เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Music speaks for me.puroii
Oasis : Supersonic พายุหมุนแห่งวงการเพลง
  • Oasis : Supersonic

    Mat Whitecross


    เราไม่เคยเข้าใจเลยว่าทำไมคนถึงอยากสร้างไทม์แมชชีน อยากย้อนเวลาไปในอดีตเพื่อไปหาอะไรก็ตามที่ผ่านมา เราไม่เคยเข้าใจเลยว่าทำไมคนเราถึงอยากกลับไปแก้ไขสิ่งที่เคยเกิดขึ้นแล้วและเปลี่ยนแปลงไม่ได้ในปัจจุบัน เราไม่เคยเข้าใจจนกระทั่งได้มารู้จักกับพวกเขา

    เราไม่ได้โตมาในยุคที่ Oasis รุ่งเรือง ถ้าจะพูดถึงความโด่งดังของพวกเขา เราก็ไม่อินอะไรด้วยสักเท่าไร เพราะเราไม่เข้าใจ เราไม่เห็นภาพ ใช่ ปาร์ตี้มันจบไปแล้ว และเราก็มาสายไป

    Oasis: Supersonic เล่าเรื่องราวอันน่าอัศจรรย์ของวงดนตรีในตำนาน ตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงจุดสูงสุดของวงด้วยลีลาการเล่าเรื่องที่สนุกชวนน่าติดตาม การตัดต่อที่พอดิบพอดี และบทเพลงที่ตราตรึงใจ เราเข้าไปอย่างคนแปลกหน้า แต่กลับออกมาด้วยการเป็นแฟน ถ้าเปรียบเทียบตัวเองกับแก้วน้ำแก้วหนึ่ง ก่อนดูเราก็เหมือนแก้วน้ำที่ตกตะกอนแยกชั้นชัดเจน แต่พอดูจบ เหมือน Oasis เข้ามาคนแก้วให้น้ำมันขุ่น แล้วบอกกับเราว่าไม่มีอะไรถูกหรือผิดเสมอไปหรอก ชีวิตมันคือทุกอย่างรวมกัน

    หลายคนได้กล่าวถึงความยิ่งใหญ่ในฐานะวงดนตรีของพวกเขามามากแล้ว แต่เราขอเลือกแบ่งปันสิ่งที่เราดูแล้วฉุกคิดขึ้นมาได้ก็แล้วกัน

     

    Oasis ไม่ใช่แค่วงดนตรี แต่ Oasis คืออัตลักษณ์


              เราไม่ได้รู้สึกว่า Oasis เป็นแค่วงดนตรีธรรมดาทั่วไป ไม่ได้แค่ฟังเพลงแล้วหันไปพูดกับเพื่อนว่า เออ เพราะดีนะ แล้วบทสนทนาก็จบลง แต่เรารู้สึกว่า Oasis มีเลือดเนื้อ มีตัวตน เป็นวงดนตรีที่มีมิติ ต้องยอมรับว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะเรื่องราวของสองพี่น้องกัลลาเกอร์ อย่างที่เลียมบอกนั่นแหละว่าถ้าทำตัวธรรมดาเหมือนวงทั่วไปมันน่าเบื่อ เลียมก็ไม่ได้พูดอะไรผิด เพราะ Oasis เหมือนสร้างแบรนด์ทางการค้าของตัวเองขึ้นมา สร้างเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครและนั่นมันทำให้พวกเขาน่าสนใจมากขึ้น คิดดูว่าเราจะสามารถเห็นพี่น้องคู่ไหนทะเลาะกันออกสื่อได้มากเท่านี้อีก ความแตกต่างของสองคนนี้ทำให้พวกเขาเสริมกันและกันได้อย่างลงตัว แต่ในขณะเดียวกันก็หักล้างกันเอง อย่างที่โนลบอกว่า โนลเป็นเหมือนแมวส่วนเลียมเป็นเหมือนหมา โนลมีปุ่มมากมาย และเลียมก็มีนิ้วไว้กดปุ่มพวกนั้น สิ่งที่ดีคือพวกเขาไม่พยายามที่จะซ่อนความสัมพันธ์ที่แตกหักไว้ แต่เปิดเผยมันต่อทุกคน พวกเราเลยรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งกับพวกเขาและทำให้พวกเขาดูเข้าถึงง่าย แต่ด้วยสาเหตุนี้ มันก็สร้างทั้งข้อดีและข้อเสียให้กับวง Oasis กลายเป็นเหมือนวงของทั้งสองคน ไม่ว่าใครในวงจะหมุนเวียนเปลี่ยนกันไปแค่ไหน ทั้งสองคนก็ยังอยู่ตรงนั้น และเมื่อไรที่สองคนนั้นแยกออกจากกัน Oasis ก็ไม่สามารถเรียกว่า Oasis ได้อีกต่อไป และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นและจุดจบของทุกอย่าง

    สำหรับเรา Oasis เปรียบเสมือนหนังเรื่องหนึ่งที่มีสกอร์ประกอบเจ๋ง ๆ ในขณะที่วงอื่นเป็นเพียงแผ่น OST ที่ขายแยก ซึ่งมันก็ไม่ได้แย่ แต่แค่ขาดเรื่องราวที่น่าติดตาม

     

    เสรีภาพอาจไม่อยู่ในมืออเมริกาแต่อยู่กับเลียม กัลลาเกอร์ 

    (เปล่าการเมืองนะ)


       หลายคนก็รู้ว่าหมอนี่มันบ้าระห่ำเต็มที่กับชีวิต ทำตัวนักเลงปากพล่อย เสพยา ถูกจับเข้าคุกเข้าตาราง และวีรกรรมอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งเราไม่อิจฉาเลียมเรื่องนั้นหรอก ไม่ใช่ตัวอย่างที่ดีด้วย แต่ที่อิจฉาคือ การซื่อตรงต่อตัวเอง ของเลียม หลายคนรวมถึงเราก็คงทำไม่ได้ถึงขนาดนั้น แน่นอนว่าตรงเกินไปก็ไม่ดีเพราะมันก็ล้นไปหน่อยอย่างที่เห็น แต่เอาเข้าจริงมันคงรู้สึกดีไม่น้อยที่ได้ซื่อสัตย์กับตัวเองจริง ๆ จะพูดอะไร ทำอะไร ก็ไม่ต้องมาเสแสร้งแกล้งทำ คนอาจจะรับไม่ได้ในพฤติกรรมแบบนั้น สังคมเรามันถูกบิดเบือนด้วยภาพลวงตาเพราะมนุษย์เรามักกลบสิ่งไม่ดีไว้ภายในและไม่แสดงออกให้ใครเห็น แต่สำหรับเลียมแล้วนั้น ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ โกรธก็คือโกรธ ทุกอย่างตรงไปตรงมา เลียมเลยอาจกลายเป็นคนหนึ่งที่พูดมากไป แสดงออกมากไปในสังคมปัจจุบัน แต่เราอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอิจฉาคนที่สามารถทำอะไรอย่างที่ตัวเองอยากทำ ได้ทำสิ่งที่หลายคนคิดว่าไม่ถูกโดยที่ไม่จำเป็นต้องสนใจคนอื่นบ้างก็ได้มันคงจะรู้สึกดีไม่น้อยเลยใช่ไหมล่ะ อย่างที่เลียมว่า “To me, it felt right.” บางทีสิ่งที่ถูกต้องของคนอื่น อาจไม่ใช่สิ่งที่ใช่สำหรับเรา แล้วถ้าเราจะตามใจตัวเองบ้าง มันจะเป็นอะไรไป

     

    Fifty Shades of Noel Gallagher

    โนลอาจจะดูเหมือนเป็นคนปากคอเราะร้าย บึ้งตึงใส่ทุกอย่างบนโลกใบนี้ แต่ถ้าลองพิจารณาดี ๆ แล้ว โนลมีความคิดความอ่านที่น่าสนใจมากในหลาย ๆ แง่มุม

    อย่างที่รู้ว่าโนลโดนพ่อทำร้ายร่างกายมาตลอดตั้งแต่เด็ก แต่โนลบอกว่า

    “ผมไม่ค่อยอยากพูดเรื่องนี้เพราะมันไม่ใช่ธุระกงการอะไรของคนอื่น และจะให้เรื่องแบบนั้นมากระทบกับชีวิตไม่ได้ เพราะทั้งชีวิตเราก็แบกรับอะไรไว้มากแล้ว”

    คนที่มีความคิดแบบนี้ได้คงผ่านเรื่องเลวร้ายมาจนปลง มองย้อนกลับไปก็ไม่คิดโกรธแค้นเพราะมันเป็นเรื่องที่ไม่มีประโยชน์กับชีวิต โนลเลือกที่จะไม่ look back in anger แล้วมองเห็นสิ่งดี ๆ ในประสบการณ์ที่เลวร้ายแทน โนลยังบอกอีกว่า

     “ผมคิดว่ามันดีต่อผมตรงที่ทำให้ผมได้หลบเข้าไปอยู่ในโลกของตัวเอง ผมคิดว่าตาแก่ของพวกเราคงตบตีความสามารถเข้ามาในตัวผม”

    เราประทับใจการมองโลกแบบนี้ของโนล แทนที่จะมองว่ามันเป็นปมด้อยของตัวเอง แต่โนลกลับพลิกมันให้กลายเป็นเรื่องดี ๆ ขึ้นมาได้ ซึ่งมันเหมาะกับนักดนตรี กับการสร้างสรรค์งาน นักดนตรีส่วนใหญ่ก็สร้างงานจากประสบการณ์ชีวิต ซึ่งมีคนบอกว่าตอนเรามีความสุข เราไม่ค่อยอยากพูดถึงหรือแต่งมันออกมาเป็นเพลงหรอก แต่เป็นตอนที่เราเสียใจต่างหาก เพียงแต่เราจะฟูมฟายกับมันไม่ได้ เราต้องแยกอารมณ์ออกมาแล้วมองมันด้วยสายตาของบุคคลที่สาม (ไม่มีใครพูดหรอก จริง ๆ เราพูดเอง 5555) แต่จริง ๆ แล้วมันก็เป็นเรื่องที่เศร้าเหมือนกันนะ ตอนดูความรู้สึกที่แวบเข้ามาตอนแรกคือประหลาดใจ จากนั้นก็ประทับใจ แต่พอมองลึกลงไปจะเริ่มเห็นใจและกลับไปหดหู่แทน ความรุนแรงในครอบครัวไม่ควรเกิดขึ้นกับใครทั้งนั้นและเราคิดว่ามันส่งผลกับพฤติกรรมการแสดงออกของพี่น้องคู่นี้ตอนโตด้วย

    แต่อย่างที่โนลว่า “สุดท้ายเรื่องพวกนั้นมันไม่มีความหมายอะไรหรอก เมื่อทุกอย่างจบลง สิ่งที่ยังคงเหลืออยู่มีเพียงแค่บทเพลงเท่านั้น” สุดท้ายชีวิตก็ดำเนินต่อไป อดีตเป็นเรื่องที่แก้ไขไม่ได้ แต่เราเอามาสร้างอนาคตที่ดีกว่าได้  


    สำหรับเรื่องดนตรี ประโยคที่โนลพูดว่า “ไม่ได้มานั่งคิดหรอกว่าสักวันมันจะเป็นผม แต่คิดว่าผมต้องไปถึงจุดนั้นแน่นอน” กับ “ผมรู้ตั้งแต่ยังไม่แต่งเพลงนี้เลยว่ามันจะเป็นเพลงฮิต”  โอ้โห ฟังดูน่าหมั่นไส้เหลือเกิน หลายคนคงคิดว่าจะพูดโม้แบบนี้ก็พูดได้นี่ ก็ประสบความสำเร็จไปแล้ว เราเองก็ไม่รู้หรอกว่าตอนนั้นโนลคิดแบบนั้นจริงหรือเปล่า แต่ในคำพูดนั้นเรามองเห็นความมั่นใจ ซึ่งมันเป็นแรงขับเคลื่อนที่ดีในการทำอะไรบางอย่าง เหมือนกับพูดว่า “สอบครั้งนี้ได้ A แน่นอน” เฮ้ย! ไปเอาความมั่นใจขนาดนั้นมาจากไหน ข้อสอบก็ยังไม่เคยเห็น แต่บางทีมันก็เป็นเรื่องของสปิริต ถ้าเรามีกำลังใจที่ดี ผลลัพธ์มันมีแนวโน้มที่จะออกมาดีกว่า แต่นั่นหมายความว่าคุณต้องพยายามทำมันด้วยตัวคุณเองด้วยนะ ไม่ใช่เพียงแค่ลมปาก และโนลก็ทำได้จริง ๆ


     _______________________________ 


    เราไม่ได้จะมาชี้นำให้ทำตัวแบบใคร แต่อยากให้ทุกคนได้ซึมซาบและเรียนรู้การใช้ชีวิตของคนอื่นเพื่อเป็นตัวอย่างทั้งในทางที่ดีและไม่ดีให้กับตัวเอง เราว่าหลายคนที่ดูก็มีวิจารณญาณและความเป็นผู้ใหญ่มากพอที่จะหยิบสิ่งที่พวกเขาสื่อไปใช้ในทางที่เหมาะสมได้ เราคิดและหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกคนจะรู้สึกกับเรื่องราวของพวกเขาเหล่านี้ในทางที่ทำให้ทุกคนเปลี่ยนไปเป็นคนที่ตัวเองอยากจะเป็นได้ในอนาคต ขอบคุณ Documentary Club ที่เอา Oasis : Supersonic เข้ามาฉายให้ได้ดูกัน ขอบคุณอะไรก็ตามที่ทำให้เราได้รู้จัก Oasis แล้วก็ขอบคุณทุกคนที่อ่านมาถึงตรงนี้ด้วย ขอให้ทุกคนรู้สึกซูเปอร์โซนิกในทุก ๆ วัน


    สามารถไปพูดคุยกันได้ที่ @PuRoii

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
jandthisworldd (@jandthisworldd)
อ่านแล้วชอบมากเลยค่ะ รู้สึกแบบ โห อย่างเจ๋ง! ขอบคุณสำหรับบทความดีๆนะคะ