เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
#kipuuNovelberkipuu_
08 : LONDON
  • ใครๆก็บอกว่าคนรักกัน...มีทะเลาะกันบ้างมันก็เป็นเรื่องธรรมดา
    แต่ผมไม่ค่อยใจว่าในกรณีของคู่เรามันจะเรียกว่าธรรมดาได้รึเปล่า
    เราทะเลาะกันสารพัดตั้งแต่เรื่องใหญ่โตไปจนถึงเรื่องเล็กจิ๋วหลิวเทาเล็บมด
    เพราะผมก็ไม่ยอมคนส่วนเขาก็แพ้ไม่เป็นเหมือนกัน

    แล้วเรื่องที่เราทะเลาะกันบ่อยที่สุดคืออะไรรู้มั้ย?
    เรื่องเอแคลร์...เอแคลร์เซเว่นซะด้วย!

    ผมชอบกินเอแคลร์ที่ขายอยู่ในร้านสะดวกซื้อซึ่งกระจายตัวไปทั่วประเทศอย่างเซเว่นอีเลฟเว่นเป็นชีวิตจิตใจ

    มีวันนึงผมลองเสิร์ชกูเกิ้ลดูแล้วเจอความเห็นบอกว่าเจ้าขนมนี่มันไม่เห็นจะอร่อยโพสอยู่เต็มไปหมด ทำเอาถึงกับช็อคไปเลยแต่ก็ยังไม่ช็อคเท่าสิ่งที่ได้ยินตอนเดินไปซื้อเอแคลร์โดยมีคนรักไปด้วยเป็นครั้งแรก

    “ไอ้นี่มันไม่ใช่เอแคลร์ปะวะกลมๆแบบนี้เค้าเรียกชูครีม”

    “ฮะ?”

    “...เอแคลร์มันต้องเป็นแท่งยาวๆ”

    แล้วคิดเหรอว่าผมจะยอม!

    “ถุงมันก็เขียนอยู่ว่าเอแคลร์มันจะเป็นชูครีมไปได้ไง ชูครีมมันต้องก้อนใหญ่กว่านี้ เหมือนที่เราไปกินที่ Bake a wish เว่ย!”

    “มั่วละไม่เชื่อแกกูเกิ้ลดู”

    “ไม่! หน้าซองเขียนว่ามันคือเอแคลร์ ยังไงมันก็ต้องเป็นเอแคลร์แกอย่ามาเถียงได้ปะ”

    และนั่นคือจุดเริ่มต้นของสงคราม...

    ผมหวั่นไหวไปนิดหน่อยตอนแอบเสิร์ชกูเกิ้ลเวลาที่แฟนไม่อยู่แล้วพบว่า เอแคลร์มันต้องเป็นแท่งยาวจริงๆส่วนกลมๆที่ผมชอบกินนั่น ...ตามหลักแล้วมันคือชูครีมตามที่อีกฝ่ายบอกไว้นั่นแหละถูกต้องแล้ว

    แต่ระหว่างชัยชนะกับความถูกต้อง
    แน่นอนว่าผมเลือกชัยชนะ...
    และตัดสินใจจะเก็บเรื่องที่รู้ว่าเอแคลร์ต้องเป็นแท่งยาวส่วนชูครีมคือลูกกลมๆไว้ในใจตลอดไป

    ให้ตายก็ไม่มีทางยอมรับเด็ดขาด!

    บอกใครใครเขาก็อึ้ง... แต่สงครามเอแคลร์ของเรารบกันมาแล้วถึง 4 ปี มันเริ่มขึ้นตอนผมเรียนปี 4 จนกระทั่งตอนนี้เรียนจบ ทำงาน และได้เลื่อนตำแหน่ง แน่นอนว่าตลอดระยะเวลา 4 ปีนั้นเราไม่เคยเลิกเถียงกันเรื่องเอแคลร์ vs ชูครีมเลย

    ถ้าเรื่องที่เราเข้ากันไม่ได้มากที่สุดคือเอแคลร์
    เรื่องที่เข้ากันได้มากที่สุดก็คือการท่องเที่ยว

    เราชอบท่องเที่ยวด้วยกันทั้งคู่ไม่ว่าจะเป็นในประเทศหรือต่างประเทศก็ตาม แล้วมันก็เหมือนจะมีข้อปฏิบัติข้อนึงเกิดขึ้นในการคบหากันของเราสองคน...เกิดขึ้นโดยไม่มีใครกำหนด รู้อีกทีก็เป็นแบบนี้ไปแล้ว

    ก็คือใน 1 ปีอย่างน้อยเราต้องหาเวลาไปเที่ยวต่างประเทศด้วยกัน 1 ครั้งโดยสลับกันเลือกสถานที่
    ปีที่แล้วผมเลือกไปบาหลีและปีนี้เขาเลือกที่จะไปอังกฤษ ด้วยเหตุผลที่ว่า
    ‘จะพาแกไปดูให้เห็นกับตาว่าเอแคลร์จริงๆมันเป็นยังไง’

    ถามจริง...ได้ยินแล้วก็แอบกังวลไปนิดหน่อย แต่ก็ใช่ว่าจะกลัว
    ทำไมต้องกลัวด้วยผมมีเซเว่นอีเลฟเว่นนับร้อยสาขาทั่วประเทศเป็นพวก
    ส่วนเขามีแค่รูปในกูเกิ้ล!

    หลังจากทำงานหนักมาทั้งปีในที่สุดก็ถึงเวลาที่พวกเราลาพักร้อนไว้พร้อมกัน เก็บของที่จำเป็นใส่กระเป๋าและขึ้นเครื่องบินไปประเทศอังกฤษตามแผนที่วางเอาไว้

    สถานที่แรกที่วางแผนไว้ว่าจะไปก็คือร้านเอแคลร์ชื่อดัง!
    ครั้งแรกที่ผมเห็นแผนการเดินทางซึ่งอีกฝ่ายจัดมาให้เรียบร้อยแล้วยังอดไม่ได้ที่จะถาม

    “สำหรับแก ไอ้ร้านขายเอแคลร์ชื่ออ่านยากๆเนี่ยมันสำคัญกว่าหอนาฬิกาบิ๊กเบนอีกถูกมั้ย?”

    คนโดนถามละสายตาจากโทรศัพท์มือถือหันมามองหน้าผมนิ่งๆ แล้วก็ตอบกลับคำเดียว

    “ใช่...”

    ,


    หลังจากลงเครื่องเอากระเป๋าไปเก็บที่โรงแรม เราก็จัดการเดินทางไปร้านเอแคลร์กันทันที
    ความรู้สึกในใจของผมตอนนั้นครึ่งนึงดีใจที่จะได้กินของอร่อยส่วนอีกครึ่งกังวลว่า หรือจะต้องยอมแพ้ในสงครามนี้แล้วจริงๆ

    ระหว่างที่เราสองคนเดินไปตามเส้นทางในกรุงลอนดอนซึ่งอีกฝ่ายศึกษามาอย่างละเอียด ในใจผมก็คิดวิธีการเอาตัวรอดไปสารพัดถ้าความจริงมันปรากฏอยู่ตรงหน้าแล้ว ผมจะพูดยังไงให้ผ่านวิกฤตตรงนี้ไปได้

    ในที่สุดเราก็มาหยุดลงตรงหน้ากระจกของร้านสีขาวที่ประดับด้วยลายจุดหลากสีดูสดใสที่ยิ่งกว่านั้นคือไอ้ขนมในตู้นี่ดูน่ากินเป็นบ้า ระหว่างที่ผมยกกล้องขึ้นมาถ่ายรูปเก็บเอาไว้เสียงจากคนข้างๆก็ดังขึ้น

    “เห็นรึยังว่าเค้าเรียกไอ้อันยาวๆนี่ว่าเอแคลร์”

    “แล้วไงพอกลับไทยไป เดินเข้าเซเว่นปุ๊บ เอแคลร์ก็กลับไปเป็นลูกกลมๆเหมือนเดิมอยู่ดี”

    คนฟังหลุดยิ้มเพราะสิ่งที่ผมเถียงยกมือขึ้นวางบนหัว ขยี้เบาๆแล้วพูดต่อ

    “เออๆเข้าไปในร้านดีกว่าไป”

    ผมหันไปมองทันทีที่ได้ยินอย่างนั้นแปลกใจนิดหน่อย เพราะปกติต้องเถียงกลับมาประมาณว่า ‘ทั้งโลกเค้าเรียกแท่งยาวๆว่าเอแคลร์ หรือสำหรับแกเซเว่นอีเลฟเว่นใกล้บ้านมันคือโลกทั้งใบรึไงฮะ’อะไรทำนองนั้น

    ยิ่งได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายพูดต่อผมก็ยิ่งตกใจ

    “เดี๋ยวมือนี้ฉันเลี้ยงเอง”

    “ถามจริง?”

    “อื้ม!”

    ผมเดินเข้าไปในร้านเพราะอีกฝ่ายยกมือขึ้นมากอดคอกันแล้วรั้งให้เดินตามเข้าไปพอตั้งใจจะไปสั่งของกินที่หน้าตู้ก็โดนห้ามอีก

    “ฉันรู้ว่าแกชอบกินอะไรไปนั่งรอที่โต๊ะโน่น”

    แปลก...​บนเครื่องมีใครเอาอะไรใส่น้ำเปล่าให้แฟนผมกินปะวะ?

    ระหว่างที่นั่งรอผมก็ต่อกล้องเข้ากับมือถือเพื่อจะเอารูปที่ถ่ายมาอัปโหลดลงอินสตาแกรม ยังไม่ทันแต่งสีรูปเสร็จเอแคลร์ (ยอมเรียกก็ได้!) ก็วางอยู่ตรงหน้า ข้างๆกันมีช็อคโกแลตร้อนอีกแล้วกับชาร้อนอีก 1 กา

    “อ่ะกินแล้วก็จำไว้ด้วยว่าแบบนี้คือเอแคลร์”

    ผมหันไปมองขมวดคิ้วใส่ แต่ก็ยังก้มหน้าก้มตาแต่งสีรูปต่อไปเหลือบหางตาไปมองก็พบว่าอีกคนกำลังยกมือขึ้นกอดอก เอาจากท่าทางได้ว่ากำลังจะหงุดหงิดในสาม... สอง... หนึ่ง... ผมเลยยอมวางโทรศัพท์มือถือลงแล้วก็ยกช็อคโกแลตร้อนขึ้นมาชิมก่อนเป็นอันแรกโคตรอร่อยเลย...

    พอหันไปมองจานขนมก็ยังอดไม่ได้ที่จะก่อสงคราม

    “ฉันจะกินอันกลมๆ แกกินอันยาวไปเลย”

    “กินฟรีแล้วก็อย่างอแง ของแกอันนี้ ช็อคโกแลตแบบที่ชอบไง”

    “แต่อันสีทองๆก็น่ากินอะ”

    “ไม่ต้องเลยของแกอันนั้น กินไปเลย”

    “ไม่!”

    ผมตอบกลับแล้วจัดการตักชิ้นที่เป็นสีทองมากินก่อนแต่อีกฝ่ายก็ไม่สน ยังนั่งเฉยจิบชาแล้วปล่อยให้ผมกินต่อไป จนกระทั่งอันกลมๆสองอันที่วางอยู่ก็หมดลงไปแล้วและเหลือแค่รสช็อคโกแลตที่เขาตั้งใจเลือกมาให้ตั้งแต่แรก

    ผมถอนหายใจหน้ามุ่ย ยิ่งเห็นท่าทางนิ่งๆแบบนั้น ก็ยิ่งรู้สึกไม่ดี
    ต่อให้เถียงกันจนเป็นปกติแค่ไหนแต่ยังไงผมก็ไม่อยากให้เราทะเลาะกันตั้งแต่วันแรกที่มาเที่ยวแบบนี้

    “แกไปเลือกอันที่แกอยากกินมาใหม่แล้วกันเดี๋ยวเลี้ยงเอง”

    “ง้อทำไม ไม่ได้โกรธ...”

    “แล้วทำไมไม่กินอะ?”

    “ก็ไม่ทำไม”

    อ้าว...​อะไรของมันวะ?

    ผมถอนหายใจแอบเอาชาร้อนของคนตรงหน้ามาจิบ แล้วก็จัดการเอแคลร์อันสุดท้ายที่เหลืออยู่

    อร่อยจริงๆเลยอะแป้งบางกรอบแบบกำลังดี หอมด้วย ส่วนไส้ช็อคโกแลตนี่ก็นุ่มแต่รสชาติเข้มข้น 

    กลับบ้านไปจะกินเอแคลร์เซเว่นอร่อยเหมือนเดิมมั้ยเนี่ย..

    ในไส้มีชอคโกแลตชิพด้วยอะหรือไม่ก็อัลมอนด์ เอ๊ะ หรือว่าจะเป็นพิททาชิโอ พอกัดครั้งแรกแล้วมันไม่แตกออกตามที่คิดไว้ผมก็งับลงไปอีกครั้งให้แน่ใจว่ามันคืออะไร เฮ้ย!


    ระหว่างที่ตกใจอยู่ อีกฝ่ายก็พูดขึ้นมา

    “แกยังไม่....”

    “ไอ้เหี้ย! ทำไมมีแหวนอยู่ในเอแคลร์วะ?”

    พูดจบผมก็เห็นคนตรงหน้ายกมือขึ้นกุมขมับ พอเจ้าตัวไม่พูดอะไร ผมก็พูดต่อ

    “แหวนของพนักงานตกลงไปมั้ยแก?เราไปบอกเค้าแล้วขอชิ้นใหม่ได้ปะวะ? นี่มันยิ่งกว่าผมอีกนะเว่ย”

    คราวนี้คนฟังถอนหายใจลุกขึ้น แล้วก็มาคุกเข่าลงตรงหน้า พร้อมกับตอบ

    “แหวนนั่นฉันซื้อมา”

    “หา...”

    ผมตอบกลับไปได้แค่นั้นแล้วก็เหวอไปเลย เพราะคนที่นั่งอยู่โต๊ะอื่นเริ่มหันมามองเรากันแล้ว จริงๆก็หันมาตั้งแต่ผมตะโกน‘ไอ้เหี้ย’แล้วนั่นแหละ

    “โคตรตกใจเลยนึกว่าแกกลืนลงคอไปแล้ว”

    “ไอ้บ้าใครมันจะไปกลืนแหวนวะ แล้วแกเป็นอะไรเนี่ยปวดท้อง? เชือกรองเท้าหลุด?”

    “เปล่า -- แต่งงานกัน...”

    แว๊บแรกผมนิ่งไป จากจะขอเอแคลร์ชิ้นใหม่ กลืนแหวน ทำไมมาออกเรื่องแต่งงานได้วะเนี่ย?

    “ฮะ? แหวนเนี่ยเหรอ?”

    “อืม...”

    “นี่...แกเอาแหวนใส่ในเอแคลร์เพราะจะขอฉันแต่งงานเหรอ?”

    “เออ...”

    “โคตรลงทุนเลยว่ะ”

    “เออ...​แล้วแกจะตอบได้ยัง?”

    “ตอบอะไรอะ?”

    “โถ่เว๊ยก็ถามอยู่นี่ไงว่าแต่งงานกันมั้ย คนมองทั้งร้านแล้วโว้ย”

    ผมว่าฝรั่งเค้าคงงงอะว่าไอ้ผู้ชายสองคนนี้มันเถียงอะไรกัน...
    ระหว่างที่กำลังมองคู่อริในสงครามเอแคลร์ของตัวเอง ผมก็หลุดยิ้มออกมา ก่อนจะตอบกลับ

    “เออ! แต่ง! พอใจยัง!”

    พออีกฝ่ายยื่นมือมาผมก็ส่งแหวนให้ เขารับไว้ แล้วก็สวมมันลงมาบนนิ้วนางของผม ตอนนั้นเองที่เสียงเฮดังขึ้นรอบตัวเรา

    คนตรงหน้าลุกขึ้นรวบผมเข้าไปกอดจนตัวลอย ท่ามกลางความดีใจนั้น ผมกระซิบเบาๆให้เจ้าของอ้อมกอดได้ยิน

    “แต่ถ้าแกมาเรียกเอแคลร์ฉันว่าชูครีมอีกล่ะก็ถอดแหวนแน่”

    “โอเคยอมแล้ว –กลับไปจะซื้อชูครีมเซเว่นให้กินทุกวันเลย”

    “ไอ้นี่! ก็บอกแล้วไงว่าต้องเรียกเอแคลร์!”





    END

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in