เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
#kipuuNovelberkipuu_
02 : ภูมิแพ้

  • ‘เมืองหลวงควันและฝุ่นมากมาย 
    พี่สูดดมเข้าไป ร่างกายก็เป็นภูมิแพ้’ 

    ใครจะไปเชื่อว่าคนเราจะยอมโดนปลุกด้วยเสียงร้องบ้าๆนี่ทุกวัน
    แต่มันเกิดขึ้นแล้วกับชีวิตผม...​

    ก็รู้อยู่หรอกว่าเพลงนี้เป็นที่รู้จักพอสมควร แล้วช่วงนี้ก็ได้ยินทั้งวิทยุ ร้านเหล้า ร้านกินข้าวเปิดซ้ำไปซ้ำมาอยู่เป็นประจำ แต่ที่ดังอยู่นี่มันไม่ใช่เสียงของนักร้อง แต่มันดังมาจากเพื่อนบ้านที่เพิ่งย้ายเข้ามาใหม่ เมื่อสัปดาห์ก่อน แถมยังเอาแต่ร้องเพลงเดิมๆตลอด 

    ไม่ว่าจะเป็นอาบน้ำรอบเช้าก่อนออกไปทำงาน รอบค่ำก่อนเข้านอน เวลาเดินไปเดินมาในบ้าน หรือออกมารดน้ำต้นไม้หน้าบ้าน ผมก็ยังคงได้ยินเสียงอีกฝ่ายร้องแต่เพลงเดิมเป็นพักๆ ซ้ำไปซ้ำมาอย่างไม่มีวันเบื่อ

    ถามจริง...? ถ้าแพ้มากก็ควรไปอยู่ที่อื่นรึเปล่า?
    เพราะบ้านนี่อยู่นี่มันใจกลางกรุงเทพมหานครชีวิตดีๆที่ลงตัวเลยไม่ใช่รึไง!

    เช้าวันนี้ก็เหมือนทุกวัน ผมโดนปลุกด้วยเพลงคัฟเวอร์ภูมิแพ้กรุงเทพอีกแล้ว นอกเหนือจากเพลงที่ได้ยินอยู่ สิ่งที่ผมรู้สึกอีกก็คือ หายใจไม่ออก คัดจมูก น้ำมูก น้ำตาไหล และตาบวมฉึ่ง

    ภูมิแพ้ของจริงอยู่นี่เหอะ! 

    สิ่งแรกที่นึกออกคือต้องลางาน... 
    ผมหยิบแว่นมาสวม คลำหาโทรศัพท์มือถือ เปิดไลน์ฝ่ายบุคคลของบริษัทพร้อมพิมพ์ข้อความไปเพื่อขอลางาน แล้วก็ต้องกินยา...

    คิดได้อย่างนั้นผมก็ลุกขึ้นจากเตียง เดินลากขาไปหากล่องใส่ยา เจอแผงสีเงินของยาแก้แพ้ที่ต้องมีติดบ้านอยู่ตลอดก็โล่งใจเหมือนเจอเพื่อนแท้ แต่ทันทีที่พลิกไปอีกด้านและพบว่าแผงยามีแต่ความว่างเปล่า ก็สรุปได้เลยว่า เพื่อนแท้ทรยศกันซะแล้ว

    ‘โรคภูมิแพ้กำเริบจนทนไม่ไห้ 
    หมอเลยขอให้หนีจากกรุงเทพไป’ 

    โถ่เว๊ย! นี่ก็หยุดร้องสักทีเหอะ!
    คนที่ ‘โรคภูมิแพ้กำเริบจนทนไม่ได้’ อยู่ตรงนี้ต่างหากเล่า! 

    ผมโยนแผงยาแก้ภูมิแพ้อันเก่าลงถังขยะ เดินไปหยิบกระเป๋าตังค์ เสื้อกันหนาว แมสปิดปาก และลงมาชั้นล่างของบ้าน ตั้งใจจะออกไปซื้อยา 

    ทันทีที่เปิดประตูรั้วออกผมก็เห็นว่ากำลังมีคนเข็นมอเตอร์ไซค์เวสป้ารุ่นเก่าออกมาจากบ้านข้างๆ 
    เจ้าของมอเตอร์ไซค์นั่นตัดผมอันเดอร์คัทและมัดด้านบนเอาไว้เป็นมวย บนหน้ามีหนวดเคราครึ้มแต่ก็ตัดเป็นทรง พร้อมเสื้อยืดคอวีย้วยๆ ที่ดูจงใจมากกว่าใส่จนเก่า 

    ....เจ้านี่แหละ มิสเตอร์ภูมิแพ้กรุงเทพ เจ้าของตำแหน่งนาฬิกาปลุกประจำตัวที่ผมไม่เคยต้องการ

    ทางนั้นส่งยิ้มให้ แล้วก็เหมือนจะชะงักไปตอนเห็นสภาพของผม
    ตกใจอะไร ก็แค่ใส่แว่น ใส่แมส ใส่เสื้อกันหนาว ใส่ฮู้ดไว้บนหัว ส่วนท่อนล่างยังเป็นกางเกงนอนตัวเก่งกับรองเท้าแตะ เสียงร้องเพลงโหวกเหวกลั่นบ้านของเจ้าตัวยังน่าตกใจกว่าสภาพผมเป็นไหนๆ 

    “คุณ...เป็นอะไรรึเปล่าครับ” 

    ผมสูดจมูกฟุดฟิด พอเห็นอีกฝ่ายเข็นรถมอเตอร์ไซค์เดินเข้ามาใกล้ ผมก็ตอบกลับ 

    “ไม่เป็นอะไรครับ ภูมิแพ้กำเริบเฉยๆ” 

    คนฟังยิ้มรับแบบที่ผมไม่เข้าใจ 
    เห็นคนเป็นภูมิแพ้นี่มันน่าดีใจจนต้องยิ้มออกมาเลยรึไง?

    “แต่ดูแย่มากเลยนะ ไม่เป็นอะไรจริงๆเหรอคุณ” 

    “ครับ ปกติของภูมิแพ้ก็ประมาณนี้แหละ” 

    “อ๋อ... เหรอครับ? ผมก็ไม่เคยเป็นภูมิแพ้ซะด้วยสิ”

    แล้วจะร้องเพลงภูมิแพ้ทำไมทุกวันวะ! 

    “แล้วจะไปไหนครับเนี่ย?” 

    “ไปร้านยาหน้าหมู่บ้านครับ พอดียาหมด”

    “งั้นไปพร้อมผมมั้ย? ผมจะไปเอาข้าวที่ร้านตามสั่งหน้าหมู่บ้านเหมือนกัน พอดีโทรสั่งไว้แล้ว” 

    “ไม่เป็นไร...ผม...”

    “เดินไปก็ไกลอยู่นะคุณ ขึ้นมาเหอะ” 

    พูดจบอีกฝ่ายก็ขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์แล้วสตาร์ทเครื่อง เสียงเครื่องยนต์ที่ฟังดูเหม่งๆทำเอาผมไม่มั่นใจเลยว่ามันจะดับกลางทางรึเปล่า ...​ถ้าเดินเอาอาจจะถึงก่อนก็ได้

    “ขึ้นมาเถอะคุณ อย่าเดินเลย วันนี้อากาศเริ่มหนาวแล้วด้วย” 

    ผมถอนหายใจ เพราะหายใจไม่สะดวกจนขี้เกียจพูดเยอะเลยยอมขึ้นไปนั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์จนได้ คราวนี้จากเพลงภูมิแพ้กรุงเทพที่คอยรบกวนก็เปลี่ยนเป็นเสียงเครื่องยนต์เก่าๆที่ฟังดูน่าปวดประสาทมากกว่าเดิม 

    อีกฝ่ายพาผมไปแวะร้านยา แล้วไปจอดที่ร้านขายอาหารตามสั่งต่อ ผมยืนรออยู่ที่รถ และพบว่าอีกคนกลับมาพร้อมข้าว 2 กล่อง 

    “ผมซื้อโจ๊กมาให้ ถึงจะไม่สบายแต่คุณน่าจะต้องกินอะไรซะหน่อยนะ”

    ถึงจะยังงงๆอยู่ แต่ผมก็หยิบกระเป๋าตังค์มาเปิด ตั้งใจจะหยิบเงินให้ แต่คนตรงหน้ารีบห้ามไว้ทันที 

    “ไม่ต้องหรอกครับ ผมเลี้ยง แทนคำทักทายจากเพื่อนบ้านคนใหม่ก็แล้วกัน” 

    ปกติผมคงจำไม่ยอม แต่ตอนนี้อยากกินยาแล้วก็นอนพักมากจนรู้สึกว่ายอมทำอะไรก็ได้เพื่อให้กลับไปถึงบ้านสักที

    “งั้นเรารีบกลับบ้านกันเถอะ คุณจะได้กินยาแล้วนอนพัก” 

    ผมพยักหน้ารับ รีบขึ้นไปซ้อนมอเตอร์ไซค์ทันทีที่รถสตาร์ทเครื่อง


    ,


    หลังจากกินข้าวกินยาเสร็จผมก็นอนพักอยู่บนโซฟาที่ห้องรับแขกด้านล่าง 
    ถึงแม้ยาที่กินเข้าไปจะเป็นแบบไม่ทำให้ง่วง แต่ความรู้สึกแย่ๆจากอาการที่เป็นก็ยังทำให้รู้สึกอยากหลับไปจนกว่ายาจะออกฤทธิ์และอาการดีขึ้น

    เหนือสิ่งอื่นใด... เสียงเพลงจากบ้านข้างๆก็ยังคงยังมาอย่างต่อเนื่อง คราวนี้ไม่ใช่แค่เสียงร้องแล้ว แต่ยังมีกีต้าร์โปร่งมาช่วยสร้างดนตรีประกอบ ระหว่างที่กำลังจะเคลิ้มหลับไป เสียงเพลงก็ยังคงดังอยู่อย่างนั้น

    ‘ตั้งแต่มาเจอเธอเท่านั้น ช่างสุขใจเหลือเกิน
    ขอร้องให้เธออย่าเมิน ช่วยรักษาใจ’ 

    โถ่เอ๊ย! 
    เมื่อไหร่จะเบื่อเพลงนี้สักทีเนี่ย! 


    END

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in