เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
บันทึกลับเซินเจิ้นSALMONBOOKS
บันทึกที่ 1: Never Winter Night


  • ผมออกจากอาคารผู้โดยสาร ความคิดแรกที่เข้ามาในใจคือ นี่หรือวะ ความหนาวของเซินเจิ้น มันช่างยะเยือกจับหัวใจ หมอกควันลอยคละคลุ้ง ฮิปสเตอร์เหลือเกิน

    ผมมองเห็นเพื่อนที่มารอรับอยู่หน้าอาคารผู้โดยสารได้ในเวลาไม่นาน แม้ว่าเขาจะดูกลมกลืนไปกับลุงชาวจีนกลุ่มใหญ่ที่ยืนตากหมอกในบริเวณนั้นมากก็ตาม

    “เวรกรรมทูไชน่า”

    แม่งน่าจะพูดประมาณนี้แหละ คิดว่านะ คุณปองยังคงช่างสำบัดสำนวนอย่างที่เคยเป็นมา



  • คุณปอง คือเพื่อนคนที่ชวนผมมาเซินเจิ้นครับ ก่อนหน้านี้พวกเราประกอบอาชีพเดียวกัน อาชีพที่ฟังแล้วหรู ดูดี พระเอกละครทุกช่องชอบทำอาชีพนี้ โฆษณาอาหารเสริมสุขภาพกินแล้วไม่ตายก็ชอบใช้อาชีพนี้เป็นสัญลักษณ์ พ็อกเก็ตบุ๊กเกี่ยวกับอาชีพนี้แม่งก็เยอะแข่งกับหนังสือพ่องงงงรวยสอนลูก

    สถาปนิก

    เวลาห้าปีกับอาชีพนี้ในเมืองไทยของผมและปองเริ่มไปไม่ค่อยสวยอย่างที่คิดไว้ แต่จะให้หันไปหางานออฟฟิศก็เงินเดือนถูก ในขณะที่คนอื่นเขาได้กันแพง หันไปหางานเองก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่า วงการนี้มันมีแต่พวกเขี้ยวลากดินตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ ตั้งแต่ผู้ว่าจ้าง ข้าราชการยันผู้รับเหมา และคนงาน

    ความจริงของวิชาชีพไม่ได้สวยงามแบบภาพสถาปนิกณเดชน์ในช่อง 3 ตอนนั้นคุณปองถูกอัปเปหิจากบริษัท ต้องไปทำงานโรงงานถูกระจก จนใกล้จะเสียชีวิตจากภัยความยากจน ในขณะที่ผมก็เริ่มทรุดๆ ทรงๆ และทันใดนั้นก็มีโอกาสหนึ่งลอยมาเข้าทางตีน

    มีรุ่นพี่ชวนรุ่นพี่ไปทำงานเซินเจิ้นแล้วรุ่นพี่ก็ชวนรุ่นน้องไปทำงานแล้วรุ่นน้องคนนั้นก็ชวนคุณปองไปทำงาน

    สิ่งที่ผมและเพื่อนฝูงในฐานะกัลยาณมิตรพอจะทำให้ได้ก็คือการไซโค

    ไซโคมันเข้าไปสิวะ

    เดี๋ยวมึงเจอไข่ปลอมนะ เดี๋ยวโดนขโมยไตนะ เดี๋ยวต้องกินหมานะ

    “กูไม่มีอะไรจะเสีย” คุณปองกล่าวส่งท้ายไว้แค่นี้ก่อนออกเดินทาง

    แม่งพังก์ว่ะ ไปให้สุดขอบฟ้าาาา จะไม่มีวันย้อนมาาาา จะมุ่งไปให้ถึงฝั่ง เสียงเพลงพี่แอ๊ดคาราบาวลอยมาเลย
  • หกเดือนผ่านไป

    คุณปองกลับมา เขาคือคุณปองคนใหม่ คุณปองผู้มัธยัสถ์ได้ตายไปแล้ว ณ วันนั้นที่สนามบินเมืองไทย พวกเราได้พบกับคุณปองคนที่ในแววตามีความหวัง และในกระเป๋ากางเกงมีตังค์

    เงินเดือนของคุณปองที่เซินเจิ้นในตอนนั้นมากกว่าเงินเดือนที่เมืองไทยของเราเกือบสี่เท่า เมืองที่บางคนคิดว่ามันน่าจะคล้ายๆ แม่สายกลับจ่ายให้ได้ขนาดนี้

    ผมได้รับคำชักชวนจากคุณปองว่า ที่นั่นกำลังอยากได้คนไทยเพิ่มพอดี รู้ตัวอีกทีผมก็มาอยู่ที่ประตูอาคารผู้โดยสารขาออกตรงนี้แล้ว

    ผมเดินตามไปอย่างว่าง่าย ฝ่ากลุ่มฝูงลุงออกไป พร้อมเสียงทักทายล้งเล้งมาทางพวกเรา พวกเขาโบกมือโบกไม้ คือพูดอะไรกันวะ ถึงจะฟังไม่ออก แต่ผมรู้สึกได้ถึงสายตาของนักล่า

    “พวกลุงที่มาล้อมๆ นี่คืออะไรวะ?”

    “แท็กซี่่่ป้ายดำ และมึงคือฝรั่งหัวทองที่กำลังเดินอยู่แถวหมอชิต” คุณปองเริ่มต้นให้บทเรียนการเอาชีวิตรอดตั้งแต่นาทีแรกที่ผมก้าวข้ามเส้นเขตแดน

    “กูจะบอกอะไรมึงอย่างนะ บทเรียนภาษาจีนบทที่หนึ่ง ฟังให้ดี และจำให้ได้”

    “อะไรนะ?”

    “ฟังพี่!”


  • “แปลว่าอะไร?”

    “แปลว่า ไม่เอา ไม่รู้ ฟังไม่รู้เรื่อง มึงจำไว้เลย สามคำนี้พอแล้ว คุยได้ทุกสถานการณ์”

    คุณปองเดินนำพลางพูด ปู๋เย่า ปู๋เย่า ฝ่าฝูงลุงไปตลอดทางจนถึงลานจอดรถ

    คนขับรถของออฟฟิศขับพาพวกเราออกไปสู่ตัวเมืองเซินเจิ้นยามค่ำคืนที่หลับใหลกันเกือบหมดแล้ว

    แม้จะเหนื่อยอ่อน ผมก็ยังรู้สึกได้ถึงความกว้างขวาง ใหญ่โต อลังกวยที่กำลังรออยู่เบื้องหน้า

    “ปู๋เย่าอะไรนะ? ใครจะไปจำได้วะ?” ผมคิดพลางมองไปตามแสงไฟ

    รถของเราเคลื่อนผ่านทางด่วน สะพานยักษ์ ป่าเขาลำเนาไพร

    ประมาณครึ่งชั่วโมงผมก็เริ่มเห็นแสงสีจากไฟในตัวเมือง

    ก็ไม่ค่อยเหมือนแม่สายเท่าไหร่นะ



เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in