Category: Romantic , Angst
Rating: PG
Spoilers: Death note เล่ม 7
Summary: เรื่องราวในตอนจบของเดธโน้ตตามแบบฉบับคนเขียน
=======================================================================
แสงจ้าแสบตาของฤดูร้อนเปลี่ยนทุกสิ่งบนโลกให้ดูจัดจ้านขึ้น ทุกอย่างช่างเต็มไปด้วยชีวิตชีวาแม้กระทั่งสิ่งปลูกสร้างอันแข็งกระด้าง อย่างอาคารสีขาวสูง20ชั้นที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางเมืองแห่งนี้
สายลมอุ่นร้อนพัดใบไม้แห้งที่ยังเป็นสีเขียวเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดอยู่ ปลิวตกลงแทบเท้าชายหนุ่มรูปร่างผอม ซึ่งกำลังกอดเข่าหลับอยู่บนเก้าอี้สีแดงรูปทรงหรูหราอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว ใกล้หน้าต่างห้องซึ่งใช้เป็นที่หลบซ่อนตัว ภายในนั้นเปิดแอร์จนเย็นฉ่ำต้านอากาศร้อนแรงภายนอก ทุกอย่างคงเงียบสงบ หากปราศจากเสียงจักจั่นที่ดังระงม
"ไม่ต้องปิดหรอกครับ"
แอลส่งเสียงกระซิบบอกเด็กหนุ่มซึ่งพยายามเดินเข้ามาใกล้อย่างเบาที่สุด เพื่อปิดหน้าต่างกันลมร้อนและเสียงรบกวน ให้กับคนที่กำลังนอนหลับอยู่หน้าคอมพิวเตอร์โน้ตบุ้ค และสมุดปริศนาเล่มสีดำ
ไลท์ซึ่งตามหาแอลพบจากกล้องวงจรปิด ต้องหันกลับมามองอย่างแปลกใจ เพราะนึกว่าฝ่ายนั้นนั่งหลับอยู่ แอลค่อยๆลืมตาแล้วหลับตาลงอีกครา ก่อนจะซุกหน้าลงในวงแขนที่กอดเข่าทั้งสอง เขาแลดูเหนื่อยอ่อนกว่าทุกวัน ใจรู้ถึงคำถามของไลท์โดยที่ไม่ต้องเอ่ย
"...ผมแค่กำลังหลับตาฟังเสียงของหน้าร้อนอยู่"
"เสียง...ของหน้าร้อน...?"
ไลท์ทวนคำช้าๆแล้วหันไปมองทิวทัศน์ด้านนอก นิ้วเรียวบรรจงวางลงบนกรอบหน้าต่างซึ่งทำจากไม้เนื้อดี เหล่าผีเสื้อแสนสวยบินวนอยู่เหนือสวนดอกไม้สีสดด้านล่าง ท่ามกลางแสงแดดแผดจ้าและเสียงจักจั่นที่กำลังร้องเรียกคู่
นก...แมลง...ท้องฟ้าสีฟ้าใส...ทุกอย่างช่างมีสีสันสวยงามเสียจนแสบตา เขาไม่ทันรู้เลยว่าฤดูที่เต็มไปด้วยความงามจนทำให้ใจเต้นรัวนี้เริ่มตั้งแต่ เมื่อไร
"นายจะไม่มาดูนอกหน้าต่างด้วยเหรอ เผื่อจะได้รื่นรมย์กับบรรยากาศหน้าร้อนมากขึ้น ข้างนอกสีสวยมากเลยนะ"
แอลมองเด็กหนุ่มที่กำลังยิ้มชวนเหมือนเด็กๆ แล้วจึงยกศีรษะขึ้นวางไว้ตรงแขนที่ไขว้กันอยู่โดยที่ไม่เลื่อนสายตาไปจากร่างของอีกฝ่าย
"ผมไม่อยากยืนตรงหน้าต่างตอนนี้...ไว้ดูตอนหน้าร้อนปีหน้าก็แล้วกัน"
"น่าเสียดายนะ" ไลท์พูดพร้อมกับหันกลับไป เผยรอยยิ้มร้ายกาจประดับใบหน้า "ทั้งดอกไม้ทั้งผีเสื้อ...นายน่ารีบมาดู ก่อนที่ทุกอย่างจะจบลง"
ลมพัดผ้าม่านสีส้มแดงทั้งสองผืนข้างตัวไลท์ให้สะบัดพลิ้ว แอลหยุดมอง...ภาพของอีกฝ่ายกำลังสะท้อนอยู่ในแววตาช่างเต็มไปด้วยแสงสว่างเจิดจ้าจากแดดภายนอก ศีรษะของชายหนุ่มเผลอยกขึ้นมาเองโดยไม่ทันรู้ตัว จากนั้นจึงพูดช้าแล้วค่อยหันหน้าไปทางสมุดโน้ตที่ถูกพัดให้แผ่นกระดาษพลิกเปลี่ยน
"ไม่เป็นไรหรอกครับ...ผมเห็นแล้วล่ะ..." นักสืบหนุ่มยิ้มอย่างพึงใจ "ผีเสื้อฤดูร้อนน่ะ"
"อย่างนั้นเหรอ"
ไลท์ไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดประโยคนั้นเท่าที่ควร ยังคงทอดสายตามองความงดงามของโลกภายนอก โลกที่กำลังจะดำเนินไปในแนวทางที่ถูกต้องเสียที เมื่อผู้ที่กำลังพูดด้วยนี้ต้องจากไปเพราะแพ้ต่อปัญญาของเขา
"พระเจ้านี่ไม่ยุติธรรมเลยนะ"
"หืม ?"
แอลครางเสียงสูงในลำคออย่างใคร่รู้ ปลายนิ้วโป้งจรดริมฝีปากล่างอย่างไม่รู้ตัว "ทำไมถึงคิดอย่างนั้นล่ะครับ ?"
"อา...อย่างชีวิต...จักจั่น..."
ไลท์ขึ้นต้นประโยคสักพักก็หยุด แอลเองไม่ได้คิดพูดแทรกอะไร แต่แทนที่บทสนทนาจะเงียบกลับเติมเต็มด้วยเสียงของแมลง...เสียงของหน้าร้อน เด็กหนุ่มพูดอีกครั้งด้วยเสียงเนิบช้า
"...อุตส่าห์เฝ้าซ่อนตัวมาตลอด 7 ปีรอคอยเพื่อจะออกมาพบกับฤดูที่เฝ้าคอย แต่ไม่นานก็ตาย บางตัวยังไม่ทันได้ออกมาจากผืนดินด้วยซ้ำ ไม่เหมือนผีเสื้อที่ใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่า เกิดมาอย่างสวยงามเพื่อเติมสีสันให้กับโลกใบนี้ และอยู่มองโลกที่สวยงามของมันจนตาย นายว่าไหม ?"
"เหรอครับ"
ชายหนุ่มตอบลอยๆก่อนจะหัวเราะพร้อมกับทวนคำว่าเหรอครับอีกครา ไลท์หันมามองตาเขียวแต่แอลก็หยุดหัวเราะแล้ว เหลือเพียงรอยยิ้มประหลาดประดับไว้ตรงมุมปาก
"ไลท์คุง...รู้หรือเปล่าครับว่าความหมายของชีวิตน่ะ อยู่ตรงไหน ?"
.................................................
สายลมเย็นของเหมันต์พัดละแผ่นหินอ่อนสีเทาที่เรียงรายอย่างเป็นระเบียบสุดลูกหูลูกตา ราวกับมือของพระพายเข้าลูบปลอบประโลมผู้ที่นอนอยู่ใต้ผิวดิน...ทีละแผ่น... ทีละแผ่นช้าๆอย่างอ่อนโยน ถึงอย่างนั้นเสียงครางแสนเศร้าก็ยังคงไม่จบสิ้นไปจากที่นี่
"ไลท์"
ยมทูตร่างใหญ่เรียกเด็กหนุ่มซึ่งกำลังนั่งอยู่อย่างไม่ไหวติง ประดุจแผ่นหินแผ่นหนึ่งบนสุสานแห่งนี้จากทางด้านหลังอย่างช้าๆ ราวกับเป็นอีกเสียงหนึ่งของสายลม
"ฉันคอยติดตามนายมาตลอด ถึงรู้ว่าโลกที่น่าเบื่อนี้เปลี่ยนไปอย่างที่นายต้องการแล้ว แต่นาย...กลับทำตัวน่าเบื่อ"
ลุคหยุดยืนและพินิจมองหลังงองุ้มไม่เหลือมาดอยู่ใต้เสื้อเชิ้ตสีขาวของฤดูร้อน ริมฝีปากหนาจึงขยับอีกครั้ง
"ถ้านายยังทำตัวน่าเบื่ออย่างนี้..."
เขาหยุดรอให้เด็กหนุ่มผู้ปราดเปรื่องหันกลับมาอย่างขุ่นเคือง ทว่ากลับไร้ซึ่งปฏิกิริยาใด ลุคพูดด้วยเสียงเรียบต่ำชัดถ้อยชัดคำ "...ฉันจะฆ่านาย"
กิ่งไม้แห้งรอบกายถูกลมพัดเสียดสีครั้งแล้วครั้งเล่า ประหนึ่งมีวงดนตรีมาบรรเลงให้รู้ซึ้งถึงบทเพลงของความตาย...ว่ามันใกล้เพียงนี้ สายลมเกลี่ยเส้นผมสีน้ำตาลแดงเผยให้เห็นใบหน้าหม่นหมองชัดขึ้น ไลท์ยังคงไม่ไหวติงราวกับไม่ได้ยินคำขู่ฆ่า มีเพียงดวงตาที่ค่อยๆปิดลงจากความหนาวเย็นของอากาศ
ลุคหยิบสมุดโน้ตสีดำจากข้างเอวขึ้นมาแล้วจงใจปัดกระดาษให้เกิดเสียง แต่แล้วก็โยนมันทิ้งไปที่พื้นข้างตัวเด็กหนุ่ม ปีกสีดำด้านหลังแผ่กว้างอย่างรวดเร็ว เขาพูดห้วนขึ้นแต่น้ำเสียงฟังแล้วอ้างว้าง
"ฉันจะทิ้งโน้ตไว้ และจะไม่กลับมาที่นี่อีก...จนกว่านายจะเลิกทำตัวน่าเบื่อ"
ขนปีกสีดำใหญ่โรยลงพื้นแล้วหายไปราวภาพมายา ทุกอย่างกลับเงียบสงบเหมือนเดิมอีกครั้งคล้ายกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
จบแล้ว...แต่ความจริงยังอยู่ข้างเขา สมุดที่จารึกแต่ชื่อของคนตายยังคงสัมผัสสายลมบนโลกไม่จางหาย หน้ากระดาษเปิดพลิกให้เห็นตัวหนังสือนับหมื่นนับพันเรียงราย ยิ่งมีรอยสีดำลงบนกระดาษสีขาวมากเท่าไร โลกก็จะยิ่งสะอาดมากขึ้นเท่านั้น
ทว่าเสียงต่ำยามต้องลมของมันกลับพาให้นึกถึงอดีตที่ไม่อยากให้เกิด ดั่งแพนโดราซึ่งเต็มไปด้วยสิ่งน่ากลัวส่งเสียงกรีดร้องโหยหวน ความเจ็บปวดเกินจะทานทนเสียดแทง สะท้านจนต้องเอื้อมมือไปตะปบหยุดมัน
...เสียง...เงียบลงอีกครา...
ร่างบางค่อยพยุงตัวลุกขึ้นพร้อมกับสมุดในมือ ขาเซเล็กน้อยจากการไม่เขยื้อนตัวนาน แต่ก็ยังคงทรงตัวยืนอยู่ได้ นัยน์ตาสีน้ำตาลเฉยชาทอดมองแผ่นหินสีขาวที่มีเพียงแค่ตัวอักษร L และตราของกรมตำรวจสากลตรงหน้าอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะพูดออกมาช้าๆและเบาเหมือนเสียงกระซิบ
"ฉันแค่อยากจะมาบอกนาย...ว่าฉันชนะอีกแล้ว"
เด็กหนุ่มเดินออกจากสุสาน ทิ้งทิวแถวของเหล่าแผ่นหินสีขาวไว้เบื้องหลัง ร่างกายจำทางเข้าเมืองได้เองโดยไม่ต้องให้สมองสั่งการ เมื่อความอุ่นและเสียงของในเมืองปลุกให้เริ่มรู้สึกตัว เขาก็ก้มตัวต่ำลง กอดกระชับโน้ตแนบอกแน่นขึ้นพร้อมกับเร่งฝีเท้าขึ้น
...ฉันชนะ...
...แต่ทว่า...
แววตาที่ว่างเปล่าสอดส่องมองรอบกายอย่างหวาดระแวง เสียงผู้คนเซ็งแซ่เป็นเสียงโทนเดียว ภาพรอบกายที่เคลื่อนไหวอย่างเป็นระบบระเบียบพาให้ลมหายใจติดขัด ไลท์เงยหน้าขึ้นสูดลมหายใจเฮือกใหญ่เหมือนขาดอากาศ ทันใดขาทั้งสองข้างก็ชะงักหยุด เมื่อภาพของเหล่าตำรวจผู้เคยร่วมฝ่าฟันกันมาสะท้อนเข้ามาในดวงตา
ริมฝีปากสั่นเทิ้มตะโกนเรียกชื่อของบุคคลทั้ง 3 ก่อนจะรีบวิ่งฝ่ากลุ่มคนเข้าไปหาอย่างไม่สนใจสิ่งรอบข้าง ยื่นแขนพลางตะโกนเรียกแต่เหมือนเสียงส่งไปไม่ถึง ร่างบางชนคนที่สวนมาแล้วล้มลงกับพื้น สมุดสีดำไถลไปตามทางเดินสะอาดสะอ้าน เสื้อสีขาวเปรอะเปื้อนฝุ่น เด็กหนุ่มไม่สนใจความเจ็บยันตัวขึ้นมองหาแต่ก็ไม่เห็นพวกเขาแล้ว
"เป็นอะไรมากหรือเปล่าคะ ?"
เสียงใสที่คุ้นเคยทำให้รีบหันกลับมามองเด็กสาวซึ่งกำลังยื่นสมุดโน้ตมาให้ ไลท์หลุดคำว่า มิ ออกมาอย่างตกใจระคนโล่งใจ ทว่าคำเรียกชื่อคนที่มอบความรักให้เขาสุดหัวใจก็ต้องสะดุดลง เมื่อผู้หญิงตรงหน้าไม่ใช่คนเดียวกันที่คิดถึง
ผู้คนรอบข้างต่างเข้ามารายล้อมช่วยพยุงอย่างเป็นห่วง จังหวะการก้าวเท้าอันสอดคล้อง แววตาที่มองมาอย่างอาทร บรรยากาศที่ปราศจากความชั่วร้าย ท่ามกลางความงามของจิตใจผู้คนที่ต่างส่องประกายเล็กๆ รวมกันดั่งแสงสว่างที่กระทบบนพื้นน้ำระลอกไหว สวยงาม...และแสบตาจนไม่อาจทนมองได้ ไลท์คว้าสมุดกลับคืนมา แล้วก้มหน้าก้มตาวิ่งจากไปอย่างรวดเร็วโดยไม่หันกลับ
...โลกใหม่...โลกที่สงบและสะอาดอย่างที่ต้องการ...
...แต่ทำไมมันกลับทำให้...ฉัน...
ชายเสื้อเชิ้ตสีขาวที่เปื้อนดินจากการหกล้มสะบัดตามแรงวิ่ง เสียงฝีเท้าเพียงคู่เดียวดังก้องทางเดินที่มีแต่ตึกใหญ่ตั้งตระหง่านโอบล้อมไว้ทั้งสองข้าง อากาศหนาวเย็นเคลือบผิวที่ซ่อนอยู่ในชุดบางๆ ผ่านเข้าลำคอและรอดไหลออกมา ความเย็นพาให้ภายในและนอกร่างแห้งผาก เด็กหนุ่มกอดร่างที่สกปรกเปรอะเปื้อนให้ไกลห่างจากผู้คน ขาทั้งสองข้างหนักอึ้งราวถูกพันธนาการ ถึงอย่างนั้นเขาก็พยายามวิ่งกลับบ้านที่ยังมีคนรอคอยเขาอยู่
"กลับมาแล้วเหรอ ?"
รอยยิ้มของไลท์ค่อยๆจางหาย เมื่อรู้แน่ว่าจะไม่มีเสียงของวันวานต้อนรับเขาอย่างอ่อนโยนทุกครั้งยามเปิด ประตูบานนี้แน่แล้ว ทุกครั้ง...ทุกครั้ง...จะมีเพียงความมืดซ่อนอยู่ ไลท์ทำได้แต่มอง มองเบื้องหน้าที่มืดเสียจนมองไม่เห็น ไม่เห็นใครเลย...ไม่มีใครเลย
บางอย่างในใจที่พยายามดึงดันต้านทานมาเนิ่นนานท้ายที่สุดก็พังทลายลง เด็กหนุ่มเดินถอยหลังจนชิดกำแพงบ้าน...หัวเราะด้วยโทนเสียงต่างๆราวกับพยายามหยั่งถึงจิตใจของตน และค่อยๆทรุดตัวลงนอนขดตัวกับพื้นอย่างช้าๆจนเหมือนกลุ่มไหมสีขาว ฤดูที่เงียบสงัด...ไร้เสียงของแมลง...ไร้เสียงของนกร้อง มีเพียงเสียงสะอื้นไห้ลอดออกมาเป็นระยะ
...โลกใหม่ที่ฉันสร้าง...
...กลับไม่มีที่ให้ฉันอยู่...
...........
...ถึงอย่างนั้น....
...ฉันก็ยังคงทำหน้าที่นี้ต่อไป...
"ถ้าอย่างนั้นดิฉันกลับก่อนนะคะคุณยางามิ"
ไลท์พยักหน้าตอบรับพยาบาลซึ่งมาช่วยดูแลสุขภาพของเขา กับท่าทีที่เย็นชาอย่างนี้ เธอยังคงดูแลเอาใจใส่เขาอย่างดี ถึงแม้ภายในห้องที่ไร้แสงไฟยังมองเห็นรอยยิ้มเป็นมิตรและไร้ความชั่วร้ายใด แอบแฝงชัดเจน สิ้นเสียงประตูที่ขังร่างผอมแห้งกับความมืดไว้ ไลท์เอี้ยวตัวไปหยิบสมุดโน้ตสีดำซึ่งไม่เคยเก่าลงออกมาจากลิ้นชักของโต๊ะหัวเตียง ก่อนจะเขียนบางอย่างลงไปอย่างช้าๆ โดยอาศัยเพียงแสงสลัวของจันทร์เพ็ญและแสงไฟจากด้านนอกเท่านั้น
แม้จะไม่เคยหยุดพิพากษา แต่เสียงปากกาก็ค่อยๆน้อยลงจากชีวิตเขา โลกใสสะอาดขึ้นด้วยมือของตุ๊กตาที่รอลานหมด ฤดูร้อนกลับมาเยือนเขาอีกครั้ง แต่ไม่ว่าครั้งที่เท่าไหร่...เขาก็ไม่รู้สึกถึงความสีสันที่สวยงาม...กับโลกที่มีเพียงสีขาว
เสียงจักจั่นที่ดังระงมพลันเงียบหาย แล้วนัยน์ตาเหม่อลอยด้านชาก็มีชีวิตชีวาขึ้นในทันใด เมื่อเงาใหญ่พาดทับลงบนสมุด ชายวัยกลางคนไม่ได้หันไปมองหน้าต่างที่ไม่เคยปิดทางด้านหลัง เขาเผยรอยยิ้มน้อยๆดูเป็นสุข จากนั้นจึงพูดอย่างแผ่วเบา
"มารับฉันแล้วเหรอ ลุค"
สายลมแรงยามค่ำของฤดูร้อนหยุดลง แต่ขนปีกใหญ่สีดำยังคงปลิวปรายและร่วงหล่นลงสัมผัสหลังมือซึ่งบ่งบอกวัยที่ล่วงเลยอย่างนุ่มนวล ผู้มาเยือนยามรัตติกาลขยับตัวนั่งลงบนกรอบหน้าต่างอย่างไม่รีบร้อน พร้อมกล่าวปฏิเสธด้วยคำพูดสั้นๆ
"ผมไม่ใช่ลุค"
เสียงที่ไม่ได้ยินมานานผสานไปกับอากาศ ไลท์รีบหันไปมองอย่างตื่นตระหนก นัยน์ตาที่เบิกกว้างสั่นไหวมองไปทางชายในชุดดำทั้งตัว มีเพียงผ้าพันแผลเก่าๆ เปื่อยยุ่ยเปื้อนเลือดและหนองซึ่งปิดใบหน้าครึ่งซีกอยู่เท่านั้นที่เป็นสีขาว ปลายผ้าพันแผลพลิ้วสะบัดรับลม แสงจันทร์ส่องย้อนเข้ามาในห้องทำให้เห็นใบหน้าไม่ถนัดตา ถึงอย่างนั้นด้วยอิริยาบถของอีกฝ่าย ทำให้รู้ดีว่าไม่มีทางเป็นใครอื่น จึงสะกดชื่อเรียกที่ไม่ได้เอ่ยมาแสนนาน
"...ริวซากิ..."
ยมทูตกอดเข่ามองคนตรงหน้านิ่งนานราวเวลาหยุดหมุน มือที่ซ่อนอยู่ใต้ถุงมือหนังสีดำดูใหญ่โตน่ากลัว ริมฝีปากอิ่มที่ไม่เคยขาดของหวาน บัดนี้กลับเปื่อยยุ่ยแม้จะพันผ้าปิดบังไว้ก็ไม่มิด ฝ่ายนั้นขยับพูดกระท่อนกระแท่นราวเด็กเพิ่งหัด ทุกอย่างดูเปลี่ยนไป จะมีแต่นัยน์ตาสีดำโหลลึกไม่เปลี่ยนไปจากเดิม
"ลุคพูดถูก...ถ้ามารับคุณแล้ว คุณจะตั้งชื่อให้ผม"
"ไม่ใช่นะ นั่นไม่ใช่ชื่อของนาย"
คนที่นั่งอยู่บนเตียงรีบปฏิเสธ ผู้มาเยือนเอียงคอเล็กน้อยก่อนจะกลอกตาขึ้นบน เอียงคอมองออกไปยังทิวทัศน์ทางด้านนอกเหมือนไม่ใส่ใจ จากนั้นก็หันกลับมาสนใจไลท์อีกครั้งพร้อมกับใช้นิ้วโป้งจรดริมฝีปากล่างอย่างไม่รู้ตัว
"ถ้าอย่างนั้นผมชื่ออะไรล่ะ ? หืม ?"
บางอย่างปะทุขึ้นในอก คำถามเรียบง่ายกลับทำให้อารมณ์สั่นไหวจนเผลอกำผ้าปูที่นอน คำถามซึ่งไม่สามารถหาคำตอบได้ตลอดกาล คนๆเดียวที่ถูกเขาฆ่าตายโดยไม่รู้ชื่อ
"แอล...ริวงะ...ไม่สิ...ไม่ใช่..."
เสียงและสีหน้าของไลท์สลดลงเรื่อยๆ ภาพของวันวานกลับฉายชัดในใจเหมือนไม่เคยลบเลือนไปจากความทรงจำ...กับคนๆ ที่เขาพยายามไขปริศนาตั้งแต่คราวแรกที่พบ พูดคุย...ยิ้มให้...หัวเราะ...มารยาและการเสแสร้งเพื่อนำพาคนตรงหน้าไปสู่ ความตาย ณ จุดเริ่มต้นของโลกในอุดมคติ พอจบลงไปแล้วความเศร้าและโหยหาที่รออยู่จึงบอกให้รู้ว่าสิ่งที่ทำลงไปไม่ได้ หลอกเพียงแค่ฝ่ายนั้นฝ่ายเดียว
...แล้วโลกใบนี้ก็เป็นสีขาว...
"ฉันไม่รู้..."
ไลท์ขมวดคิ้วพลางก้มหน้า ไม่กล้ามองสภาพของแอลที่เปลี่ยนไปเพราะเขาได้อย่างเต็มตา จุดจบของแอลเป็นสิ่งเริ่มต้นของทุกอย่าง ส่วนหนึ่งของทางเดินสีขาวก้าวแรกที่เขาต้องข้ามผ่าน...เป็นสอง...และ สาม...สี่...จนขาทั้งสองข้างหนักอึ้ง ราวกับแสงอาทิตย์ส่องจ้าจนแสบตาแต่ก็เกิดเงาสีดำทะมึนทอดยาวอยู่ด้านหลังดึงรั้งไว้
ทำไมลุคต้องส่งให้อีกฝ่ายมาที่นี่...สนุกที่จะได้เห็นปฏิกิริยาของเขาเหรอ
"...นาย...จำชื่อของตัวเองไม่ได้หรือไง ?"
"ผมเพิ่งเกิด"
ยมทูตพูดพลางวางใบหน้าลงบนเข่าทั้งสองที่ตั้งชัน แล้วเอียงหน้าข้างซ้ายมาเพื่อให้ตาซ้ายที่ไร้เปลือกตาซึ่งมีอยู่เพียงข้างเดียวเพื่อให้เห็นภาพได้ชัด "...นานแสนนานที่ผมอยู่ในยมโลก...มันเป็นเรื่องปกติที่ยมทูตจะจำเรื่องสมัย เป็นมนุษย์ไม่ได้..."
จากนั้นก็ยิ้มน้อยๆ นัยน์ตาสีดำเป็นประกายดื่มด่ำลึกซึ้ง "แต่ผมชอบชื่อที่คุณเรียกผม...ริวซากิ..."
รอยยิ้มใสซื่อที่ปรากฏบนใบหน้า ยิ่งสร้างความขื่นขมถาโถมไม่หยุดหย่อน ไลท์เม้มปากแน่นกลืนน้ำลายที่เหนียวติดในลำคออย่างยากลำบาก ก่อนจะเอ่ยปากถามช้าๆด้วยเสียงสั่นเครือ
"แล้วลุคอยู่ไหน ? ทำไมให้นายมารับฉัน"
"เขาตายแล้ว"
เสียงของริวซากิทุ้มต่ำฟังดูหดหู่ นัยน์ตาสีนิลหมองลง "เขาไม่ได้เขียนชื่อมนุษย์ วันๆเอาแต่นั่งกินแอปเปิล...แล้วก็สลายเป็นทรายไป"
ไลท์ขมวดคิ้วก้มหน้านิ่งพินิจตัวเองในห้องที่เงียบสงบไม่มีสิ่งใดน่าสนใจ จากนั้นก็ส่งเสียงต่ำในลำคอเป็นนัยว่ารับรู้ ทั้งข่าวคราวและเหตุผล แล้วพูดขึ้นมาอีกครั้ง
"นายเลยมารับฉันแทน"
"ใช่..."
ริวซากิพยักหน้ารับ "ลุคเคยบอกว่าถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ให้ผมช่วยมารับคุณให้ได้ แล้วชื่อคุณ...จะเป็นชื่อแรกบนสมุดของผม"
ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกหายใจติดขัดขึ้นจนต้องล้มตัวลงบนเตียง ผ้าปูเตียงค่อยๆยับยู่ทีละน้อยจากการลากกายเพื่อระบายความอึดอัด เหลือบมองไปทางยมทูตตรงหน้าต่าง ก็เห็นสมุดสีดำกำลังกางอยู่บนตักอีกฝ่าย เป็นดั่งตัวแทนอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้น ไลท์หัวเราะเบาๆให้กับโชคชะตา เสียงหัวเราะฟังดูว่างเปล่าระคนอ้างว้างและสมเพชตนเองเด่นชัด
"สุดท้ายก็ถึงคราวของฉัน...แต่ทำไม...กลับไม่รู้สึกอะไรเลย"
"เพราะคุณรู้สึกว่าชีวิตไม่มีความหมายน่ะสิ ไลท์คุง"
ลมพัดมายังหน้าสมุดเล่มสีดำของผู้ที่นอนอยู่ ตัวอักษรนานาบนนั้นก็เป็นเพียงตัวอักษร มองเขาอย่างเงียบสงบเช่นเดียวกับอักษรที่สลักลงบนแผ่นหินสีขาวในสุสาน ไลท์หันกลับมามองริวซากิซึ่งกำลังพูดต่อ
"คุณรู้ไหม ความหมายของชีวิตอยู่ที่ไหน ?"
...คำถามในวันนั้นกลับมาอีกครั้ง...
ไลท์มองไปทางอีกฝ่าย ไม่มีมาดร้ายหรือชิงชัง...มีเพียงรอยยิ้ม สัมผัสได้ถึงสายลมพัดผ่านเข้ามาในห้องละใบหน้าและโอบกอดกาย ความทรมานจากการแบกรับความผิดมาตลอดเหมือนถูกพัดพาไปจนหมดสิ้น...เสียง จักจั่นหวนคืนมาอีกครั้ง...เบื้องหน้าคือสีดำที่ดูไร้สีสัน แต่งดงามในดวงตา
...ทำไมตอนนั้นฉันตอบไม่ได้นะ...
"ริวซากิ...ขอจับมือนายได้ไหม ?"
ชายหนุ่มยิ้มตอบอย่างอ่อนล้า ในตอนนี้เขาสามารถเรียกชื่อของอีกฝ่ายอย่างเต็มปาก แล้วมือใหญ่ที่ซ่อนมาตลอดก็ยื่นมาจับมือของชายอีกคนอย่างหลวมๆ ปลายโซ่สีเงินยาวจากกุญแจมือที่ประดับตรงข้อมือจึงหล่นลงมากระทบขอบเตียงส่งเสียงใส ขัดจังหวะเสียงลมหายใจที่แผ่วเบาลง ม่านสีขาวที่พลิ้วไหวกั้นระหว่างคนทั้งคู่ลอยสูงขึ้นแล้วค่อยๆลู่ลงตามเดิม แววตาพร่าเลือนของไลท์ดูนิ่งสงบ เปลือกตาของเขาดูบอบบางไม่ต่างจากปีกของผีเสื้อ
...เดินมานาน...หลงทางมานานในโลกใบนี้...
"...ฉัน...เหนื่อยมากเลย..."
"ครับ..."
ริวซากิพยักหน้าพร้อมตอบรับ เสียงของยมทูตเหมือนแว่วมาแต่ไกล "...ผมรู้..."
...กว่าจะพบ...
...ของฉัน...
........................................................
End
ฮ้าบ เรื่อยๆฮับ สบายๆ