เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
I WRITE YOU A LOTPrachawit Dax
Bangkok Syndrome
  • หลายคนบอกว่าที่นี่เป็นเมืองแห่งเทพ เป็นเมืองหลวงเมืองแห่งศูนย์กลางความเจริญ เมืองที่ผู้คนไม่มีวันหลับใหล เมืองที่แสงไฟส่องสว่างทั้งคืนเมืองที่เป็นเมืองจริงๆที่ผมได้สัมผัส เพราะผมมาจากชนบท ผมจำความรู้สึกแรกที่มานี่ได้เป็นอย่างดีทุกอย่างมันใหม่ไปหมด ทุกอย่างสมกับเป็นเมืองหลวง รถแท็กซี่หลากสีวิ่งบนถนนรถเมล์หลายคันขับเร็วผ่านหน้าผมไป ผมตื่นเต้นเล็กน้อยระหว่างการเดินทาง บนเบาะหลังสุดบนรถเมล์สาย168 จากอนุสาวรีย์ชัยฯปลายทาง รามคำแหง ผมนั่งริมหน้าต่าง ในมือกำตั๋วรถเมล์ไว้แน่น ผมกลัวว่าหากตั๋วหายผมจะไม่ได้เดินทางต่ออีก

    บนรถเมล์มีคนเต็มคัน แต่ไม่ถึงกับแน่น ยังพอมีที่ให้หายใจ นอกหน้าต่างมีรถหลายคนเบียดเสียดกันบนถนนเสียงรถ เสียงแตร ดังอึกทึกกึกก้องอยู่รอบกาย ควันจากการเผาไหม้ของรถบางคันก็ปล่อยสู่อากาศผมเผลอสูดกลิ่นนั้นเขาไป และแน่ใจว่าปริมาณควันพิษมากกว่าการสูบบูหรี่หนึ่งมวนแน่ๆผมสัมผัสกับคำว่ารถติดครั้งแรก


                    ผู้คนในรถเมล์คันนี้เป็นความหลากหลายทางด้านประชากรที่พบเพิ่งพบเห็นในเมืองใหญ่ในรถมีทั้งชายวัยกลางคน เด็กนักเรียน คู่รักนักศึกษารวมไปถึงคนแก่ที่นั่งริมประตู บรรยากาศในรถช่างเงียบสงัด ไร้ซึ่งบทสนทนา ผู้คนหากไม่จมกับโลกในอุ้งมือก็เอามือเท้าคางมองออกไปนอกหน้าต่าง เช่นเดียวกับที่ผมกำลังทำอยู่

    รถเมล์แล่นมาถึงจุดหมาย ผมไม่เคยใช้เวลาบนท้องถนนนานเท่านี้มาก่อนเวลาสามชั่วโมงครึ่ง หากอยู่ที่บ้านผมคงดูหนังจบไปหนึ่งเรื่อง หรืออ่านหนังสือจบไปสักครึ่งเล่มแต่สำหรับกรุงเทพแล้ว ผมทำได้แค่มองออกไปนอกหน้าต่างเท่านั้นแหละ

    หอพักผมอยู่ติดคลองแสนแสบ ทาสีส้มสดตัดกับดอกลั่นทมสีขาวนวลที่ปลูกไว้ริมรั้วหอพัก  ตรงกลางดอกมีวงกลมจุดสีเหลืองคล้ายใครมาระบายสีไว้ห้องพักผมอยู่สุดทางเดิน เปิดหน้าต่างออกไปก็จะเจอคลองแสนแสบผมเริ่มชินกับกลิ่นเค็มๆของน้ำคลองแล้ว ในเมื่อผมก็เติบโตมาจากริมทะเลสาบลุ่มแม่น้ำเค็มเหมือนกันเพียงแต่ความเค็มที่นี่ไม่ค่อยจะมีประโยชน์สำหรับชาวกรุงเทพสักเท่าไหร่นัก ทุกๆยี่สิบนาทีจะได้ยินเสียงเรือคลองแสนแสบแล่นผ่านไปผมเริ่มชินกับเสียงเหล่านั้น


                    คืนแรกผมนอนบนเตียงที่ฟูกแข็งๆยังไม่ได้ซื้อผ้าปูที่นอน เลยใช้ผ้าห่มเก่าๆปูรองนอนแทน ไม่มีหมอนข้างไม่มีปลอกหมอนสีสันสดใสเหมือนที่บ้าน มีเพียงหมอนเก่าๆที่ผมหนุนนอนอยู่ผมเงยหน้ามองเพดาน พัดลมเพดานสีเขียวสนิมเขรอะหมุนเอื่อยๆคล้ายพัดลมที่โรงเรียนสมัยมัธยม ที่ใบพัดขึ้นสนิมเช่นกันกลิ่นความเค็มยังเจือจางอยู่ในบรรยากาศ

    ผมหลับไปด้วยความเหนื่อยล้า ไร้ซึ่งความฝันมีแต่ความจริงที่ลืมตาตื่นขึ้นมา และนอนอยู่บนที่นอนแข็งๆเพียงเท่านั้น

    วันนี้เป็นวันแรกของชีวิตนักศึกษาผมไม่มีทางเลือกในชีวิตมากนัก จึงต้องมาเรียนที่รามคำแหงเพื่อนๆหลายคนก็คงเหมือนกัน แยกย้ายกันไปเรียนตามสิ่งที่ชอบและใฝ่ฝันผมไม่ได้เลือกที่จะมาดิ้นรนในเมืองใหญ่เพียงแต่โอกาสของผมมันกำหนดให้ต้องมาใช้ชีวิตในเมืองคอนกรีตแห่งนี้

    ครั้งแรกที่ผมย่ำเท้าไปในมหาวิทยาลัยทุกสิ่งทุกอย่างช่างดูแปลกตาไปหมด ผมเห็นสระน้ำที่กว้างใหญ่ เดินผ่านลานพ่อขุน ซึ่งเป็นวงเวียนในมหาวิทยาลัยรุ่นพี่บอกไว้ว่าถ้าหลงทาง ก็ให้หาลานพ่อขุนให้เจอก่อน จะได้รู้ว่าตอนนี้อยู่ทิศไหนผมเลยโหลดแผนที่ใส่ไว้ในโทรศัพท์ ก่อนจะมาสังเกตจริงๆว่าผังมหาวิทยาลัยเป็นวงกลมและมีพ่อขุนอยู่ตรงกลาง

    ผมนั่งอยู่หลังห้องในห้องโถงซึ่งมีจอทีวีเกือบร้อยเครื่อง โต๊ะไม้มีฝุ่นจับ หน้าห้องอาจารย์กำลังสอนผมไม่ได้สบตาอาจารย์เพราะอยู่ไกลกัน เลยมองจากหน้าจอแทน คาบแรกของวันคนเต็มห้องข้างผมเป็นนักศึกษาผู้หญิง ตัดผมหน้าม้า กำลังนั่งจิ้มมือถือส่วนคนข้างหน้าก็จับกลุ่มพูดคุยกัน ผมมองไปรอบๆห้อง เพียงเพื่อหวังว่าผมจะเจอคนรู้จักสักคนอาจเป็นเพื่อนเก่า หรือใครสักคนก็ได้ที่รู้จักผม มานั่งเรียนด้วยกันกินข้าวด้วยกัน หรือเวลาว่างอาจนั่งรถเมล์ไปเที่ยวที่ไหนสักแห่ง ไปกินไอติมไปดูหนัง หรือไปดูฟุตบอลที่ร้านน้ำชาด้วยกัน แต่การมองหาของผมก็ว่างเปล่าเสมือนกล่องดำที่ไม่มีการบันทึกคำพูดของนักบินสักคำ


    ผมใช้เวลาหนึ่งปีในการหาเพื่อนแต่ไม่ว่าจะหาเพื่อนเท่าไหร่ ก็ยังไม่ค่อยมีใครคุยกับผมนัก เพราะนักศึกษาปีหนึ่งส่วนใหญ่จะเรียนวิทยาเขตบางนาจึงต้องนั่งรถเมล์สาย 207 จากหน้ารามไป มีบางวันผมนั่งข้างเพื่อนรุ่นเดียวกันเห็นเขาถือหนังสือวิชาเดียวกันที่กำลังจะไปเรียน ใจหนึ่งผมก็อยากทักแต่ด้วยความที่เป็นคนขี้อาย ผมเลยได้แต่นั่งเฉยๆมองออกไปนอกหน้าต่างตลอดทาง

     หลายคนเคยบอกผมไว้ว่าถ้าหลังจากเทอมแรกหากยังไม่มีกลุ่มเพื่อน ก็คงยากที่จะได้รับการยอมรับเพราะพวกเขาจับกลุ่มเป็นเพื่อนกันเหนียวแน่นแล้ว และยากที่คนนอกอย่างผมจะได้เป็นส่วนหนึ่งแต่ผมก็ไม่เศร้าอะไรขนาดนั้นหรอก ผมชอบเวลานั่งเรียนคนเดียวนั่งเงียบๆจดบันทึกสิ่งที่อาจารย์สอน ห้องเรียนก็กว้างใหญ่ ผมเป็นเพียงจุดเล็กๆผมชอบนั่งริมหน้าต่าง ทอดสายตาออกไปมองต้นหูกวางต้นใหญ่ ที่ใบสีเหลืองอ่อนเต็มต้นบางใบปลิดปลิวร่วงหล่นจนกองสุมเต็มโคนต้น ผมใช้ชีวิตที่วิทยาเขตบางนาทั้งวันบางวันเรียนสามวิชาก็มี

    เวลาพักเที่ยงผมก็มักจะนั่งกินข้าวคนเดียวกับข้าวที่นี่ค่อนข้างหวาน ไม่รสจัดเหมือนที่บ้านผม แกงส้มก็หวาน แกงเผ็ดก็หวานถึงแม้จะขึ้นป้ายว่าร้านอาหารปักษ์ใต้ แต่ผมก็ไม่รู้สึกเหมือนเท่าไหร่กลับรู้สึกโหยหากับข้าวที่บ้านมากกว่า มีบางวันที่รู้สึกคิดถึงเพื่อนเก่าๆก็นั่งดูภาพที่เคยถ่ายด้วยกันในเฟสบุ๊ก มันเป็นสิ่งเดียวที่ยังคงอยู่แม้คนในภาพอาจหายไปจากความทรงจำซึ่งกันและกันแล้ว แต่อย่างน้อยก็เคยเป็นเพื่อนกันวันหนึ่งเราคงได้เจอกันอีก

    ผมใช้เวลาว่างจากการเรียนในการอ่านหนังสือไม่ใช่หนังสือเรียนหรอก แต่เป็นหนังสือเรื่องสั้น ผมมักจะชอบอ่านวรรณกรรมช่วงแรกๆที่เพิ่งเริ่มอ่านก็พยายามหาเล่มที่อ่านง่ายๆที่สำนักหอสมุดมีให้ยืม เช่นหนังสือรางวัลซีไรต์ ตามเก็บเล่มที่เป็นเรื่องสั้น อ่านเล่มง่ายๆเช่น ซอยเดียวกันก่อนขยับไปเล่ม แผ่นดินอื่น ซึ่งเป็นเล่มที่ผมใช้เวลาทำความเข้าใจเสียนาน

    ผมเลยใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในหอสมุด ในขณะที่คนอื่นๆอาจไปเดินห้างเที่ยวกับแฟน หรือใช้ชีวิตตามต้องการ ผมเลยไม่คิดมากเรื่องที่ไม่มีเพื่อน ผมอ่านหนังสือเยอะขึ้นเริ่มอ่านงานแปลจากต่างประเทศ อ่านเฮมิ่งเวย์ อ่านคาฟกา อ่านมูราคามิ อ่านแม็กซิมกอร์กี้ และนักเขียนคนอื่นๆที่หลายคนบอกว่าเขียนดี


    วันไหนที่ไม่ได้ไปห้องสมุดผมก็ยืมหนังสือมาอ่านที่ห้องเปิดเพลงฟังจากวิทยุทรานซิสเตอร์เครื่องเก่าที่เอาติดมือมาจากบ้านนั่งอ่านหนังสือที่ระเบียง ผมไม่ดื่มกาแฟและสูบบุหรี่เพื่อนผมเคยบอกไว้ว่าหากจะเสพงานศิลปะ ต้องมีสิ่งเหล่านี้อาจจะรวมไปถึงเหล้าและของมึนเมา แต่สำหรับผมแล้วคงไม่มีเหตุผลอะไรมากมายเพราะเป็นภูมิแพ้เลยไม่สูบบุหรี่ และไม่ดื่มกาแฟเพราะทำให้นอนไม่หลับผมเลยมีเงินเหลือพอที่จะซื้อหนังสือเล่มที่เป็นกระแสและออกใหม่

    นับแต่นั้นผมก็ใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ ไม่ได้คิดมากเรื่องที่มีเพี่อนหรือไม่มีเพื่อนคนรอบข้างเป็นส่วนประกอบเสียมากกว่า เพราะส่วนใหญ่ผมอยู่กับหนังสือ อ่าน อ่านและก็อ่าน มันทำให้ผมไม่รู้สึกโดดเดี่ยว มันทำให้ผมได้ออกเดินทางในที่ๆไม่เคยไปการอ่านทำให้ผมไม่เดียวดายเป็นน้ำหล่อเลี้ยงให้ผมชุ่มชื้นอยู่เสมอในเมืองอันร้อนอบอ้าว

                    นับตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้เป็นเวลาสามปีแล้วที่ผมใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ ผมเคยคิดว่าผมจะปรับตัวไม่ได้จะถอยหนีสังคม จะไม่มีเพื่อน เป็นโรคซึมเศร้า หรืออาจเลยเถิดไปถึงคิดสั้นฆ่าตัวตายแต่ตอนนี้ผมรู้แล้ว จริงๆผมไม่ได้เป็นโรค

    Bangkok Syndrome หรอก แต่ผมเป็นโรค Tsundoku  แทนต่างหาก

     

    _______________________

    หมายเหตุ : Tsundoku หมายถึง ภาวะที่ซื้อหนังสือมาแล้วไม่ได้อ่านมาจากภาษาญี่ปุ่นคำว่า อ่านหนังสือ+หาของมาเตรียมไว้ภายหลังและจากไป

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in