เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Prang's Storyปราง
"เคียง"
  • ตอนที่กำลังเผชิญหน้ากับเหตุการณ์แย่ๆ คุณเคยคิดตำหนิชีวิตตัวเองเหมือนเราไหม เราชอบคิดอยู่เรื่อยเลยว่า "ทำไมต้องเป็นเรา?" "ทำไมมันถึงไม่ไปเกิดขึ้นกับคนอื่นล่ะ?" หรือ "นี่เราไปทำกรรมอะไรไว้ถึงต้องวนมาเจอเรื่องแย่ๆแบบนี้"

    แล้วเคยคิดไหมว่าถ้าวันนึงที่เราต้องเผชิญกับเรื่องแย่ๆ เพียงลำพัง เราจะผ่านมันไปได้ยังไง? เราจะทำยังไงกับเหตุการณ์เหล่านั้นดี?

    -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


    เอาล่ะประโยคคำถามข้างบน เราอยากให้คุณตอบตัวเอง และเราก็จะตอบตัวเองด้วยเหมือนกัน จริงๆมันเป็นคำถามที่เราพูดกับตัวเองบ่อยมาก เราเชื่อว่าหลายคนที่เคยเจอเหตุการณ์แย่ๆ หรือสถานการณ์แย่ๆ มักจะตำหนิชีวิตตัวเองอยู่หลายครั้ง ต่อว่าโชคชะตาที่เล่นตลก บางครั้งเลยไปต่อว่าคนรอบข้างที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไร บ้างก็ตีอกชกหัวด่าทอตัวเองและโทษตัวเองไม่หยุดไม่หย่อน บ้างก็ตีอกชกหัวคนอื่นไปด้วย แต่สุดท้ายต่อให้คุณว่ากล่าวตำหนิชีวิตแบบนี้อีกล้านรอบ เหตุการณ์นั้นมันก็ยังคงเกิดขึ้นอยู่ดี เราว่าหนทางที่ดีที่สุด ณ ตอนนั้น คือ ตั้งสติ และหาทางแก้ไขมันก่อนดีกว่า

    ยังคงจำเรื่องเล่าเก่าๆของเราได้ไหม ตั้งแต่ที่เราเสียพ่อไป เราก็พาลคิดว่าทั้งชีวิตนี้เราคงหาความสุขไม่ได้อีกแล้ว ต่อให้เราเจอเรื่องที่ทำให้เราหัวเราะได้ ยิ้มกว้างได้ แต่สุดท้ายพอเราต้องอยู่คนเดียว เหตุการณ์ต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้น ภาพของพ่อที่เคยพูดคุย ยิ้ม จับมือ ซื้อของให้เรา หรือแม้แต่ตอนที่พ่อต้องเจ็บปวดทรมานอยู่ในโรงพยาบาล 2 อาทิตย์ ทุกอย่างมันก็วนกลับเข้ามาในหัวเป็นฉากๆ มันทำให้เราเจ็บปวดและยิ้มไม่ออกอีกเลย

    ก่อนอื่นต้องบอกก่อนนะว่า สาเหตุที่อยู่ดีๆ เราก็ลงมือเขียนเรื่องนี้ เพราะเราอยากแชร์มุมมองของเรา ให้คุณๆ ได้ลองอ่านกันดู มันเป็นมุมมองของคนที่ผ่านการเสียใจและจมดิ่งอยู่กับความทุกข์ จนเสมือนว่าความทุกข์เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดไปแล้ว แล้วพอวันนึงที่ทุกอย่างกำลังค่อยๆดีขึ้น กราฟชีวิตที่กำลังพุ่งขึ้นก็กลับดิ่งลงอีกครั้ง 

    แต่มาคราวนี้เราเรียนรู้วิธีรับมือกับมัน และจัดการความรู้สึกตัวเองได้ดียิ่งขึ้น เชื่อเราเถอะ กราฟชีวิตของคนเรามันขึ้นๆลงๆเป็นคลื่นแบบนี้น่ะดีแล้ว เพราะมันสร้างสีสันให้เราในทุกๆจังหวะชีวิต และแน่นอนว่ามันไม่ได้แย่ไปซะทุกเรื่องหรอก 

    ...เอาล่ะมาเข้าเรื่องกันดีกว่า

    เรื่องมันก็มีอยู่ว่า เราได้รู้จักกับใครคนนึง เขาเป็นคนที่คอยอยู่เคียงข้างในตอนที่เราทุกข์เรื่องพ่อ  คนๆนั้นเคยช่วยให้เราดีขึ้น เริ่มมีความสุขมากขึ้น คลายความทุกข์ ณ ตอนนั้นได้น้อยลง เริ่มแฮปปี้กับทุกๆอย่างได้มากขึ้น เรียกว่าทุกอย่างกำลังไปได้สวยเลยล่ะ

    จนกระทั่งวันหนึ่งที่คนๆนั้นล้มป่วย...

    อาการป่วยของเขาหนักมากจนถึงขั้นต้องผ่าตัด จากคนที่แข็งแรงมากๆ สามารถทำอะไรก็ได้ กลายเป็นต้องนอนพักอยู่ในโรงพยาบาล ให้อ็อกซิเจน และทำกายภาพบำบัด ความเข้มแข็งที่เคยมี ในวันนี้มันค่อยๆเลือนหายไป เขาเฝ้าโทษตัวเอง และโชคชะตาที่ทำให้เขาต้องมาพบเจอเรื่องเลวร้ายแบบนี้ ตำหนิติเตียนชีวิตที่แสนโหดร้าย และเบื่อหน่ายตัวเอง รวมทั้งสิ่งแวดล้อมรอบตัว

    แน่นอนล่ะ... คนที่เคยเดินเหินได้ปกติ แต่วันนึงต้องมานอนอยู่กับเตียง จะเคลื่อนไหวร่างกายก็ทำได้ช้าลง ย่อมเป็นธรรมดาที่จะรู้สึกหงุดหงิด เสียใจและรู้สึกแย่กับตัวเองมากๆ ที่สำคัญเลยคือการรู้สึกว่าตัวเองเป็นภาระให้กับคนในครอบครัว ความคิดเหล่านี้มันเป็นเรื่องที่ห้ามกันไม่ได้หรอก เราซึ่งเป็นคนปกติยังเครียดและคิดมากอยู่แทบทุกวันเลย แล้วนับประสาอะไรกับคนป่วยที่ร่างกายยังไม่ปกติล่ะ 

    แต่ทุกครั้งที่เขากำลังทุกข์และเริ่มตัดพ้อตัวเอง เราก็จะพูดกับเขาด้วยประโยคเดิมๆว่า ความคิดมันเป็นสิ่งที่เราห้ามกันไม่ได้ คุณจะเครียดหรือคิดมากก็แล้วแต่ แต่ขอให้รู้ว่าถ้าวันนี้คุณล้ม คุณต้องรีบลุกขึ้นมา มีหลายคนที่คอยอยู่เคียงข้างให้กำลังใจ และพวกเขาเหล่านั้นก็รู้สึกเจ็บปวดไปพร้อมกับคุณด้วย 

    (มึงไม่เป็นกู มึงจะมารู้ได้ไง) คนป่วยไม่ได้พูด เราพูดเอง

    ความจริงแล้ว
    เราต่างก็เจ็บปวดด้วยกันทั้งคู่นั่นแหละ 
    แต่คุณอาจจะมากกว่าเราหน่อย เพราะคุณเจ็บทั้งร่างกายและจิตใจ
    ส่วนเราแค่เห็นว่าคุณกำลังทุกข์ เราก็ทุกข์ตามคุณไปด้วยแล้ว

    แต่เราเชื่อว่าอะไรก็ตามที่มันเกิดขึ้น
    มันล้วนมีเหตุผล และสอนอะไรเราได้หลายอย่าง
    ทุกสิ่งทุกอย่างจะมีคุณค่าและความหมายหากเราได้เรียนรู้จากมัน

    คุณได้เรียนรู้คุณค่าของการมีชีวิต และความอดทนอดกลั้น 
    คุณได้เห็นว่าในยามที่คุณล้มป่วยมี ใครที่คอยอยู่เคียงข้างและให้กำลังใจ
    และคุณได้เห็นความสำคัญของคำว่าครอบครัว

    ส่วนเราก็ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างเช่นกัน จากคนที่ไม่ค่อยพูด กลายเป็นต้องพูดให้มากขึ้น เพราะต้องสรรหาคำปลอบโยนมากมายมาพูดกับคุณ ในขณะเดียวกันเราก็ต้องฟังให้มากขึ้น เพราะเราอยากรู้ว่าคุณกำลังรู้สึกอะไรอยู่ ซึ่งบางครั้งคุณก็นึกคำพูดอยู่เป็นนานสองนาน แต่เราก็เลือกที่จะเงียบเพื่อรอให้คุณได้ระบายความรู้สึกอัดอั้นในใจออกมา เราเป็นคนที่ร้องไห้ไม่ง่าย แต่ถ้าได้ร้องกว่าจะหยุดนานมาก แต่ครั้งนี้เราทำได้ เราไม่เคยร้องไห้ต่อหน้าคุณ เพราะเราอยากเป็นคนเข้มแข็ง อยากทำให้คุณเห็นว่าเราเป็นที่พึ่งให้คุณได้ และท้ายที่สุดมันฝึกความอดทน เพราะบางครั้งเราก็รู้สึกเหนื่อย เพลีย และหาข้อแก้ตัวให้ตัวเองมากมายเวลาขี้เกียจ แต่พอรู้ว่าคุณมีกำลังใจมากขึ้นที่ได้เจอเรา มันก็ทำให้เราฮึดสู้ และอยากไปอยู่ข้างๆคุณ

    -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    เหตุการณ์แย่ๆบางครั้งมันก็มาพร้อมกับเรื่องราวดีๆ มันอยู่ที่ว่าเราเลือกจะมองจากมุมไหน ทุกอย่างที่มันเกิดขึ้นมันย่อมมีเหตุผลในตัวมันเองเสมอ เราไม่จำเป็นต้องฝืนมองโลกให้สวยไปหมด แต่ก็ไม่จำเป็นต้องให้มันดำมืดไปหมดเช่นกัน เลือกมองในมุมที่เหมาะสม โลกสีเทาๆบางครั้งก็สวยงามดี มองโลกในแง่จริงดีที่สุดแล้ว

    สุดท้ายนี้ เราขอย้ำว่ามันอาจไม่ใช่มุมมองที่ดีที่สุด เพราะมันยังคงเจือไปด้วยความทุกข์และความเศร้าอยู่มาก แต่อย่างน้อยมันคงช่วยให้คนที่กำลังเผชิญหน้ากับความทุกข์เพียงลำพังได้รู้สึกว่า คุณไม่ได้เจอมันอยู่คนเดียว ยังมีอีกหลายคนที่ต้องพบเจอมันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ขอเพียงทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น และเดินหน้าสู้กับมัน อย่าปล่อยให้ความทุกข์กลืนกินชีวิตของเรา กำลังใจจากใครก็ไม่สู้กำลังใจจากตัวเอง ต่อให้วันนี้มีคนคอยให้กำลังใจคุณ แต่ถ้าคุณไม่ฮึดสู้กำลังใจเหล่านั้นก็ไม่มีความหมายใดๆ



    เข้มแข็งนะคะ 
    กำลังใจจะอยู่เคียงข้างคุณ


    ปราง
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in