เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Run Me to the MoonTomorn
03: เหตุแห่งการวิ่ง
  • 1

    เหตุผลที่ผมเริ่มวิ่งนั้นง่ายนิดเดียว

    ผมอาจจะบอกคุณก็ได้ว่าผมอยากรักษาสุขภาพ อยากหุ่นดี มีเพื่อนกระตุ้นให้วิ่ง หรือแม้กระทั่งเหตุผลทางปรัชญาร้อยแปดที่จะพาผมวิ่งไปได้จนถึงดวงจันทร์ แล้วถ้าพลาดก็ยังได้อยู่ท่ามกลางดวงดาว (เอิ่ม...เข้าใจว่าดวงดาวอยู่ไกลกว่าดวงจันทร์นะ คิดว่าถ้าพลาด น่าจะตกลงมาอยู่ใต้บาดาลมากกว่า) 

    แต่เอาจริงๆ นะครับ เหตุผลที่ผมเริ่มวิ่งนั้นน่าจะเป็นเพราะผม-กลัว-ตายมากกว่าอย่างอื่น

    ชั่วชีวิตที่ผ่านมา ผมไม่ค่อยป่วยไข้ได้เจ็บอะไรรุนแรงกับใครเขาสักเท่าไหร่ เคยปวดท้องหนักอยู่ทีเดียว แล้วคุณหมอก็จับขึ้นเขียงผ่าตัดไส้ติ่ง แต่นั่นก็ไม่ใช่การผ่าตัดใหญ่โตอะไร ตอนสลบอยู่ก็ไม่ได้ฟื้นขึ้นมาให้ใครต้องโกลาหล ไม่ได้มีประสบการณ์วิญญาณออกนอกร่างแต่ประการใด แค่วูบหายไปแล้วก็ฟื้นตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการเจ็บท้องและได้ยินคุณหมอบ่นเป็นคำแรกว่าเหนื่อย

    ใช่ครับ—เหนื่อย!
  • อีตาหมอบ้าผู้มีพระคุณนั่นบอกผมว่า—ชั้นไขมันหนาจังเลยนะ หมอเนื้อยเหนื่อย กว่าจะผ่าพุงลงไปถึงไส้ติ่งได้น่ะ เล่นเอาหมอหอบเลย

    ฟังแล้วผมไม่รู้จะคิดยังไงดี เจ็บแผลก็เจ็บ ขำก็ขำ ฉุนก็ฉุน แหม! มาหาว่าเราอ้วน!

    คุณหมอบอกว่า ถ้าเป็นไปได้ หลังจากแผลหายแล้วขอให้ออกกำลังกายบ้าง และการออกกำลังกายที่ดีที่สุดก็คือการวิ่งนี่แหละ

    ตอนคุณหมอบอกอย่างนั้น เชื่อไหมครับว่าภาพของหนุ่มเกาหลี (ที่ปรากฏกายในตอน 1) ผุดแวบขึ้นมาในหัวผมเลย จริงด้วย—การวิ่งนี่มันทำให้พุงยุบจริงๆ

    ด้วยเหตุนี้ ผมจึงตั้งใจมาตั้งแต่บัดโน้น...ว่าตูจะต้องวิ่งให้จงได้สิน่า

    แล้วก็ใช่สิครับ...มันคือสัญญาลูกผู้ชาย มันคือสัญญาแห่งชีวิต มันคือสัญญาแห่งคนอ้วน และ...มันคือสัญญาปากเปล่า

    สรุปก็คือ เค้าไม่ได้วิ่งแหละตัวเอง!
  • 2

    อ้าว! แล้วที่บอกว่ากลัวตายนี่มันเกิดตอนไหนหรือ

    เหตุการณ์ที่ทำให้นึกถึงความตายนั้นเกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัวหรอกนะครับ 

    อย่างที่บอกว่าปกติแล้วผมไม่ค่อยเจ็บไข้ได้ป่วยอะไร เป็นข้งเป็นไข้กินยานิดหน่อยก็หาย ส่วนใหญ่ซื้อยาจากร้านขายยาด้วยซ้ำ คือคิดว่าตัวเองเก่ง วินิจฉัยโรคเองได้ ปวดหัวแบบนี้ต้องกินยาอันนั้น ปวดหัวแบบนั้นต้องกินยาอันนี้ โอย...สารพัดจะเป็นหมอตี๋ให้ตัวเอง

    แต่อยู่มาวันหนึ่ง ผมเกิดเป็นไข้ขึ้นมา คราวนี้กินยาแล้วไม่หาย แถมยังเป็นช่วงที่ไวรัสอะไรสักอย่างกำลังระบาดเสียด้วย ไม่รู้แหละว่าไข้หวัดนก โรคซาร์ส หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ไม่ใช่ไข้หวัดหมู (ชื่อที่เรียกกันตอนนั้นน่ะนะครับ) เพราะไข้หวัดหมูหรือ swine flu นั้นมันระบาดช่วงหลังแล้ว (เห็นหรือยังว่าแก่แค่ไหน!) 

    พอเป็นไข้แล้วกินยาไม่หาย ซ้ำร้ายยังเพิ่งกลับจากต่างประเทศอีก ก็เลยต้องรี่ไปโรงพยาบาล ใจก็คิดว่า โอ๊ย! ไปโรงพยาบาลแป๊บเดียวเดี๋ยวก็กลับแล้ว หมอคงให้ยามากิน หรืออย่างมากก็แค่ฉีดยา เพราะไม่ได้ล้มหมอนนอนเสื่ออะไร

    แต่ปรากฏว่าพอพยาบาลวัดความดันเข้าให้เท่านั้นแหละ คุณพยาบาลก็ทำหน้าตระหนกตกใจประหนึ่งเห็นหมี เอ๊ย! ผี เอ๊ย! เทวดา—มาปรากฏต่อหน้าให้ขอหวยก็ไม่ปาน เสร็จแล้วก็รีบโทรศัพท์ไปตามเตียงคนไข้มาในฉับพลัน แล้วบอกให้ผมนอนบนเตียงอย่าขยับเขยื้อนไปไหนทีเดียวเชียว ขอให้ทำใจดีๆ เอาไว้ แล้วก็บอกผมว่าคุณหมอต้องให้แอดมิตแน่ๆ

    เฮ้ย! นี่ตูเป็นอะไรไปหรือนี่ มะเร็งเรอะ เบาหวาน หัวใจวาย ตับปอดไตม้ามเซี่ยงจี๊ชำรุดหรืออย่างไรกัน
  • คำตอบของพยาบาลก็คือ ความดันของผมนั้นสูงส่งมาก สูงจนถึงระดับสตราโทสเฟียร์น่าจะได้ เพราะมันดันทุรังขึ้นไปสูงถึง 200/160 อย่างกับกินทุเรียน เลยถึงบางอ้อว่าที่คุณพยาบาลบอกว่า อย่าขยับตัวแรงนะคะ เพราะเป็นไปได้อย่างยิ่งที่เส้นเลือดมันจะแตกที่ไหนสักแห่ง แล้วถ้ามันแตกขึ้นมาละก็คุณเอ๋ย...เรื่องใหญ่ทีเดียวเชียว

    ผลสุดท้ายก็คือ ผมต้องนอนโรงพยาบาล พร้อมกับมีเครื่องวัดความดันติดตัวไปตลอดสองสามวัน 

    ไอ้เจ้าเครื่องที่ว่านี้มันจะคอยบีบแขนวัดความดันของผมทุกๆ ครึ่งชั่วโมง เล่นเอานอนไม่หลับกันเลยทีเดียว เพราะพอเคลิ้มจะหลับ เครื่องมันก็บีบปรี๊ดขึ้นมา แล้วเครื่องวัดความดันน่ะมันไม่ได้บีบเบาๆ แบบผ่อนคลายนะคุณ มันบีบอย่างกับคีมใครจะไปนอนหลับไหว

    อย่างไรก็ตาม เส้นเลือดของผมก็ไม่ได้แตกแต่ประการใด เมื่อได้กินยาแล้ว ความดันก็ค่อยๆ ลดลงมาจนเข้าสู่ภาวะปกติ

    แต่ไอ้ที่ไม่ปกติ ก็คือบัญชาจากคุณหมอ (อีกท่านหนึ่ง) ที่บอกผมว่า นับแต่นี้ต่อไป—ผมจะต้องกินยาลดความดันไปตลอดชีวิต!

    เฮ้ย! กินยาลดความดันไปตลอดชีวิตเลยเรอะ นี่ล้อเล่นหรือเปล่า

    เปล่า—คุณหมอตอบหน้าเครียดจริงจังแต่หมอไปบังคับอะไรคุณไม่ได้หรอกนะคุณก็เลือกเอาแล้วกันว่าจะกินยาหรือว่าจะเส้นเลือดแตกโดยไม่รู้ตัว

    แหงแซะสิครับ ผมไม่มีทางเลือก ในที่สุดก็ต้องเลือกกินยา ยังโชคดีที่หมอบอกว่าร่างกายตอบสนองต่อยาตัวหนึ่ง คือสามารถกินแค่เม็ดเดียวได้ จึงไม่ค่อยลำบากเท่าไหร่ แต่ไอ้ที่ลำบากน่ะ มันเกิดขึ้นเมื่อผมเอาข้อมูลยาตัวนั้นมาเสิร์ชในภายหลังแล้วพบว่าผลข้างเคียงอย่างหนึ่งของยาตัวนี้คือ ทำให้ความต้องการทางเพศลดลงนี่สิ

    เฮ้อ! หดเหี่ยวเลยตู!

  • 3

    ถูกต้องแล้วล่ะครับ จากคุณหมอผ่าไส้ติ่งจนถึงคุณหมอความดัน ทั้งสองท่านบอกว่าสิ่งที่จะช่วยผมได้ก็คือการออกกำลังกายเพื่อให้น้ำหนักมันลดนี่แหละ

    แล้ววิธีออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนักที่ดีที่สุด ก็คือการวิ่งไงครับ แต่กระนั้น ถ้าคุณคิดว่าคำเตือนจากสองหมอจะทำให้ผมเริ่มต้นออกวิ่งละก็,

    อะฮ้า! ผิดครับ 

    แค่นั้นยังไม่กระเทือนซางผมหรอก แหม! จะออกกำลังกายไปทำไมให้เหนื่อยเหน็ด แค่กินยาเม็ดเดียว เรื่องพ่งเรื่องเพศไม่มีความต้องการก็ดีแล้ว จะได้นั่งสมาธิให้บรรลุธรรมกันไปเล้ย แล้วช่วงนั้นยังได้รับเชิญไปกินโน่นกินนี่ดื่มนั่นซดนู่นเป็นว่าเล่นเสียอีกด้วยหน้าที่การงาน จะพลาดโอกาสเหล่านั้นไปวิ่งเหงื่อซ่กได้อย่างไรกัน

    ชีวิตต้องทดลองอะไรใหม่ๆ สิ!

    อ้าว! แล้วอย่างนั้นผมมาเริ่มวิ่งได้อย่างไร

    เรื่องมันซับซ้อนกว่าที่คุณคิดแน่ๆ ล่ะครับ แถมยังมีตัวละครหลายต่อหลายตัว เอ๊ย! หลายต่อหลายคน ซึ่งผมต้องถือว่าเป็นผู้มีพระคุณกับผมเป็นอย่างยิ่งด้วย
  • แรกทีเดียว มันไม่ได้เริ่มมาจากความต้องการจะออกกำลังกายหรอกครับ แต่มันเริ่มมาจากความรำคาญก่อน 

    รำคาญแรกก็คือรำคาญการใช้รถยนต์ของตัวเอง
     
    เดิมทีผมเคยใช้รถเก่าที่สืบทอดมาจากพ่อ เป็นรถยุโรปเก่า ซึ่งแค่ฟังคำว่ารถยุโรปเก่าหลายคนคงรู้นะครับ ว่าใช้ไปสักแป๊บก็ต้องใช้สำนวนคุณวาณิช จรุงกิจอนันต์ ที่เคยบ่นรถเก่าว่า ประเดี๋ยวก็ ‘ลูกยางลูกยอยลูกอีช้างขยำ’ อะไรของมันแตก ต้องเปลี่ยนโน่นเปลี่ยนนี่อยู่เป็นนิจ รถผมก็เป็นอย่างนั้นแหละครับ ครั้นพอมีเงินเปลี่ยนมาเป็นรถใหม่เข้าหน่อย คิดว่าจะลดการใช้เงินลงบ้าง ก็ปรากฏว่าค่าใช้จ่ายหาได้น้อยนิดไม่ เพราะมีตั้งแต่ค่าประกัน ค่าล้างรถ ค่าเข้าศูนย์ซ่อม เดี๋ยวก็เปลี่ยนยาง แล้วดันเป็นรถชนิดวิเศษรุ่นสูงกว่าชาวบ้านเขา ยิ่งมีอุปกรณ์เลอเลิศ  ก็ยิ่งต้องจ่ายแพง

    ผมมาถึงฟางเส้นสุดท้ายก็เมื่อพบว่าตัวเองต้องจ่ายเงินให้รถมากกว่าค่าตรวจร่างกายประจำปีให้แม่นี่แหละครับ คือมันมาพร้อมๆ กัน แล้วเราก็พบว่า อ้าว! นี่ตูใช้เงินกับรถมากกว่าตอบแทนกลับคืนบุพการีอีกเรอะ

    คิดได้อย่างนั้นปั๊บ ก็ขายรถทันใด ไม่เอาแล้ว จะไม่ตกเป็นทาสของมึงอีกแล้ว ต่อให้เป็นรถที่สวย สีดำขลับเป็นมันปลาบ ดูแลรักษาอย่างดี โอ๊ย! เห็นแล้วรักชอบ ขับก็ดี๊ดี เกาะถนน มีซันรูฟ ตอนหน้าหนาวเปิดเพลงร็อคยุคเซเวนตี้ส์เปิดหลังคาขับไปพัทยานี่ต้องบอกว่าสุดตรีนกันเลยทีเดียวครับ 

    แต่ไม่เอาแล้ว ขายเป็นขาย แล้วผมก็ตัดสินใจขายคืนศูนย์ ซึ่งได้ราคาน้อยกว่ารอขายให้คนทั่วไปด้วย แต่ช่างมัน เงินไม่สำคัญ สำคัญกว่าคือถ้าจะขายก็ต้องได้ขาย ณ บัดนั้น
     
    ขายเสร็จปุ๊บผมก็กำเงินหลายแสนบาท เดินไปซื้อจักรยานหน้าปากซอย! 

    เอ่ิ่ม อย่าเพิ่งคิดว่าจะซื้อจักรยานเป็นแสนๆ นะคุณ จักรยานที่ซื้อน่ะคือจักรยานพับสไตรด้า ราคาหมื่นกว่าบาท เงินที่เหลือก็เก็บไว้สิครับจะไปใช้มันทำไม จากนั้นผมก็คิดว่าจะใช้จักรยานนี่แหละ เดินทางไปไหนต่อไหน ถ้าไปไกลๆ ก็เช่ารถขับเอา ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไรเลย ได้ออกกำลังกายด้วย แล้วก็จะทำให้สองคุณหมอที่เฝ้าวอนขอให้ผมออกกำลังกายนั้นได้สมปรารถนา (เสียที)

    เอาละ (วะ) ปั่นจักรยานนี่แหละ ทั้งได้ประหยัดเงิน ไม่ต้องตกเป็นทาสรถยนต์ (ที่ขับไปไหนในกรุงเทพฯ ก็ติดแสนติด ไม่รู้จะขับกันไปทำไม พับเก็บขึ้นรถเมล์ก็ไม่ได้!) แถมยังจะได้ออกกำลังกายอีก
  •  รวบรัดตัดความเพื่อไม่ให้เยิ่นเย้อฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยก็คือ การปั่นจักรยานนั้นไม่เวิร์กหรอกนะครับ คือหมายถึงการปั่นจักรยานเพื่อจะลดน้ำหนักน่ะนะครับ ต่อมาภายหลัง ผมเปลี่ยนจากจักรยานพับไปเป็นโตเกียวไบค์แสนเท่ แล้วก็เปลี่ยนเป็นเสือหมอบฟูจิแสนหล่อ แล้วก็ปั่นไปโน่นปั่นมานี่ วันๆ ปั่นกันเป็นหลายสิบกิโลเมตรก็หาได้ลดลงไม่แม้แต่สักกิโลกรัม

    ก็แหม! จักรยานน่ะ มันพาเราไปตระเวนตามตรอกซอกซอยต่างๆ ที่ล้วนแล้วแต่มีร้านอาหารอร่อยๆประเภทที่เราไม่สามารถจะแวะได้ตอนขับรถน่ะสิครับ ผลลัพธ์ก็คือหาได้ผอมผ่ายลงไม่แม้สักขีด  แถมยังน้ำหนักขึ้นเอาๆ อีกต่างหาก ถ้าจะแข็งแรงขึ้นก็คงเป็นหมูที่แข็งแรงความดันพุ่งปรี๊ดเหมือนเดิมนั่นแหละคุณ

    เล่ามาถึงตรงนี้ พื้นที่ก็หมดเสียอีกแล้ว ต้องขอยกยอดไปเล่าต่อตอนหน้านะครับ ว่ามีผู้ใดบ้างที่ปลุกเร้าจิตวิญญาณแห่งการวิ่งให้ลุกโชนขึ้นมา จากจักรยานมันเลยเถิดมาเป็นการวิ่งได้อย่างไร แล้วประสบการณ์การวิ่งครั้งแรกของผมจะเป็นอย่างไรบ้าง

    เยิ่นเย้อเสียจริงๆ เล้ย!

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in