    สองต้นนั้น ต้นแรกคือพริกตุ้มที่น่ารักมากจนอยากได้เมื่อเด็กๆ แต่มันก็เป็นแค่ต้นไม้ที่คนขายอัดปุ๋ยให้สวยๆ เฉพาะตอนขาย เอากลับบ้านไม่นานก็ค่อยๆ เหี่ยวแห้ง ดิฉันตอนเด็กไม่เข้าใจสักนิด แค่อยากได้ไม้กระถางเล็กๆ สวยๆ ไม่ได้อยากเอาพริกไปปลูกลงดินจนเติบโตกลายเป็นมหาพริก ทำไมต้องย้ายมันลงดิน แต่สุดท้ายตอนมันจะตายก็ยอมให้พี่เลี้ยงย้ายลงดินให้ แล้วมันก็ตายอยู่ดี

    กระถางที่สองได้มาตอนช่วงที่จิตตกมากอยู่เชียงใหม่ น้องชายอุตส่าห์ซื้อให้ ชื่อต้นอะไรไม่รู้ มีดอกน่ารักดี แต่ต้นนี้ก็เหมือนพริกตุ้มนั่นแหละ มันถูกอัดปุ๋ยมาให้อยู่ได้พักหนึ่ง จากนั้นก็ต้องย้ายลงดิน ซึ่งดิฉันก็ไม่รู้ คิดว่ามันมาสวยๆ อย่างนี้คงอยู่ในกระถางเล็กได้ ก็ดูแลอย่างดี แต่สุดท้ายมันก็ตายแหงแก๋ไปเพราะดินมันก็มีปุ๋ยอยู่แค่นั้นเอง

    หลังจากนั้นมา ดิฉันจึงติดว่าตูควรเลี้ยงแต่พลูด่าง เพื่อไม่ให้ทำอะไรตายอีก

    จนกระทั่งหมอนี่ปรากฏกาย

    หมอนี่ชื่อต้นอะไรก็ลืมไปแล้ว เขาบอกทนก็เชื่อเขา เอากลับมาอยู่คอนโดด้วยกันตอนนั้นใบใหญ่สวยเต็มกระถาง คิดๆ ดูแล้วคนขายคงอัดปุ๋ยมาดีเหมือนกัน ดิฉันก็เอาไว้ตรงระเบียงตามคำบอกของเพื่อนว่าต้นนี้ต้องโดนแดด

    หมอนี่ถึกจริงๆ นะ อยู่กับดิฉันได้ถึงครึ่งปี แต่พอล่วงเข้าเดือนพ.ย.-ธ.ค. ฮีก็เริ่มทำท่าจะถึงกาลกิริยา ใบเริ่มเหี่ยวไปทีละใบสองใบ ดิฉันหวาดกลัวจนรดน้ำมากไป รากเน่าอีกต่างหาก ก็ยิ่งใบร่วงมากขึ้น

    ดิฉันดูฮีทุกวัน ก็คิดว่า หมอนี่ สงสัยเอ็งจะตายแน่แล้วละมัง คือจะให้ขนกลับบ้านไปให้ที่บ้านเอาลงดิน ก็ไม่รู้หรอกนะว่าหมอนี่จะรอดตายไหม จะให้ซื้อดินซื้อกระถางใหญ่ขึ้นมาย้ายที่คอนโด ก็นึกไม่ออกว่าจะไปซื้อที่ไหน และจะเป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำขนาดไหนเพื่อไม่ให้ต้นไม้ต้นเดียวตาย (แถมตอนนั้นหมอนี่ยังมีความสัมพันธ์กับดิฉันแบบเป็นคนรู้จักกันเฉยๆ ยังไม่ได้เป็นเพื่อนเลยด้วยซ้ำ)

    สุดท้ายดิฉันก็คิดว่า น่าจะต้องใส่ปุ๋ย แต่จะซื้อปุ๋ยที่ไหน หรือใส่อะไรเป็นปุ๋ยได้ ก็คิดไม่ออกอยู่ดี และไม่รู้จะถามใครได้ สรุปก็เลยไม่ได้ทำอะไรต่อไป

    สุดท้ายของสุดท้าย ดิฉันถึงนึกได้ว่านานๆ แถวนี้จะมีงานออกร้าน Farmer’s market และทุกครั้งจะมีลุงคนหนึ่งมาขายต้นไม้กับปุ๋ยขี้ไส้เดือนที่แกทำเอง

    ดิฉันจึงไปหาลุงคนนั้น และบอกแกว่านี่ก็ถามแปลกๆ อะนะ แต่ดิฉันมีต้นไม้ต้นนึงกำลังจะตายค่ะ แต่ไม่รู้จะช่วยมันยังไงดี ขอวิชาลุงหน่อยแล้วกัน 

    ลุงก็บอกว่า ต้นอิหยัง

    ดิฉันก็บอกว่า ไม่รู้อะค่ะ ย้ายกระถางก็ไม่ได้ด้วยนะคะ คือมันอยู่คอนโด

    ลุงก็ดีมาก หลังจากไตร่ตรองด้วยคำอธิบายอันเลือนรางโคตรไม่รู้อะไรเลยของดิฉันแล้ว แกก็บอกว่า อืม มันอยู่หกเดือนโดยไร้การบำรุง ดินคงไม่มีสารอาหารเหลือแล้ว หนูจงเอาขี้ไส้เดือนถุงเล็กสุดนี่ไปใส่ซะ ไม่ต้องย้ายกระถางหรอก ไม้เล็กบางทีก็ไม่ต้องย้าย แต่จงเอาไม้เสียบลูกชิ้นแทงๆ ดินให้มันร่วนๆ หน่อย เพราะบัดนี้ดินคงแน่นแย่แล้ว จากนั้นให้รดน้ำสักเท่าถ้วยน้ำจิ้ม อย่าให้ชุ่มโชกด้วยความขี้เกียจเหมือนคนไทยรดน้ำต้นไม้ทั่วไป ภายในสองอาทิตย์ ต้นไม้ของหนูคงมีความเปลี่ยนแปลงใดๆ บ้างดอกหนา

    ดิฉันจึงซื้อปุ๋ยถุงเล็กสุดของแกมา และจัดการปฐมพยาบาลหมอนี่ไปตามที่แกแนะนำ

    สรุปว่าหมอนี่ก็ไม่ตาย ใบก็เขียวเข้มแข็งแรงขึ้น และที่โกร๋นๆ นั่นก็เริ่มมีตุ่มๆ ทำท่าจะแตกใบใหม่

    ดิฉันคิดว่าต่อจากนี้ดิฉันก็คงไม่เปลี่ยนไปเท่าไหร่หรอก คงไม่บังเกิดความรักใคร่อยากปลูกต้นไม้อย่างบ้าคลั่งเป็นไอ้เด็กติสตู ก็คงเป็นคนไร้แพชชั่นกับต้นไม้แบบนี้แหละ 

    แต่ตอนนี้หลังจากปฐมพยาบาลฟูมฟักหมอนี่ทุกวัน ดิฉันก็คิดว่าเราเป็นเพื่อนกัน ไม่ใช่คนรู้จักแล้ว ดิฉันจึงหวังว่าหมอนี่จะอยู่ไปนานๆ

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in