เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
To my shame ซึ่งต้องละอาย #fictober2020phyaphal
01 oct - อุทิศ
  • เดือนตุลาปีนั้นเป็นช่วงเวลาที่ผมโดนลวงหลอกเข้าอย่างจัง

    "ได้เวลาแล้ว" รอยกล่าวด้วยใบหน้าจริงจัง เขาสวมเสื้อผ้าสีขาวปลอดทั่วทั้งตัว ก่อนที่เสียงของเขาจะเพิ่มความตกใจมากขึ้นเมื่อเห็นว่าผมกำลังทำอะไรอยู่ "นี่นายยัง...!"

    ผมรีบวางพู่กันในมือลง จุ่มมันในแก้ว มองสีของน้ำเริ่มที่แปรเปลี่ยนจากใสเป็นเทา หยิบกระดานวาดรูปยัดลงใต้เตียง

    ที่ด้านนอกหน้าต่างมีผู้คนในชุดสีขาวเดินกันขวักไขว่ ต่างกำลังมุ่งหน้าตรงไปยังสถานที่แห่งเดียวกัน

    "นายจะยังทำต่อไปเหรอ" รอยพูดขึ้นระหว่างเดินนำออกไปด้านนอกตัวบ้าน แผ่นหลังของเขาดูห่อเหี่ยวและเปราะบางกว่าทุกที

    ผมรู้ว่าเขาหมายถึงอะไร

    "หากฉัน... ทำต่อไปล่ะ" ผมถามขึ้นแผ่วเบา ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าคำถามนี้จะส่งไปถึงเขาหรือไม่ แต่รอยก็ได้ยิน

    "เซธ" เขาหันมาเรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงที่ดังขึ้น "นายก็รู้ว่าหากนายยังไม่หยุด นายจะ..." รอยพูดได้เท่านั้นเขาก็เงียบลงเมื่อเริ่มเข้าสู่ฝูงชนสีขาว

    ไม่มีใครอยากพูดเรื่องต้องห้ามอย่างโจ่งแจ้ง

    ฝีเท้าย่ำเหยียบลงไปบนผืนดิน ผมเหลือบมองโบสถ์กลางเมืองด้วยแววตาศรัทธา ไหลเรื่อยไปตามผู้คนจนมาหยุดอยู่เบื้องหน้าสถานที่ศักดิ์สิทธิ์

    "อีกห้านาทีจะสี่โมง" รอยยกนาฬิกาขึ้นมาดู เขาชะเง้อคอมองประตูโบสถ์อย่างใจจดใจจ่อ

    นาฬิกาตีเวลาบอกเวลาสี่โมงเย็น ตอนนั้นเองที่ประตูโบสถ์เปิดออกมา เป็นสตรีสูงวัยหน้าตาเรียบเฉยที่ยืนอยู่เบื้องหน้าผู้คนนับพัน เมื่อเธอยกมือขึ้น ทุกคนต่างพร้อมใจกันหมอบกราบ

    "โอ ท่านเมเดียผู้ทรงศีล"

    เสียงคารวะดังกระหึ่มก้อง ไม่ต่างจากทุกวัน

    ที่เมืองเบนีธแห่งนี้ทุกคนต่างมีหมุดหมายสำคัญในทุกวันอาทิตย์เวลาสี่โมงเย็นเพื่อมาอ้อนวอนแด่ท่านเมเดีย หวังให้ท่านมอบความสุขและความปรารถนาให้สมหวัง

    ท่านเมเดียยกมือขึ้น กวาดสายตาไปทั่วลาน เอ่ยเสียงแหบแห้งตามวัย "เราดีใจยิ่งนักที่พวกท่านยังคงมีเราอยู่ในทุกวัน ผู้คนเอ๋ย พวกท่านรู้หรือไม่ว่าพวกท่านนั้นเป็นผู้สำคัญต่อเรานัก หากไม่มีพวกท่านก็คงไม่มีเรา"

    กล่าวถึงตรงนี้ เสียงสะอื้นไห้อย่างตื้นตันก็ดังขึ้นที่สองข้างหู "มาเถิดเราจะให้พร"

    ทุกคนไม่เว้นแม้แต่ผมต่างพนมมือขึ้น ขุดรื้อความปรารถนาที่ถูกฝังกลบให้เปิดเปลือยด้วยความเชื่อมันว่าท่านเมเดียจะเปลี่ยนมันให้เป็นจริง

    "เซธ" ชื่อผมดังออกมาจากปากท่านเมเดีย

    ผมเหลือบตามองผูันำทางจิตใจ วันนี้เป็นตาของผม

    เธอกวักมือเรียกด้วยท่าทางเปี่ยมไปด้วยความใจดี ผมยืนขึ้นโดดเดี่ยวท่ามกลางคนที่ก้มกราบ สองเท้าก้าวหลบแขนขาของเพื่อนมนุษย์แล้วเดินตรงเข้าหาท่านเมเดีย

    "เล่าความปรารถนาของท่านให้พวกเราฟังเถิด" ท่านเอ่ย

    ผมลังเล ความปรารถนาของผมเป็นเรื่องผิดบาป หากเอ่ยออกไปมีแต่จะทำให้ญาติเพียงผู้เดียวของผมเดือดร้อน

    รอยรีบส่งสายตาเป็นเชิงห้ามปราม เขาขยับปากที่พออ่านได้ว่า อย่าเลยเซธ

    ทว่าอะไรบางอย่างในตัวท่านเมเดียหักห้ามไม่ให้ผมปิดบัง

    "ผมอยากเป็นจิตรกร" ทันทีที่ผมกล่าวจบ สายตาแปลกประหลาดก็ถูกส่งมา พวกเขาทำราวกับผมเป็นฆาตกรต่อเนื่อง ทั้ง ๆ ที่ผมแค่ชอบวาดรูป "ผมรักมันตั้งแต่ได้ลองจับพู่กัน สาดสีลงบนผืนผ้าใบ เปลี่ยนความว่างเปล่าให้มีสีสัน ผมมีความสุขทุกครั้งที่ได้ปลุกโลกของผมให้มีชีวิต"

    "ไอ้คนโง่!" เสียงตะโกนดังขึ้นมาจากฝูงชน ผมมองผู้คนที่มีใบหน้ากราดเกรี้ยวด้วยความหวาดกลัว แต่อีกใจหนึ่งกลับรู้สึกปลอดโปร่งอย่างหาที่สุดไม่ได้

    "ได้โปรดทำให้ฝันของผมเป็นจริงด้วยเถิด" ผมกันไปกล่าวกับท่านเมเดีย แต่เธอกลับเบือนหน้าหนีไปอีกทาง

    ท่าทีของเธอทำให้ความศรัทธาของผมสั่นคลอน

    "ปล่อยวางเถิดเซธ ท่านยังมีโอกาสอยู่" ท่านเมเดียกล่าว

    ผมส่ายศีรษะ ไม่อยากจะเชื่อสายตา "ท่านเคยบอกผมว่าให้อุทิศชีวิตแด่สิ่งที่รัก เมื่อนั้นความสำเร็จจะมาเยือน ยังจำได้หรือไม่"

    "เราจำได้" ท่านเมเดียกดมุมปากลง "แต่สิ่งที่ท่านรักมันเป็นเรื่องไม่ควร"

    ชาวเมืองเบนีธรู้ดีว่าการวาดรูปถือเป็นเรื่องต้องห้าม แต่ไม่มีใครรู้ว่าทำไม ผมถามด้วยดวงตาแดงก่ำ "เพราะอะไร"

    ท่านเมเดียมีท่าทีอึกอัก ผมแค่นหัวเราะแล้วถามต่อ "ท่านก็ไม่รู้หรือ" ท่านเมเดียหันหน้าไปอีกทาง แต่ผมเห็นได้ชัดว่าเธอกำลังส่งสัญญาณให้แก่ทหารมาควบคุมตัวผม "แต่ผมรู้แล้วล่ะ"

    ทุกอย่างตกอยู่ในความนิ่งอึ้ง ผมพ่นวาจาออกมาอย่างไม่หยุดยั้ง "พวกคุณกลัวจะถูกตราหน้าว่าเป็นเมืองของผู้ไร้ปัญญาอย่างไรล่ะ"

    ท่านเมเดียกลืนน้ำลายลงคอเชื่องช้า เธอหันหน้ามาแล้วกล่าวด้วยแววตารังเกียจอย่างไม่ปิดบัง "ชาวเบนีธเป็นปัญญาชน พวกเรายินดีต้อนรับผู้ที่รักในถ้อยคำ และรังเกียจผู้ที่หลงใหลในแสงสี"

    คำตอบที่ได้รับแจ่มชัดอยู่ในสมอง ผมถูกลากตัวเข้าคุก และกำหนดเวลาบั่นคอในค่ำคืนนั้น

    "ขอโทษนะรอย" ผมกล่าวพึมพำในความมืด  แม้ผู้รับสารจะไม่ได้ยินก็ตาม

    เสียงของผมก้องสะท้อนไปมาอยู่อย่างนั้น 

    อดคิดไม่ได้ว่าหากผู้นำแห่งเมืองเบนีธเป็นจิตรกร พวกเขาจะกีดกันเหล่านักปราชญ์หรือไหม

    น่าเสียดายจริง ๆ ที่ผมดันลุ่มหลงในศิลปะอย่างถอนตัวไม่ขึ้น เสียดายที่แม้ผมจะทุ่มเทให้แก่มันแค่ไหน ความฝันของผมก็มิอาจเป็นจริงได้

    น่าเสียดาย

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in