เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
to my youthminnie2540
-

  • To my youth, wonhoon

    Trigger warning : mental illness


    아름다운 아름답던 그 기억이 난 아파서

    ความทรงจำที่แสนงดงามเหล่านั้นมันทำให้ฉันเจ็บปวด

    아픈 만큼 아파해도 사라지지를 않아서

    ต่อให้เจ็บปวดเท่าที่มันจะเจ็บปวดได้ แต่ความเจ็บปวดก็ไม่เคยจางหายไป

    친구들은 사람들은 다 나만 바라보는데

    เพื่อนๆ ของฉันและทุกๆ คนต่างก็มองเพียงแค่ฉันคนเดียว

    내 모습은 그런게 아닌데 자꾸만 멀어만 가

    แต่ความจริงแล้วตัวฉันไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย มันเอาแต่จะห่างไกลออกไป


    To My Youth – bolbbalgan4




    ฝนตก...

    นอกหน้าต่างเต็มไปด้วยความมืดครึ้มอันเกิดจากที่เมฆฝนสีเทาแผ่กระจายทั่วท้องฟ้า มันมาพร้อมกับเม็ดฝนนับหมื่นนับพันที่โปรยปรายมอบความเปียกชื้นให้กับพื้นดิน เป็นสภาพอากาศแบบที่ใครหลายคนชอบ แต่ใครหลายคนที่ว่านั่นอาจจะต้องตัดเขาออกไปแล้วหนึ่ง

    วีร์เกลียดฝน

    เกลียดมากที่สุด เกลียดเท่าที่ชีวิตนี้จะสามารถเกลียดได้ เกลียดที่มันทำให้เขากลายเป็นคนอ่อนแอ โดยเฉพาะในเวลานี้ เวลาที่ตัวเขามีแต่กลิ่นของความเศร้าและเจ็บปวด

    เขาไม่แน่ใจว่าตัวเองได้ทำผิดพลาดอะไรตรงไหนไปหรือเปล่า ชีวิตและความนึกคิดถึงได้เปลี่ยนไปแบบสามร้อยหกสิบองศา จากที่เคยมีความสุขกับอะไรเล็กๆ น้อยๆ มาตอนนี้เขาไม่เคยพูดได้เต็มปากเลยสักครั้งว่ามีความสุข ทุกอย่างแย่ลงไปกว่าที่เคยเป็นมาก

    หากถามว่ามันแย่ขนาดไหน ก็แย่ขนาดที่ต้องเข้าพบจิตแพทย์ ทำแบบทดสอบกับนักจิตวิทยา ก่อนได้รับการสรุปผลกลับมาว่า

    ‘คุณมีอาการซึมเศร้ารุนแรง’

    นั่นแหละที่จิตแพทย์บอกเขา มันเป็นเพียงแค่อาการ ไม่ถึงขั้นเป็นโรคซึมเศร้าก็จริง แต่ก็มีโอกาสพัฒนาไปเป็นได้ เขาได้รับยาต้านเศร้ามาทานหนึ่งตัว และด้วยความที่คิดว่าเดี๋ยวก็คงหาย เขาเลยไม่ได้ไปพบจิตแพทย์อีกเป็นครั้งที่สอง รวมไปถึงหยุดยาเองด้วย

    แล้วเป็นยังไงล่ะ ผ่านมาสองปีกว่าแล้ว แต่วีร์ไม่เคยเลิกรู้สึกแย่ได้เลย

    มันเป็นความรู้สึกเหมือนมีความเศร้าปริมาณหนึ่งตกค้างอยู่ตลอดเวลา วันไหนที่ความเศร้าไม่เพิ่มขึ้น เขาจะเฉยๆ ไม่สุขไม่เศร้าไม่อะไร วันไหนที่ความเศร้าเพิ่มปริมาณขึ้นจนเอ่อล้น เขารู้สึกไม่ไหว ย่ำแย่เหมือนจะตายให้ได้ มันอึดอัดข้างในอย่างที่ไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ หลายครั้งที่คิดอยากจะเอาคัตเตอร์มากรีดแขน หลายครั้งคิดอยากทำร้ายตัวเองให้เท่ากับความเจ็บปวดที่มี หลายครั้งที่คิดอยากทำอะไรสักอย่างให้ตัวเองหายไปจากโลกใบนี้ แต่สุดท้ายก็จบลงแค่เพียงความคิด และต่อให้ร้องไห้ไป เขาก็ระบายความรู้สึกพวกนั้นออกมาได้ไม่หมดอยู่ดี มันยังคงตกค้าง รอวันที่ความเศร้าสะสมมากพอจะระเบิดซ้ำอีก

    ทุกครั้งที่ต้องเผชิญกับช่วงเวลานั้น วีร์ได้แต่ปลอบตัวเองว่า ไม่เป็นไร เดี๋ยวมันจะผ่านไปเอง

    หลอกตัวเองว่าไม่เป็นไรทั้งที่รู้ดีว่าเป็นยิ่งกว่าอะไร

    น่าสมเพชสิ้นดี

    เมล็ดแห่งความเศร้าที่ฝังรากลึกอยู่ภายในจิตใจทำให้เขาไม่ใช่ตัวเขาอีกต่อไป ทั้งยังต้องสูญเสียอะไรหลายอย่าง สูญเสียความสัมพันธ์กับเพื่อนรุ่นพี่รุ่นน้อง สูญเสียการศึกษา รวมไปถึงสูญเสียความสามารถบางอย่างหนึ่งในความสามารถนั้นคือการเขียนที่เขารักที่สุด

    วีร์รู้ตัวดีว่าเขียนได้ไม่ดีเหมือนเก่า ไม่ได้เป็นนักเขียนที่มีนักอ่านติดตามนับร้อยคนอย่างในอดีตอีกแล้ว ถึงอย่างนั้นก็ยังตั้งใจผลิตงานเขียนออกมาในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งด้วยใจที่หวังว่าจะมีใครสักคนชอบมันอยู่ดี

    เขาพยายามแล้วที่จะจำกัดความหวังให้น้อยที่สุด แล้วต้องยอมรับเช่นกันว่าบางเรื่องก็เผลอตัวคาดหวังมากเกินไปจนผิดหวัง

    ไม่ใช่ความผิดของคนอ่านที่อ่านแล้วจะไม่คอมเมนต์หรือให้ฟีดแบคใดๆ กลับมา มันอาจจะผิดที่เขาเองก็ได้ที่ยังเขียนได้ไม่ดีพอจะได้รับฟีดแบค เขาคิดแบบนั้นเสมอ และไม่กล้าที่จะเรียกร้องอะไร ได้แต่โทษตัวเองที่เขียนไม่ดีมาตลอด ซึ่งบางครั้งมันก็บั่นทอนจิตใจจนทำให้เกิดคำถามหนึ่งในหัวทุกวัน

    พอแค่นี้ดีไหม...

    เป็นคำถามที่เขาถามตัวเองวันละไม่ต่ำกว่าสิบรอบ เขาอยากเลิก อยากหยุด อยากพอ ไม่อยากคาดหวังและผิดหวังอีกแล้ว สุดท้ายก็กลับมาตายรังอย่างเดิม เขาเลิกเขียนไม่ได้ การเขียนคืออีกครึ่งชีวิตของเขา จะให้ทิ้งครึ่งชีวิตไปได้ยังไง และที่สำคัญคือหากไม่มีการเขียน ชีวิตเขาก็ว่างเปล่า ไม่มีอะไรดีอีกแล้ว

    ไม่แน่ใจว่าเพราะเมล็ดพันธุ์บ้าๆ นั้นหรือเปล่าถึงได้ทำให้เขาผลิตความคิดงี่เง่ากับความรู้สึกเศร้าน่าหงุดหงิดน่ารำคาญไม่จบไม่สิ้น ยิ่งย้อนนึกถึงความทรงจำเก่าๆ ก็ยิ่งเจ็บปวด

    ตัวเขาคนเก่าออกจะเป็นคนเก่ง มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม ไม่ย่อท้อกับอะไรง่ายๆ พร้อมพุ่งชนเป้าหมายด้วยทั้งหมดที่มี แต่ดูตอนนี้สิ มองยังไงก็เป็นได้แค่ไอ้ขี้แพ้คนหนึ่งเท่านั้น

    เขาอยากเติบโตเป็นอย่างดี ต้องทำยังไงถึงจะดี ไม่รู้เลยจริงๆ

    วีร์หัวเราะขมขื่นขณะยกแขนวางเกยหน้าผาก นอนมองเพดานนิ่ง ฟังเสียงฟ้าฝนที่อาละวาดอยู่ภายนอก ปล่อยให้ความเศร้าค่อยๆ กัดกินหัวใจทีละเล็กทีละน้อย จนกระทั่งโทรศัพท์ที่วางไว้สักที่บนเตียงสั่นเรียกเหมือนมีคนโทรเข้ามา เขาถึงได้หยัดตัวขึ้นนั่งอย่างเชื่องช้าอ้อยอิ่ง แล้วเอื้อมไปสไลด์รับโดยไม่มองชื่อที่ปรากฎบนหน้าจอ

    “เอชบีดี”

    ไม่ทันจะได้กรอกคำว่าฮัลโหลลงไป ปลายสายก็ส่งเสียงมาก่อน

    วันนี้เป็นวันเกิดครบรอบอายุยี่สิบสามปีของเขา และก็เป็นอีกหนึ่งปีที่ได้รับการแสดงความยินดีที่สั้นกระชับได้ใจความจากเพื่อนสนิทเพียงคนเดียว

    “ขอบใจ”

    “ไม่เป็นไร” มันเงียบไปพักหนึ่ง “กูมีของขวัญให้มึงด้วย รอแป๊บ อย่าเพิ่งวางสาย”

    แล้วก็เหมือนได้ยินเสียงกุกกัก ไม่นานเสียงก้องกังวานของเปียโนก็ดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงร้องอันเป็นเอกลักษณ์ที่ใครก็ลอกเลียนแบบไม่ได้

    Bye Bye My Blue นั่นแหละชื่อเพลง

    วีร์ไม่ค่อยฟังเพลงเกาหลีนัก ที่รู้จักเพลงนี้ก็เพราะจริงใจเคยเปิดให้ฟังครั้งหนึ่ง แล้วเขาก็ฟังมันมาตลอด มันอยู่ในเพลย์ลิสต์ชวนให้เศร้าดำดิ่งที่สร้างไว้ด้วย

    เขาค่อยๆ หลับตาลง รับของขวัญชิ้นนี้ด้วยความเต็มใจ

    “วีร์” มันเรียกเขาหลังจากจบเพลง “มึงดีและเก่งที่สุดในแบบของมึงแล้ว”

    จริงใจไม่ใช่คนที่ถามไถ่คนอื่นก่อนว่าเป็นอะไรหรือเปล่า ไม่ใช่คนที่จะประดิษฐ์ประดอยคำพูดเพื่อปลอบใจใคร มันก็นิสัยสมชื่อ ทุกคำพูดที่หลุดจากปากมันมีแต่ความจริงใจล้วนๆ และคำพูดนั้นก็ไปสะกิดบางอย่างเข้า

    ความร้อนผ่าวแล่นขึ้นมาตรงขอบตา แล้ววีร์ก็ไม่อาจรั้งน้ำตาไม่ให้ร่วงลงมาได้อีก ทั้งความเศร้า ความท้อแท้ ความกลัว ความไม่มั่นใจ ความลังเล ความอ่อนแอ ความหวั่นไหว ทุกความรู้สึกแย่ๆ ทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งหมดทั้งมวลถูกกลั่นออกมาเป็นน้ำสีใสที่ไหลรินอาบแก้มไม่หยุดในตอนนี้

    เขากำลังแตกสลาย...เป็นรอบที่เท่าไรแล้วก็ไม่อาจนับได้

    ระหว่างนั้นไม่มีใครพูดอะไรสักคำ เขารู้ว่าจริงใจรู้ว่าเขากำลังร้องไห้ แต่จริงใจก็ยังไม่วางสาย อยู่เป็นเพื่อนในช่วงเวลาที่เขาต้องการใครสักคนที่สุด

    เพียงแค่นี้ เขาก็รู้สึกขอบคุณมากพอแล้ว

    กว่าวีร์จะสงบลงได้ก็หลายนาที ได้ร้องไห้แล้วก็รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง แม้ความเศร้าจะยังไม่จางหายไปไม่หมดก็ตาม

    “กูรู้ว่ามึงไม่ใช่คนที่จะเล่าอะไรให้ใครฟังง่ายๆ” จริงใจเกริ่น “มึงไม่จำเป็นต้องเล่าก็ได้ แต่เมื่อไรที่มึงไม่ไหว ให้จำไว้ว่ายังมีกูอยู่ข้างๆ เสมอ”

    มุมปากของเขายกขึ้นเล็กน้อย ตอบกลับไปว่ารู้แล้ว ก่อนจะโดนบ่นกลับมายาวเหยียดที่จับใจความได้แค่ว่า รู้แค่ปากว่าน่ะสิ ก่อนที่บทสนทนาจะจบลงด้วยการที่จริงใจบอกจะแวะเข้ามาหาวันพรุ่งนี้

    วีร์ผ่อนลมหายใจ ลดมือข้างที่ถือโทรศัพท์แนบหูมากว่าหนึ่งชั่วโมงลง เสียงฝนตกฟ้าร้องเงียบลงตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ เมื่อมองออกไปด้านนอกก็พบว่าท้องฟ้าเริ่มปลอดโปร่งแล้ว

    จนถึงตอนนี้เขาก็ยังเฝ้าภาวนาให้สักวันหนึ่งเมฆฝนสีเทาภายในใจเคลื่อนตัวออกไป เพื่อที่จะได้พบกับท้องฟ้าหลังฝนที่สวยงามสักที




    fin.

    twitter : @memxnnxe



Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in