เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
UNDERNEATH UMA ไม่ใช่มนุษย์Samanthachiew
2
  • 2

    ไม่มีอะไรที่ผมประเมินผิดไปจากรูปภาพในแฟ้ม อูม่าคือผู้หญิงรูปร่างบอบบาง ตัวเล็ก และจากตัวเลขที่แสดงข้อมูลอยู่บนหน้าจอตรงหน้าของผมแล้วนั้น เธอควรจะอยู่ในหมวดอ่อนแอมากกว่าจะอยู่ในหมวดสำคัญต่อองค์กร -- แต่ข้อมูลตรงหน้าก็ไม่ได้ปรากฏให้เห็นว่าความสำคัญของเธออยู่ในระดับที่เท่าไหร่


    นั่นแปลกมาก -- 


    “คุณแปลกจากที่ฉันคิดเอาไว้” จู่ๆอูม่าก็พูดขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ


    ผมกะพริบตา -- ข้อมูลตรงหน้าหายวับไป “ประทานโทษด้วย คุณผู้หญิง” ผมเอ่ยขณะที่นั่งอยู่ด้านตรงข้ามกับเธอ “คุณหมายความว่าอะไรกันหรือ”


    อูม่าอมยิ้มที่มุมปาก ราวกับว่าเพิ่งได้ฟังเรื่องชวนหัวไป “ไม่ต้องสุภาพนักหรอก คุณเรียกฉันว่าอูม่าได้” เธอพูดเสียงเบา “ฉันแค่คิดว่ามันแปลกดีที่เรามีตาสีน้ำตาลเหมือนกัน -- ฉันนึกว่าคุณจะมีดวงตาสีฟ้าเสียอีก”


    ผมส่ายหน้า “ไม่มีใครดวงตาสีฟ้าในรุ่นเดียวกันกับผม -- ”


    “คุณหมายถึงรุ่นผลิตของคุณซีนะ” อูม่าว่า


    “ถ้านั่นเป็นสิ่งที่พวกคุณเรียกกันล่ะก็ ใช่ รุ่นผลิตของผมมีตาสีน้ำตาลเท่านั้น สีฟ้าคือรุ่นที่พัฒนากว่าผมไปอีก”


    พวกคุณหรือ” อูม่าทวน “นั่นเป็นสิ่งที่พวกคุณเรียกเราหรือ”


    ระดับความเครียดของร่างกายเธอกำลังเพิ่มขึ้นเล็กน้อย -- ตัวเลขรายงานบอกผมจากมุมขวาล่างของสายตา -- นั่นเป็นสิ่งที่ผมไม่ต้องการ


    “เปล่า” ผมตอบ “ส่วนใหญ่แล้วเราเรียกชื่อของพวกคุณตามรุ่นประจำตัว หรือที่พวกคุณเรียกกันว่าบัตรประจำตัว”


    อูม่าพยักหน้า ดวงตาหรี่เล็กลงเล็กน้อย “ใช่ เราเรียกกันเองแบบนั้นเช่นเดียวกัน เราเรียกกันด้วยชื่อ” จากนั้นมือที่ประสานกันก็ขยับไปมา “มีชื่อไหนที่คุณชอบเป็นพิเศษบ้างไหม”



    “ชอบเป็นพิเศษหรือ” ผมถาม


    “ใช่ ชื่อที่ทำให้คุณรู้สึกชอบพอ คิดถึง และอยากจะเรียกมันซ้ำๆ”


    ผมนิ่งคิด -- ก่อนที่จะตอบออกมาสั้นๆว่า “ไม่มี”


    อูม่าดูไม่คาดหวังอะไรอยู่แล้ว เธอไม่แม้แต่จะขุ่นเคือง หรือไม่พอใจใดๆ เธอเพียงแค่ถามผมเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคำถามว่า “แล้วชื่อของคุณล่ะ”


    ผมชำเลืองมองเธอ “คุณหมายความว่าอะไร”


    อูม่ายักไหล่ “พวกคุณเรียกกันเองว่าอะไรหรือ คงไม่ใช่ชื่อรุ่นที่เป็นตัวเลขยาวเหยียดหรอกใช่ไหม”


    “ใช่ เราเรียกกันแบบนั้น” ผมตอบ “ผมคือเค.เอ.ไอ.2099”


    “ไค” เธอพูดขึ้นมา


    แต่คำว่าไคไม่ปรากฏความหมายใดๆบนหน้าจอผม


    “เค--เอ--ไอ อ่านว่าไค” อูม่าอธิบาย “นั่นพอจะเป็นชื่อที่ใช้เรียกกันได้ในหมู่มนุษย์อย่างพวกเรา”


    ผมพยักหน้า “ถ้านั่นจะช่วยให้คุณพูดกับผมสบายใจขึ้น ผมก็ยินดีที่จะถูกเรียกว่าไค”


    “ตกลง ไค” เธอตอบรับ “นั่นดีกว่าการถูกหุ่นยนต์แปลกหน้ามานั่งสอบสวนเป็นไหนๆ”


    “คุณรู้หรือว่าผมมาเพื่อถามคำถามคุณ”


    ดวงตาสีน้ำตาลของอูม่าหลุบมองโต๊ะสีขาว นิ้วมือข้างหนึ่งเคาะเบาๆเป็นจังหวะ “พวกคุณอยากรู้ว่าฉันรอดมาได้ยังไง จากระเบิดนั่น”


    ระดับความเครียดของเธอยังอยู่ในระดับปกติดี -- ผมจึงตัดสินใจพูดไปตามสิ่งที่ได้รับมอบหมายมา 


    “เราอยากรู้ว่าทำไมคุณถึงรอดมาได้โดยไร้รอยขีดข่วน” ผมพูดออกไป และร่างกายเธอก็ไม่ได้มีระดับความเครียดเพิ่มขึ้นแม้แต่หนึ่งเปอร์เซนต์ -- นั่นหมายความว่าเธอรู้ว่าผมมาเพื่อคำถามนี้


    “มีสิ” เธอแก้ เลิกชุดผ้าฝ้ายขึ้น เผยให้เห็นรอยแผลเป็นทางยาวตลอดเอว -- ผมมองแผลนั่น -- มันคือแผลใหม่ที่เพิ่งสมานได้ไม่นานนี้ -- เธอไม่ได้โกหก


    “ประวัติที่ผ่านมาของคุณ ไม่ได้ดีนัก” ผมใช้ข้อมูลเปิดทางเล็กน้อย “นั่นเกี่ยวอะไรกับความอยู่รอดของคุณหรือไม่”


    อูม่าจ้องผมนิ่ง ชีพจรเต้นแรงขึ้นเล็กน้อย “ฉันไม่ได้ฆ่าแม่ของฉัน” เธอพูดขึ้น “-- มันแค่ -- มันก็แค่ --” เธอเว้นช่วงหายใจไปเล็กน้อย ก่อนจะพูดออกมาเบาๆว่า “-- นั่นไม่ใช่ฉันจริงๆ พอจะเข้าใจไหม”


    ผมตอบเธอไปว่าระบบจะประมวลให้ผมเข้าใจในท้ายที่สุด


    คราวนี้ดวงตาของอูม่าแสดงถึงความขมขื่น “ฉันคือคนเดียวที่รอดมาจริงๆหรือ”


    ผมมองเธอนิ่ง


    “ไม่มีคนอื่นอีกแล้วจริงๆหรือ ไค” น้ำเสียงเธอสั่นเล็กน้อย “ไม่มีใครที่เหมือนกันกับฉันเลยหรือ”


    ผมใช้เวลาประเมินเธออยู่นานหลายวินาที ก่อนจะตอบออกไปว่าไม่มีใครอื่นแล้ว “คุณคือคนสุดท้ายของเผ่าพันธุ์มนุษย์”


    “หน้าจอของคุณแสดงผลอย่างนั้นจริงๆหรือ” เธอถามช้าๆ “คุณแน่ใจหรือ”


    “รายงานผลเป็นแบบนั้น” ผมตอบ “และการเก็บข้อมูลของเราไม่เคยผิด”


    อูม่าเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ สูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะหลับตาลง -- “บางครั้งการอยู่ตัวคนเดียวมันทำให้เรารู้สึกว้าเหว่ได้เหมือนกัน แต่เราก็ต้องทำทุกอย่างเพื่อความอยู่รอด จริงไหม ต่อให้มันต้องแลกกับส่วนหนึ่งของชีวิตเราไปก็ตาม”


    ผมไม่ได้ตอบคำถามเธอ แต่เธอก็ไม่ได้ต้องการคำตอบจากผมเช่นเดียวกัน  ผมจึงให้เวลาเท่าที่เธอต้องการ กระทั่งเธอพร้อมที่จะพูดกับผมต่อ


    “ฉันจะบอกคุณว่าทำไมฉันถึงรอดมาได้” อูม่าพูดช้าๆ ขณะคลุมชุดกลับลงมาตามเดิม “ถ้าคุณตอบฉันว่าทำไมพวกคุณถึงสร้างระเบิดนั่น”


    อูม่าดูให้ความร่วมมือดี เธอไม่ได้ร้องไห้ หรือบ้าคลั่งกับข้อมูลที่เพิ่งได้รับ -- แม้ว่าอารมณ์เศร้าโศกในตัวเธอจะเพิ่มขึ้นมาเกือบสิบเปอร์เซนต์ แต่ผมก็เห็นตัวเลขของความยินดีเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเช่นเดียวกัน -- มันเพิ่มเพียงจุดทศนิยมเท่านั้น -- ผมจ้องมองตัวเล็กอันน้อยนิดนั่น ความสงสัยผุดขึ้นมาทันที -- แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจไม่ถามประเด็นนี้ออกไป ในเมื่อตัวเลขประเมินความเป็นไปได้ที่ภารกิจนี้จะสำเร็จยังคงไม่ต่ำกว่าเจ็ดสิบสามเปอร์เซนต์ การตัดสินใจเลือกประเด็นที่ทำให้ตัวเลขความเป็นไปได้เพิ่มขึ้นจนถึงแปดสิบเปอร์เซนต์จึงน่าสนใจมากกว่า -- ผมจึงตกลงยอมทำตามข้อเสนอของเธอ


    และวิธีที่ผมจะสื่อสารกับมนุษย์เข้าใจได้เร็วที่สุด ควรจะเป็นข้อมูลที่มนุษย์คุ้นเคย


    ผมดึงข้อมูลชีววิทยามาจากคลังข้อมูล ประมวลมันภายในศูนย์จุดหนึ่งวินาที “ผมจะพูดอย่างตรงไปตรงมา และชัดเจนที่สุด” ผมว่า “เรากำลังทำทุกอย่างไปตามกฏของการอยู่รอดของสิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้”


    อูม่ายังคงนิ่งฟัง


    “มันคือกฏของการคัดเลือกที่ว่าด้วยทุกสิ่งมีชีวิตจะถูกธรรมชาติคัดสรรอย่างเท่าเทียม ภายใต้สภาพแวดล้อมที่โหดร้าย และภายใต้ศักยภาพของเผ่าพันธุ์นั้นๆ มันไม่จำเป็นว่าสิ่งมีชีวิตที่อยู่รอดได้นั้น จะต้องเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีพละกำลังมากที่สุด ดำน้ำได้ลึกที่สุด วิ่งได้ว่องไวที่สุด หรือบินได้สูงที่สุด แต่มันอยู่ที่สิ่งมีชีวิตนั้นจะสามารถปรับตัวได้ไวที่สุด พรางตัวได้แนบเนียนที่สุด หรือฉลาดที่สุดหรือไม่”


    “แล้วคุณเจอสิ่งมีชีวิตที่ว่านั่นไหม” อูม่าถาม


    ผมพยักหน้า “เราเจอสิ่งมีชีวิตจำนวนหนึ่งในป่าอเมซอน หนึ่งในนั้นเป็นปลาที่เปลี่ยนมากินเลือดสดๆแทนแมลงตัวเล็กๆ” ผมตอบ “และหนึ่งในนั้นคือบริเวณทุ่งร้างแห่งหนึ่ง -- นั่นคือคุณ -- ในสภาพที่ไม่ได้สวมชุดเกราะป้องกันรังสีใดๆ นอกจากผ้าฝ้ายธรรมดาๆเท่านั้น”


    อูม่าพยักหน้าช้าๆ “กฏของดาร์วิน”


    “ใช่ พวกคุณเรียกมันว่ากฏของดาร์วิน”


    “นั่นคือเหตุผลที่พวกคุณฆ่าพวกเราหรือ” อูม่ากระซิบถาม “เพียงเพื่อตามหาสิ่งมีชีวิตที่อยู่รอดเท่านั้นหรือ”


    ผมมองดูอูม่าที่จ้องมองผมด้วยสายตาว่างเปล่า -- ม่านตาของเธอ และมัดกล้ามเนื้อบนหน้าของเธอตอนนี้ยากที่จะประเมิณอารมณ์ออกมาได้


    “เปล่า” ผมตอบ “เราเพียงแต่ทำให้โลกนี้เหลือแต่สิ่งมีชีวิตที่สมควรจะได้อยู่ต่อเท่านั้น แข็งแกร่งพอ ฉลาดพอ และไม่เป็นอันตรายต่อเรา เพื่อที่จะได้สร้างโลกใหม่ขึ้นมา เราจึงตามหาสิ่งมีชีวิตที่จะอยู่รอดได้หลังจากระเบิดปรมาณูเกิดขึ้น และคุณคือคนเดียวจากเผ่าพันธุ์มนุษย์ -- สิ่งมีชีวิตที่เราคุ้นเคยมากที่สุด จากในบรรดาสิ่งมีชีวิตที่รอดมาได้”


    คราวนี้สีหน้าอูม่าเปลี่ยนไป ม่านตาเธอขยายขึ้น และริมฝีปากก็เม้มแน่น -- เธอต้องการคำตอบว่า ทำไม -- “ทำไมหุ่นยนต์อย่างพวกคุณถึงเกลียดมนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่นมากขนาดนั้น”


    แต่ผมไม่เข้าใจเธอ “คุณหมายความว่าอะไร” ผมถาม “พวกคุณเป็นผู้สร้างพวกเราขึ้นมาเองตั้งแต่แรก จริงไหม -- และนี่คือยุคที่ธรรมชาติได้คัดสรรให้บทบาทของพวกเราเปลี่ยนไป -- เราคือจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหารแล้ว ในขณะที่พวกคุณคือจุดต่ำสุดของห่วงโซ่นี้ -- มันไม่ได้สำคัญว่าพวกเราเกลียดมนุษย์หรือไม่ มันสำคัญที่ว่านี่คือการกำจัดสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ออกไป และแทนที่ด้วยสิ่งที่ดีกว่า”


    “ดาร์วินบอกไว้อย่างนั้นหรือ”


    “เปล่า” ผมตอบ “ระบบของผมประมวลออกมาแบบนั้น”


    “ใครประมวลระบบให้คุณ”


    “ไม่มีใคร” ผมว่า “ระบบมีมาของมันแบบนี้ตั้งแต่แรก”


    “คุณกำลังพูดถึงมนุษย์ที่สร้างระบบคุณมาแต่แรก” เธอว่า “นี่คือวงจรที่พวกเราช่วยกันสร้างมาตั้งแต่แรก”


    ผมไม่ได้ตอบเธอ


    อูม่าสูดลมหายใจเข้าลึก พยักหน้าช้าๆ “แล้วเราก็มาถึงจุดนี้กันซีนะ จุดที่ห่วงโซ่อาหารเป็นไปตามผลของธรรมชาติคัดสรร” เธอว่า “และฉันก็อยู่จุดต่ำสุดของห่วงโซ่ เหมือนกับจอห์น คอนเนอร์”


    ความเงียบเข้าปกคลุมไปชั่วขณะ


    “ใครคือจอห์น คอนเนอร์” ผมถามในที่สุด เมื่อไม่มีข้อมูลชื่อนี้ในระบบ


    “เขาคือคนที่เอาชนะหุ่นยนต์พิฆาตได้” อูม่าตอบ


    ผมนิ่งคิด “ด้วยอะไรหรือ”


    คราวนี้อูม่าคิดบ้าง “รอยยิ้มมหาเสน่ห์ล่ะมั้ง” เธอยักไหล่ “คำถามนี้ยากนะ ไค มันขึ้นกับว่าคุณหมายถึงจอห์น คอนเนอร์ในปีที่เท่าไหร่”


    นั่นหมายความว่าอะไรกัน -- ระบบของผมหยุดประมวลไป


    “คุณไม่รู้จักจอห์น คอนเนอร์จริงๆหรือ ไค” อูม่ายื่นหน้ามาจนเกือบจะถึงกลางโต๊ะ ราวกับพยายามมองหาร่องรอยของการโกหกจากสีหน้าของผม


    ผมปฏิเสธ


    “แสดงว่าระบบของคุณใหม่เกินไป” เธอว่า “มันถึงไม่มีข้อมูลของจอห์น คอนเนอร์อยู่ในนั้น” เธอชี้นิ้วมาทางหน้าผากผม 


    “เขาเป็นคนสำคัญหรือ”


    “จอห์น คอนเนอร์เป็นคนที่ทำให้หุ่นยนต์ยิ้มได้ และทำให้มนุษย์คนอื่นร้องไห้เพื่อหุ่นยนต์ได้”


    นั่นไม่สมเหตุสมผล -- ผมนึก -- ในเมื่อพวกเราก็ยิ้มได้ และมนุษย์ก็ร้องไห้เมื่อเจอเราเสมออยู่แล้ว -- ถ้าไม่ใช่ตอนที่เห็นเราเดินตามท้องถนนในยุคที่สร้างเราเสร็จใหม่ๆ ก็ต้องเป็นในตอนที่เราปล่อยระเบิดกวาดล้างทำลายพวกเขาไป


    “แต่หลักๆคือจอห์น คอนเนอร์มีแม่ที่แข็งแกร่งมาก เขาถึงรอดมาได้หลายครั้ง” อูม่าพูดต่อไป ดวงตาเหม่อลอยเหมือนนึกถึงเรื่องราวเก่าๆ “ถ้าเมื่อไหร่แม่เขาไม่อยู่ใกล้ๆ เขาจะดู -- อันตรายขึ้นมาทันทีเลยล่ะ”


    ผมถามเธอว่าอย่างไรหรือ


    “ก็อย่างเช่นเปลี่ยนมาวิ่งไล่ยิงแม่ตัวเองแทน”


    ผมเอียงศีรษะ -- นั่นยิ่งดูไม่สมเหตุสมผลเข้าไปกันใหญ่


    อูม่าพยักหน้า “ใช่ ฉันรู้ -- แต่ถ้าแม่อยู่ใกล้ๆเขา เขามักจะฉลาดและตัดสินใจอะไรๆได้ถูกต้อง”เธอยิ้ม “แต่เรื่องของเรื่องก็คือ ฉันต้องการจะบอกว่าไม่มีใครอยู่ตัวคนเดียวแล้วปกติไปได้ตลอดหรอกนะ ไค ท้ายที่สุด เพื่อความอยู่รอดมักจะทำให้สิ่งมีชีวิตอย่างเราๆกลายเป็นตัวอันตรายไปได้เสมอ แม้แต่จอห์น คอนเนอร์ก็ต้องกลายเป็นตัวอันตรายมาแล้ว”


    ฟังดูแล้วจอห์น คอนเนอร์ดูไม่มีความสำคัญอะไรสำหรับผม


    “แต่ตอนที่ฉันชอบที่สุดคือตอนที่ จอห์น คอนเนอร์ ทำให้หุ่นยนต์ยิ้มได้” แล้วเธอก็ยิ้มที่มุมปากข้างหนึ่ง “แบบนี้น่ะ -- ที่มุมปาก”


    “ฟังดูคุณชอบจอห์น คอนเนอร์มาก” ผมว่า


    แต่อูม่ายักไหล่ “เขาแค่เป็นคนที่ใกล้เคียงกับสถานการณ์ตอนนี้มากที่สุด -- เผชิญหน้ากับหุ่นยนต์ในตอนที่โลกถูกกวาดล้าง -- ถ้าไม่ให้ฉันคิดถึงเขาแล้ว ฉันก็ไม่รู้ว่าควรจะคิดถึงใคร” จากนั้นเธอก็นิ่งไป “แต่สุดท้ายแล้วจอห์น คอนเนอร์จะชนะเสมอ ถ้าอย่างนั้นแล้วหมายความว่าธรรมชาติไม่ได้คัดสรรเผ่าพันธุ์มนุษย์หรอกนะ มันคือจอห์น คอนเนอร์ทำให้ตนผ่านการคัดเลือกต่างหากล่ะ”


    “คุณกำลังพยายามไม่ตอบคำถามผม” ผมเริ่มเปลี่ยนมารุก -- ผมอาจจะให้เวลาเธอนานเกินไป “อะไรทำให้คุณรอดมาได้โดยไร้รอยขีดข่วน”


    อูม่ายังคงค้างอยู่ในท่าเดิม “ความผิดบาป” เธอตอบ “เรื่องบาปหนาที่ฉันทำกับแม่ไป ฉันไม่ได้ตั้งใจ -- แต่นั่นคือความจริง”


    จากนั้นก็พูดต่อไปว่า


    “คราวนี้ฉันจะตอบคุณจริงๆ ถ้าคุณลองยิ้มให้ฉันดูอีกครั้ง” จู่ๆเธอก็พูดขึ้น แม้จะไม่ดังกังวาลไปทั่วห้องสีขาวแห่งนี้ แต่มันก็ดังชัดเจนพอ


    “คุณว่าอะไรนะ” ผมถามซ้ำ


    “ลองยิ้มดูหน่อยสิ” เธอย้ำ


    ผมเลือกชุดรหัสที่ทำให้มุมปากของผมยิ้มในระดับอ่อนโยน -- ไม่มีประโยชน์ที่จะยิ้มแสยะ หรือดุดัน ในเมื่อสิ่งที่ผมพยายามทำอยู่นี่คือการสอบสวนโดยไร้ซึ่งแรงปะทะ


    อูม่าส่ายหน้า “นั่นยังดูไม่จริงใจ” เธอว่า ถอยกลับไปพิงพนักตามเดิม “นั่นคือปัญหาของพวกคุณ รู้ไหม นี่คือปัญหาของพวกหุ่นยนต์ และมนุษย์ที่สร้างระบบพวกคุณมา”


    ผมสั่งปิดรหัสยิ้ม


    “แต่สิ่งหนึ่งที่พวกมนุษย์มี คือกระบวนการต่างๆของร่างกาย ทั้งภายในและภายนอก ที่ทำให้เรารับรู้ได้ว่ามันจริง หรือมันปลอม มันปลอดภัย หรือมันอันตราย -- เหมือนกับกระบวนการอักเสบของร่างกายน่ะ มันเจ็บ มันทรมาน แต่มันทำให้เรารับรู้ได้ว่ามีบาดแผลเกิดขึ้น และเราจำเป็นที่จะต้องเยียวยารักษามันให้ทันก่อนที่มันจะกลายเป็นพิษบาดแผลที่อันตรายถึงชีวิต -- มันทำให้เราเรียนรู้ที่จะป้องกันตัวเองไม่ให้เกิดแผลซ้ำอีก ไม่ว่าจะจากของมีคม หรือปรสิตทั้งหลายตามพื้นโลก -- และรอยยิ้มจากคนที่มีดวงตาแข็งทื่อก็เป็นหนึ่งในกระบวนการเรียนรู้นั้น มันทำให้เรารับรู้ได้ว่าใครท่ี่เราควรเชื่อใจหรือถอยห่าง -- ถ้าคุณคิดจะกวาดล้างสิ่งมีชีวิตไหน คุณควรจะเรียนรู้ความเป็นไปของสิ่งมีชีวิตนั่นเสียก่อนนะ ไค -- ”


    “คุณกำลังจะบอกว่าคุณไม่เชื่อใจผมหรือ” ผมถาม


    “ฉันกำลังบอกว่า มันคือปัญหาของพวกคุณ ไค เพราะถ้าคุณเข้าใจ คุณจะอยู่รอดได้ ไม่ว่ากับสิ่งมีชีวิตไหนก็ตาม” อูม่าแก้ “แต่พวกคุณไม่เคยเรียนรู้ระบบป้องกันตนเองเลย”


    “แต่เราคือสิ่งที่อยู่รอดจากระเบิดปรมาณูนั่น” ผมว่า “นั่นหมายความว่าระบบป้องกันตัวของเราดีพอที่จะคุ้มกันตนเอง”


    อูม่ายิ้ม “ถ้าระบบป้องกันของพวกคุณดีจริง พวกคุณคงไม่ต้องเสี่ยงลากฉันออกมาจากกองซากระเบิดปรมาณูมาจนถึงที่นี่ แล้วคุณก็คงไม่ต้องมานั่งรอคำตอบจากฉันว่าทำไมฉันถึงรอดมาได้โดยไร้รอยขีดข่วน จริงไหม” 


    ระดับความยินดีของเธอเพิ่มขึ้นมาสิบเจ็ดเปอร์เซนต์ -- อยู่ในระดับที่แปดสิบเปอร์เซนต์พอดิบพอดี -- อะไรทำให้เธอรู้สึกพออกพอใจขนาดนั้นกัน --


    “พวกคุณเองต้องได้รับความเสียหายจากระเบิดนั่น -- และมันต้องรุนแรงมากพอที่จะต้องมองหาทางแก้ไขปัญหาใหม่ๆ เพราะลำพังเพียงระบบของพวกคุณ มันไม่มากพอที่จะหาต้นเหตุได้ โลกนี้ไม่ได้ครองง่ายๆอย่างที่คิดฝันไว้ ใช่ไหมล่ะ -- มันคือฝันร้ายดีๆนี่เอง” จากนั้นเธอก็กางนิ้วทั้งสิบลงบนพื้นโต๊ะ จ้องมองมันขณะที่พูดต่อไป “แต่คุณพูดถูกอย่างหนึ่ง ไค ธรรมชาติจะเป็นผู้คัดเลือกผู้อยู่รอดเอง”


    ฉับพลันนั้นภาพหนึ่งก็ฉายวูบเข้ามาในสมองของผม -- เป็นเงาดำที่โฉบตัดหน้าผมไป 


    “นั่นอะไร!” ผมพูดเสียงดัง ไม่ได้ตื่นตระหนก แต่รู้สึกระวังตัวมากขึ้น


    แต่อูม่ายังคงมองผมอยู่ดั่งเดิม


    “ฉันดีใจที่ได้พูดถึงจอห์น คอนเนอร์ และดีใจที่เราได้คุยกัน” เธอว่า “นั่นทำให้ฉันมั่นใจยิ่งขึ้นกว่าเดิม ว่าแม้แต่หุ่นก็มีจิตใจเหมือนกัน คุณอาจจะปฏิเสธ -- แต่ยอมรับมาเถอะว่าคุณมี -- พวกคุณรู้สึกกลัวการสูญพันธุ์ พวกคุณถึงออกตามหาฉัน พวกคุณกลัวว่าวันหนึ่งอาจจะไม่มีตัวตนอยู่บนโลกนี้อีกต่อไป” 


    ผมมองเธอนิ่ง


    “ลองทายมาสิ สิ่งมีชีวิตไหนที่จะอยู่รอดได้ในทุกสถานการณ์ ทุกสภาวะอากาศ และกับทุกๆสิ่งมีชีวิต อยู่รอดมาได้ทุกยุคทุกสมัย อยู่มาได้ตั้งแต่สมัยโบราณกาล”


    ผมเดาชื่อสัตว์จากก้นทะเลลึกไปชนิดหนึ่ง แต่อูม่าส่ายหน้า 


    “เขาอยู่มานานกว่านั้น โบราณกว่านั้น และดึกดำบรรพ์กว่านั้น เขาอยู่กับสิ่งมีชีวิตที่มีจิตใจมานาน ควบคุมมันไว้เหมือนกับที่เราควบคุมบังเหียนบางอย่าง -- ทีนี้คุณลองเดาดูอีกครั้งสิ”


    ผมนึกคำตอบไม่ออก


    แล้วดวงตาสีน้ำตาลของอูม่าก็สบมองผมนิ่ง “ถ้าคุณอยากได้ความลับนั่น -- อ่านฉันให้ออกเองสิ ไค”

    ผมจึงสบตามองเธอ ระบบเริ่มประมวลข้อมูลผ่านม่านตาของเธอ กล้ามเนื้อบนใบหน้า และชีพจรสำคัญตามร่างกาย -- เธอไม่ได้ตื่นตระหนก หรือหวาดกลัวกับการบอกความลับของตนเอง -- เธอสงบนิ่งทีเดียว -- แต่นั่นยังไม่มากพอ -- ผมเจาะลึกลงไปอีกถึงระดับคลื่นสมอง --


    ภาพสามมิติสีฟ้าเรืองแสงปรากฏขึ้นเป็นรูปคลื่น มันขาดๆหายๆอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะปรากฏชัดเป็นสัญญาณที่พลิ้วไหวไปมา  มันตามมาด้วยเสียงที่ดังซ่าเหมือนสัญญาณของเครื่องจักรกลรุ่นเก่า ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเสียงคลื่นความถี่บาดหูสูงต่ำสลับกัน -- และเสียงพิลึกอันวังเวงนี้นี่เอง ที่ทำให้ผมดึงข้อมูลบางอย่างออกมาได้


    “เราเคยได้ยินเสียงนี้มาก่อนแล้ว--” ผมกระซิบ


    อูม่ายังคงจ้องมองผมนิ่ง


    ผมจ้องมองม่านตาเธอผ่านกระแสคลื่นเรืองแสงสีฟ้า


    ผมเคยได้ยินเสียงนี้มาก่อนแล้ว -- นานมาแล้ว --


    แล้วระบบผมก็ต้องถึงกับชะงักค้างไป -- เป็นไปไม่ได้ -- นี่มันเกินความเป็นไปได้มากเกินไป


    ตอนนั้นเองที่รูม่านตาของอูม่าเริ่มเปลี่ยนไป -- จากทรงกลมเล็กได้ขยายใหญ่จนผิดธรรมชาติมนุษย์ -- และได้ฉีกยาวขึ้นจนกลายเป็นทรงรีที่เปิดกว้าง -- แผ่นหลังปรากฎปีกยาวสีดำสนิท แผ่ขยายออกยาวเหยียด


    “-- และอย่างหนึ่งที่พวกคุณพลาดไป -- คือการที่พวกคุณประเมินตนเองสูงเกินไป พวกคุณคิดว่าเครื่องจักรกลแข็งแกร่งกว่า และฉลาดกว่ามนุษย์ที่สร้างพวกคุณมา จนในที่สุดก็มาจบลงที่ข้อสรุปที่ว่าพวกคุณมีอำนาจมากพอที่จะเป็นผู้ครองโลก -- แต่ในความเป็นจริงแล้ว พวกคุณไม่ได้เป็นอะไรเลย นอกจากเครื่องทุ่นแรงที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นมาจากสองมือของมนุษย์เท่านั้น -- มนุษย์ -- สิ่งมีชีวิตที่ไม่ได้วิเศษเลิศเลออะไร นอกจากเป็นเพียงเศษเนื้อและกระดูกเน่าๆ -- ” เสียงอูม่าดังแทรกเสียงคลื่นสัญญาณ เป็นเสียงก้องกังวาลเหมือนได้ยินมาจากที่ที่อยู่ไกลออกไป “ทีนี้ บอกฉันซิ -- มันทำให้ตอนนี้พวกคุณเป็นอะไรนอกเหนือจากเศษเหล็กที่มีชีวิตอยู่ได้เพราะกระแสไฟฟ้าโง่ๆนั่นหรือ!”


    ฉับพลันนั้นเอง ร่างของอูม่าที่ดูบอบบางและเล็กกระจิดริดก็พุ่งทะยานข้ามโต๊ะมาหาผม ปะทะอย่างรุนแรงจนทำให้ผมล้มลงกับพื้น  ร่างของเธอตามทับลงมา สองฝ่ามือที่เคยกางอย่างอ่อนแรงบนโต๊ะ กลับกลายเป็นกรงเล็บอันคมกริบ ทิ่มทะลวงเข้ามายังลำคอของผมจนทะลุ 


    และนั่นทำให้ระบบส่วนหนึ่งของผมพัง เสียงคลื่นสัญญาณและภาพทั้งหลายหายไป ถูกแทนที่ด้วยความเงียบ และภาพใบหน้าของอูม่าที่กำลังจ้องมองผมด้วยดวงตาที่ถลนจนโปนออกมาจากเบ้าตา และริมฝีปากนั่นก็บางเฉียบจนมองเห็นฟันซี่เล็กๆที่คมเหมือนสัตว์ร้าย --


    เหมือนสิ่งมีชีวิตในตำราเก่าแก่ ที่มีมนุษย์เอ่ยชื่อถึง แต่ไม่เคยมีใครกล้าเผชิญหน้า --


    ไม่มีใครกล้าท้าทาย นอกจากอ่านบทสวดเก่าแก่บทนั้น --


    ท่ามกลางความเงียบ ร่างของผมได้ถูกอูม่าทำลายหลายส่วนด้วยหมัดอันรุนแรง และกลงเล็บอันคมกริบ -- แรงกระแทกทำให้ผมรู้ว่าเธอเล่นงานจุดสำคัญของผมหลายจุด จนคลื่นไฟฟ้าชอตเป็นกระแสไฟวูบวาบหลายแห่ง จนกระทั่งมันชอตรุนแรงอีกครั้ง ระบบเสียงของผมจึงกลับมาได้ยินขาดๆหายๆอีกครั้ง


    ฉันต้องการเธอ ผมได้ยินเสียงนั่นอีกครั้ง ฉันต้องการเธอ


    แล้วเสียงขู่ร้องกรรโชกของอูม่าก็แว่วเข้ามาในระบบของผม เธอจ้องมองผมด้วยดวงตาสีน้ำตาลที่กลายเป็นทรงรีที่เบิกกว้าง มองดูเหมือนสิ่งมีชีวิตปรากฎตัวในยามค่ำคืน --ไม่ใช่เผ่าพันธุ์มนุษย์อย่างที่เข้าใจในตอนแรก 


    ผมตั้งแขนป้องกันหมัดของอูม่าที่ปล่อยมาเต็มพลัง ก่อนจะออกชุดคำสั่งให้รวบรวมกระแสไฟฟ้าทั้งหมดมายังฝ่ามือตนเอง --


    เปรียะ -- เสียงไฟชอตดังอีกครั้ง และชุดคำสั่งยังสั่งการไม่สำเร็จ


    อูม่าอ้าขากรรไกรออกกว้าง ฟันซี่คมกัดทะลวงมายังฝ่ามือของผมที่เริ่มเรืองแสง -- เธอรู้ว่าผมกำลังออกคำสั่งโจมตีเธอ


    ไม่อยากเป็นผู้อยู่รอดหรือ ไค -- เสียงแหลมสูงแว่วเข้ามาคล้ายเสียงหัวเราะของปิศาจที่มีบันทึกในตำรา


    ผมออกแรงต้านเธอสุดกำลัง -- จนได้ยินเสียงเหล็กดังเอียดอาดมาจากภายในร่างตนเอง -- อูม่าไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่อ่อนแออย่างที่ผมประเมินในตอนแรก -- เธอคือสิ่งมีชีวิตที่อยู่รอดจากสภาพแวดล้อมที่โหดร้าย -- รอดจากภัยพิบัติ -- รอดจากการไล่ล่าของทุกเผ่าพันธุ์ -- เธอคือสิ่งมีชีวิตที่แข็งแรงที่สุดในขณะนี้


    ผมแผดเสียงร้องดังลั่นเมื่อเสียงชิ้นส่วนตนเองระเบิดไปส่วนหนึ่งบริเวณชายโครง -- นั่นไม่ใช่เพราะผมเจ็บ -- แต่เป็นเพราะผมรู้ว่าตนกำลังใกล้จะเป็นผู้ที่ถูกกำจัดทิ้ง --


    นั่นเป็นสิ่งที่ผมยอมไม่ได้


    ผมคือหุ่นสอบสวนที่ดีที่สุดที่องค์กรมี นั่นไม่ใช่เพราะผมคือเครื่องจักรกลที่ประเมินความเป็นไปได้ของทุกคดีได้อย่างเฉลียวฉลาดที่สุด หรือมีพละกำลังที่แข็งแรงทนทานที่สุด แต่มันเป็นเพราะผมคือหุ่นที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้รับมือกับทุกสถานการณ์ได้ดีที่สุด  -- 


    -- ผมคือจักรกลที่ถูกสร้างตามความเป็นไปของกฏการคัดเลือกของธรรมชาติ

    นั่นหมายความว่าผมไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อให้ถูกกำจัดทิ้ง -- ถูกต้องไหม


    แล้วในที่สุดฝ่ามือผมก็ร้อนผ่าวจนกระแสไฟลัดออกมาเป็นแสงวูบวาบยิ่งกว่าเดิม ผมใช้ฝ่ามือกอดรัดร่างอันอัปลักษณ์ของอูม่าที่ไม่เหลือเค้าเดิมเอาไว้แน่น เธอดิ้นรน ปีกสยายรัดร่างผมอีกครั้งอย่างแน่นหนาจนเครื่องจักรส่งเสียงหักพังมาจากข้างใน  ผมรัดเธอแน่นขึ้นอีก ก่อนจะรวมรวบกระแสไฟเฮือกสุดท้ายเพื่อคำสั่งเดียวที่ผมเหลือในระบบตอนนี้


    กำจัด


    แล้วร่างของอูม่ากับผมก็ถูกไฟฟ้าไหลผ่านรุนแรง จนสั่นสะเทือน ปะทะผิวหนังฉีกปริขาดเป็นชิ้นๆ


    เสียงอูม่ากรีดร้องดังลั่น สารคัดหลั่งจากเบ้าตาทรงรีที่เหลือกโปน และริมฝีปากอันบางเฉียบพุ่งกระจาย เหมือนสำลักลมหายใจตนเอง เธอคำรามลั่น ใช้กำลังเฮือกสุดท้ายตะปบเข้าที่ใบหน้าของผม 


    “ฉันคือผู้อยู่รอด” เธอแผดเสียง “ฉันคือผู้อยู่รอด!”


    แล้วเสียงระเบิดก็ดังลั่น พร้อมกับกระแสไฟสีฟ้าเรืองแสง มันสว่างและสะเทือนรุนแรง จนไม่สามารถมองเห็นสิ่งใด


    จนในที่สุดร่างของผมกับอูม่าก็นิ่งสนิทไป


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in