เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
b-side universe.xxhhhllll
NCT | HRJ x LHC : Not him.


  • Not Him.



    Pairing: Lee Donghyuck | Haechan x Huang Renjun / Huang Renjun x Lee Donghyuck | Haechan


    Genre: Soulmate AU


    Words: 2,400



    “He had me at hello.




    บนโลกที่ทุกสิ่งทุกอย่างถูกกำหนดเอาไว้แล้ว



    เราทุกคนจะมีประโยคคู่ชะตากันคนละหนึ่งประโยค เป็นประโยคแรกที่คู่ชะตาเอ่ยกับคนคนนั้น ด้วยลายมือของฝ่ายนั้น ปรากฏขึ้นบนส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย แต่ไม่ได้หมายความว่าเราต้องครองคู่กับคู่ชะตาเพียงคนเดียวเท่านั้น เพราะบางครั้งเบื้องบนก็อาจเล่นตลกส่งคนที่ไม่ใช่คู่ชะตามาให้ตกหลุมรัก หรืออาจทำให้ได้พบกับคู่ชะตาในวันที่สายเกินไป


    แต่ในกรณีของเขา เบื้องบนส่งคู่ชะตามาให้เขาตกหลุมรัก...




    ประโยคคู่ชะตาของอีแฮชานปรากฏขึ้นที่หัวไหล่ข้างซ้ายตอนเขาอายุสิบสามปี


    เป็นประโยคธรรมดา ๆ ด้วยตัวหนังสือผอม ๆ ที่กดหัวปากกาเส้นเล็กสีดำสนิทสม่ำเสมอ



    “สวัสดี อีดงฮยอก”



    ธรรมดาเสียจนอีแฮชานอดหัวเราะไม่ได้



    อีดงฮยอกเป็นชื่อตั้งแต่แรกเกิด หลังอุบัติเหตุครั้งใหญ่ตอนสิบขวบ เขาเปลี่ยนชื่อเป็นอีแฮชาน ฉะนั้นคนที่จะพูดประโยคแรกเช่นนี้กับเขาต้องรู้จักกันมานานพอ เขาโตพอที่จะรู้ความหมายของประโยคคู่ชะตา แต่เขาไม่สนใจหรอกเรื่องคู่ชะตาอะไรนั่น ถึงแม้จะมีตัวอย่างคู่ชะตาที่ได้ครองคู่ด้วยกันให้เห็นเช่นคู่พ่อแม่ของเขาเองก็ตาม อีแฮชานเชื่อมั่นในความรู้สึกมากกว่าชะตาที่เบื้องบนลิขิต



    สองปีต่อมา อีแฮชานก็ได้เจอเจ้าของประโยคที่ว่า



    เด็กผู้ชายตัวเล็ก ท่าทางขี้อายเดินตามหลังครูประจำชั้นเข้ามาในห้องเรียน ครูเรียกเขาเข้าไปหาเพื่อฝากฝังเพื่อนใหม่ในฐานะที่เขาเป็นหัวหน้าห้อง


    “นี่คือหวงเหรินจวิ้นนะ ดูแลเพื่อนใหม่ด้วย เขาเป็นเด็กต่างชาติ” ครูแนะนำเด็กคนนั้นกับเพื่อนในห้อง ก่อนจะหันมาแนะนำเขากับอีกคน “หวงเหรินจวิ้น นี่คืออีดงฮยอก เป็นหัวหน้าห้อง มีอะไรไม่เข้าใจตรงไหนก็ถามเจ้านี่ได้”


    “ครูเรียกชื่อเก่าผมอีกแล้ว” อีแฮชานท้วงหน้ามุ่ย ในขณะที่ครูหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ



    ...สวัสดี อีดงฮยอก” น้ำเสียงเบาแสนเบาของเพื่อนใหม่ตรงหน้ากลับดังราวฟ้าผ่า อีแฮชานรู้สึกราวกับหัวใจเขาหยุดเต้นไปชั่วขณะ ชาวูบไปทั้งร่าง ประโยคคู่ชะตาตรงหัวไหล่ซ้ายร้อนวาบขึ้นมาทันที



    หวงเหรินจวิ้นยิ้มประหม่าจนเห็นเขี้ยวเล็ก ๆ ข้างซ้าย ดวงตากลม ๆ นั้นจ้องเขาไม่วางตา อีแฮชานเวียนหัวขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ ลมหายใจติดขัด มือไม้เย็นเฉียบ พื้นที่ยืนอยู่โคลงเคลงไม่มั่นคง เสียงในอกจู่ ๆ ก็ดังระรัวขึ้นมาแข่งกับเสียงโหวกเหวกโวยวายภายในห้อง



    สติของอีแฮชานดับวูบ



    บอกเขาทีว่าเขาไม่ได้กำลังตกหลุมรัก…




    ดวงตาสุกใส รอยยิ้มเขินอาย เขี้ยวข้างซ้าย


    หรือประโยคบ้า ๆ ที่หัวไหล่ของเขาเอง.





    หลังจากเป็นลมล้มลงไปกองกับพื้นในการเจอกันครั้งแรกกับ ‘คู่ชะตา’ จนเพื่อนทั้งห้องพากันเฮโลหามเขาไปห้องพยาบาล อีแฮชานก็ได้กลายเป็นเพื่อนสนิทกับคู่ชะตาคนนั้น หวงเหรินจวิ้น เจ้าของรอยยิ้มเขินท่าทางขี้อายในวันแรกที่เจอกัน ที่แท้จริงแล้วเป็นตัวแสบประจำห้อง (ที่ล้อเลียนเรื่องเขาเป็นลมทุกครั้งที่สบโอกาส)


    อีแฮชานไม่ได้บอกใครว่าเขาเจอคู่ชะตาแล้ว เพราะเขาไม่แน่ใจเท่าไรนัก อีแฮชานจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าประโยคแรกที่เขาพูดกับหวงเหรินจวิ้นคืออะไร รู้ตัวอีกทีไม่ว่าที่ไหนคนก็ต้องเห็นอีแฮชานกับหวงเหรินจวิ้นอยู่ด้วยกันเป็นแพ็กคู่ไปแล้ว


    ที่สำคัญ หลังจากตะล่อมถามอย่างแนบเนียน หวงเหรินจวิ้นยังไม่มีประโยคคู่ชะตาปรากฏขึ้นบนส่วนใดของร่างกายเลย และลายมือของอีกฝ่ายก็ไม่ใกล้เคียงกับลายมือของประโยคบนหัวไหล่ซ้ายของเขาสักนิด



    มันชักจะแปลก ๆ นะ



    เอาเถอะ ไม่ว่าหวงเหรินจวิ้นจะเป็นคู่ชะตาของเขาหรือไม่ ความจริงที่อีแฮชานปฏิเสธไม่ได้คือ เขาตกหลุมรักเพื่อนสนิทตัวเองนั่นแหละ


    ในตอนแรก อีแฮชานคิดว่าผลพวงของประโยคคู่ชะตาที่หวงเหรินจวิ้นเอ่ยออกมาอาจจะทำให้เขาเข้าใจผิดไปเองว่ามันคือการตกหลุมรักหรืออะไรคล้าย ๆ กันในความหมายนั้น (อีแฮชานเขินหน้าแดงทุกครั้งที่คิดถึงและรู้สึกว่ารับตัวเองไม่ได้)


    แต่เมื่อได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกัน อีแฮชานค้นพบว่าการละสายตาจากเพื่อนตัวเล็กเป็นสิ่งที่ทำได้ยากยิ่ง การจ้องมองรอยยิ้มกว้างของอีกฝ่ายสร้างความสุขยิ่งกว่าที่เขาเคยได้รับ เสียงหัวเราะสดใสของอีกฝ่ายไพเราะน่าฟังยิ่งกว่าบทเพลงใด ๆ ทุกสิ่งที่เกี่ยวกับหวงเหรินจวิ้นได้สร้างร่องรอยในหัวใจเกินกว่าจะลบออกง่าย ๆ มีอิทธิพลยิ่งกว่าประโยคโง่ ๆ บนหัวไหล่ซ้ายของเขาหลายเท่า



    มันเป็นความพิเศษ


    อีแฮชานยอมรับกับตัวเองว่า นั่นคือความรัก





    “I met my soulmate, but he didn’t.





    ประโยคคู่ชะตาของหวงเหรินจวิ้นปรากฏขึ้นตอนฝ่ายนั้นอายุสิบแปดปี


    และอีแฮชานเป็นคนแรกที่ได้รับรู้



    ตัวหนังสือเป็นระเบียบเรียบร้อย เว้นวรรคช่องไฟสวยงาม เขียนด้วยปากกาสีดำสนิททอดตัวเรียงไปตามท้องแขนข้างขวาของอีกคนเป็นประโยคคำถามที่ฟังไม่เหมือนประโยคแรกที่จะเริ่มต้นคุยกับใคร



    “ปลายทางของรถคันนี้คือที่ไหน?”



    หวงเหรินจวิ้นหัวเราะเสียงสดใส ก่อนจะพูดติดตลกว่า จากนี้ไปจะไม่ขึ้นรถประจำทางแล้ว เดี๋ยวเจอคู่ชะตา


    เสียงหัวเราะของอีกฝ่ายทำให้เขายิ้มตาม แต่ในใจเจ็บแปลบด้วยความผิดหวัง



    ไม่ใช่...จริง ๆ สินะ




    ความจริงอีกข้อที่อีแฮชานเริ่มยอมรับมาสักพัก คือ เขาอาจไม่ใช่ “คู่ชะตา” ของหวงเหรินจวิ้น


    นั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาลำบากใจ เพื่อนตัวเล็กประกาศกร้าวถึงความไม่ศรัทธาในสิ่งใด ๆ ที่เบื้องบนกำหนด หวงเหรินจวิ้นผู้มีปณิธานแน่วแน่ว่าจะครองตัวเป็นโสด เพราะการมีคู่รักนั้นคือคำสาปจากเบื้องบน จำได้ว่าเขาขำกลิ้งกับความคิดของเพื่อนสนิท ก่อนจะโดนอีกฝ่ายถองเข้าที่สีข้างอย่างแรง


    แต่อีแฮชานไม่ปฏิเสธว่าส่วนลึกในใจเขาใช้ประโยคคู่ชะตานั้นเป็นเส้นสายบาง ๆ ยึดโยงเขากับหวงเหรินจวิ้นเอาไว้ เขาคาดหวังอย่างโง่เง่าว่าถ้าเขาเป็นคู่ชะตาของอีกฝ่าย มันอาจเป็นข้ออ้างในการสารภาพความรู้สึกออกไป



    และตอนนี้ ไม่มีข้ออ้างใด ๆ อีกแล้ว




    สุดท้าย อีแฮชานที่เป็นทั้งหัวหน้าห้องและประธานนักเรียน อีแฮชานที่ถ้าตั้งใจแล้วไม่มีอะไรที่ทำไม่สำเร็จ อีแฮชานที่หลงรักเพื่อนสนิท



    ก็เป็นอีแฮชานที่ไม่กล้าสารภาพรัก




    ในวันจบการศึกษา บรรยากาศแห่งความยินดีอบอวล เขากล้ำกลืนความรู้สึกทั้งหมดเอาไว้ ส่งยิ้มกว้างขวางให้พร้อมกับดอกแดฟโฟดิลสีเหลืองสด สดใสและอบอุ่นเหมือนหวงเหรินจวิ้น แทนความรู้สึกลึกซึ้งเข้มข้นของตัวเขาเอง ประโยคสุดท้ายที่พูดก่อนแยกย้ายกันไปเรียนมหาวิทยาลัยเป็นเพียงความห่วงใยในแบบของอีแฮชาน



    “ตื่นไปเรียนให้ทันเถอะ”



    และได้รับกลับมาเพียงคำสบถหยาบคายผ่านเสียงนุ่ม ๆ และอ้อมกอดแนบแน่นของอีกฝ่ายเท่านั้น




    แดฟโฟดิลสีเหลืองและคำพูดตกค้าง.





    งานเลี้ยงรุ่นของโรงเรียนไม่ใช่งานที่น่าพิสมัยนัก แต่อีแฮชานปฏิเสธไม่ได้ อดีตประธานนักเรียนและหัวหน้าห้องทุกชั้นปีจำเป็นต้องมาร่วมงานและประสานงานทุกปี แต่ความพิเศษของปีนี้คือเขาสามารถลากหวงเหรินจวิ้นมาร่วมงานด้วยได้


    แม้ไม่ค่อยได้เจอกัน แต่พวกเขาทั้งคู่ก็ติดต่อกันตลอดสิบกว่าปี



    ในช่วงแรก ๆ ที่แยกกัน อีแฮชานวุ่นวายใจเล็กน้อยถึงปานกลางเรื่องคู่ชะตาของหวงเหรินจวิ้น ใจคับแคบของเขากลัวว่าอีกฝ่ายจะได้พบกับคู่ชะตาของตัวเองเข้าในสักวัน



    สักวันที่ไม่มีเขาอยู่ตรงนั้นด้วยแล้ว



    จนแล้วจนรอด หวงเหรินจวิ้นก็ไม่มีทีท่าว่าจะเจอกับคู่ชะตาแต่อย่างใด (อีกฝ่ายยังอุตส่าห์ขอที่บ้านใช้รถส่วนตัว เพื่อที่จะไม่ต้องขึ้นรถประจำทางอย่างที่เคยออกปากไว้)



    ชีวิตประจำวันที่หนักหน่วงขึ้นอาจทำให้อีแฮชานไม่มีเวลาใส่ใจความเป็นไปของอีกฝ่ายมากนัก

    เขาอาจจะอายุมากขึ้น พบพานเรื่องราวที่หนักหนาขึ้น พบเจอผู้คนหลากหลายขึ้น



    แต่ความรู้สึกต่อหวงเหรินจวิ้นนั้นไม่เคยเจือจางลง



    หวงเหรินจวิ้นในวัยสามสิบยังคงโดดเด่นในสายตาเขา รอยยิ้มกว้างเผยให้เขี้ยวข้างซ้าย หัวใจเขายังคงเต้นแรงเหมือนเช่นครั้งแรกที่ได้เจอกับอีกฝ่าย ราวกับได้พบกับเด็กผู้ชายตัวเล็กท่าทางขี้อายคนนั้นอีกครั้ง



    เกินสิบปีที่ตกหลุมรักหวงเหรินจวิ้นมาตลอด



    รักข้างเดียวของอีแฮชานควรจบลงหรือยัง



    หลังจากวิ่งวุ่นทั้งงาน อีแฮชานก็ถูกหวงเหรินจวิ้นดึงแยกออกมานั่งในสวนด้านนอกเคล้ากลิ่นจาง ๆ ของดอกไม้ที่เขาไม่ทราบชนิดและรสชาติหวานนุ่มลิ้นของบรั่นดี ปล่อยให้ใครสักคนจัดการกับความอึกทึกครึกโครมในงานไป หวงเหรินจวิ้นบ่นอุบว่าอุตส่าห์มาก็เพราะอยากเจอเขา ทำไปทำมากลับแทบไม่ได้คุยกันด้วยซ้ำ



    อีแฮชานอมยิ้ม จิบบรั่นดีในมือ ความอ่อนหวานอาบเครือไปทั่วร่าง



    “ได้เจอกับคนคนนั้นหรือยัง” คนคนนั้นที่หมายถึงคู่ชะตา


    “ไม่เจออะไรทั้งนั้นแหละ” อีกฝ่ายกระดกเครื่องดื่มหมดแก้ว จากนั้นเป็นการโอดครวญถึงความต้องการครองตัวเป็นโสด แต่พ่อกับแม่ไม่เข้าใจและพยายามจะจับคู่ให้



    อีแฮชานยิ้มรับ



    ไม่เปลี่ยนไปเลย ตัวแสบประจำห้องที่ประกาศกร้าวถึงทัศนคติต่อคู่ชะตาและปฏิเสธทุกคำสารภาพในวันวาเลนไทน์อย่างเฉยชามาตลอด



    นั่นก็เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้เขาไม่กล้าสารภาพ


    แต่ไม่ใช่ในคืนนี้



    “หวงเหรินจวิ้น เราเป็นเพื่อนกันมากี่ปีแล้วนะ”



    “อยู่ ๆ ถามทำไม”



    “เราไม่เคยมีความลับต่อกัน”



    หวงเหรินจวิ้นพยักหน้า



    “แต่ฉันมี” อีแฮชานสบตาอีกฝ่าย โทษความอบอุ่นหอมหวานที่เจืออยู่ในร่างกายที่ทำให้เอ่ยออกไปแผ่วเบา ทว่าหนักแน่น “ฉันชอบนาย”



    “หา” หวงเหรินจวิ้นขมวดคิ้วแน่น แววตาเลิ่กลั่ก วางแก้วเครื่องดื่มลงบนโต๊ะเสียงดัง “ตั้งแต่เมื่อไร”



    “นานเท่ากับที่เราเป็นเพื่อนกันมา”



    ความเงียบโรยตัวลงมาเชื่องช้า ความประดักประเดิดคล้ายแผ่กระจายไปทั่ว อีแฮชานสบตาดวงตากลม ๆ ของอีกฝ่าย มองเห็นความจริงที่เขารู้อยู่แล้ว เขารู้มาตั้งนานแล้ว



    “แล้วตอนนี้ล่ะ”



    “ไม่แล้ว แค่เคยแอบชอบนายตอนสมัยเรียนน่า”



    เขาโกหก



    “แล้วคิดยังไงถึงได้บอก”



    “มันก็นานแล้วนี่ ไหน ๆ ก็ได้มาเจอแล้ว บอกออกไปก็สบายใจดี” อีแฮชานหัวเราะแก้เก้อพลางคลึงแก้วในมือเล่น



    “โล่งไหมล่ะ”



    “มาก ๆ เลย เหมือนคนท้องผูกแล้วขี้ออกในที่สุด” อีแฮชานขยิบตา



    “ไอ้เวร! เสียมู้ดหมด” หวงเหรินจวิ้นด่ากลั้วหัวเราะก่อนจะสวมกอดเขา



    “นายเป็นเพื่อนที่ดีมาก ๆ แฮชาน อาจจะฟังดูน่าขนลุก แต่ขอบใจที่เคยชอบฉันและดูแลฉันมาตลอดเวลาที่เรียนอยู่ที่นี่” น้ำเสียงนุ่มนวลของอีกฝ่ายราวกับกำลังปลอบประโลม “แล้วก็ขอบใจมาก ๆ ที่พูดมันออกมา”




    บรั่นดีรสนุ่ม กลิ่นหอมหวานน่าหลงใหล


    และรักครั้งแรก.




    หวงเหรินจวิ้นกลับไปก่อนแล้ว ทิ้งเขาไว้กับแก้วบรั่นดีว่างเปล่าข้างตัวและคำสารภาพรักที่ล่าช้าไปเป็นสิบปี ทิ้งสัมผัสอุ่น ๆ หลงเหลือไว้บนผิว ทิ้งกลิ่นหอมบางเบาให้โอบกอดเขาไว้ในความทรงจำสมัยเรียนและคำปฏิเสธแสนใจดีของเจ้าตัว




    ไม่มีน้ำตา ไม่มีความฟูมฟาย เขาอาจโตเกินกว่าจะคร่ำครวญถึงรักที่ไม่สมหวัง


    แค่เจ็บหนึบ ๆ เหมือนเช่นที่เป็นมาตลอด




    โล่งหรือ...ก็ใช่ แต่ที่มากกว่านั้น คือ คำพูดของหวงเหรินจวิ้นยิ่งทำให้รู้สึกว่าดีแล้วที่ตัดสินใจพูดออกไป


    ราวกับได้รับการโอบกอดเข้ามาถึงในหัวใจที่เหี่ยวเฉา



    หวงเหรินจวิ้นที่ยังคงมีอิทธิพลต่อหัวใจของเขาเสมอมา



    ไม่ว่าอย่างไร สำหรับอีแฮชาน หวงเหรินจวิ้นก็คือ “คู่ชะตา” ของเขาอยู่ดี




    อีแฮชานเผลอลูบประโยคคู่ชะตาที่หัวไหล่ข้างซ้ายผ่านเสื้อเชิ้ตเนื้อดี



    นึกสงสัยว่าเบื้องบนรู้ตัวหรือไม่ว่าทำอะไรลงไปบ้าง เบื้องบนที่ว่านั่นรู้หรือไม่ว่าเล่นตลกกับชีวิตของเขามากเพียงใด




    เขาถอนหายใจยาว คงต้องเรียกพนักงานขับรถมาแทน เพราะแม้จะไม่ได้ดื่มเข้าไปเยอะ แต่ค่ำคืนนี้หนักหนาสำหรับเขาเอาการ เขาอยากมีเวลานั่งเงียบ ๆ ปล่อยให้ความคิดลอยล่องไปที่ใดสักแห่งโดยไม่ต้องสนใจสิ่งอื่น




    อีแฮชานลุกขึ้นยืนช้า ๆ ในมือกดโทรศัพท์หาหมายเลขพนักงานขับรถ


    น้ำเสียงนุ่มลึกไม่คุ้นเคยดังขึ้นจากด้านหลัง



    อีแฮชานชาวาบไปทั้งร่าง




    “สวัสดี อีดงฮยอก”.






    เป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้นเท่านั้น

    Just my imagination, please don’t take it seriously.

     

    #wtobuniverse



    หมายเหตุ

    • Soulmate AU เป็น alternate universe ที่แตกแนวคิดมาจากความเชื่อจำพวกคู่แท้จะมีเส้นด้ายสีแดงพันอยู่ที่ปลายนิ้วก้อยของแต่ละฝ่าย Soulmate AU มีหลายแนวคิด ตั้งแต่การมีชื่อของคู่ชะตาอยู่บนร่างกาย ประโยคแรกของคู่ชะตา หรือว่าการได้ยินความคิดของคู่ชะตา
    • ยืมคำว่า “คู่ชะตา” (soulmate) มาจากคุณปิยะรักษ์ (@piyarak_s) เพราะไปอ่านเจอคำนี้ในงานโซลเมทเอยูของคุณปิยะรักษ์แล้วรู้สึกว่าเป็นคำที่สวยมาก ๆ เลยขอยืมมาใช้ :)
    • Inspired by the question “Describe the member in different words.” in Chicteen Interview — Haechan to Renjun: Soulmate.
      Chicteen Interview Translation from https://fullsunhaechan.tumblr.com/post/165930029946/translation-chic-teen-2017-october-issue


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in