เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
The Unbreakable Chain (Omegaverse)piyarak_s
Chapter 5: Chicken


  • โอเค... จัสตินคิดว่าเขาพอจะเข้าใจเรื่องบ้าบอที่เกิดขึ้นกับตัวเองนี่พอสมควรแล้ว แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ไม่เข้าใจความคิดของคนที่พยายามจะทำร้ายหรือฆ่าเขาอยู่ดี

    เพื่อหยุดยั้งการผลิตวัคซีนหรือยาอะไรก็ตามแต่ที่จะช่วยให้โอเมก้าที่ถูกอัลฟ่ากัดหลังคอระหว่างการผสมพันธุ์... เรียกให้สุภาพหน่อย คือ การเมท... และต้องตกอยู่ภายใต้อาณัติของ ‘เจ้าของ’ รอยเขี้ยวที่ฝังลงในเนื้อไปเกือบตลอดชีวิต หรืออย่างน้อยก็จนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะตายจาก หรือถูกอัลฟ่าคนใหม่กัดระหว่างเมท หรืออยู่ห่างกันเป็นระยะเวลานานพอที่จะทำให้ระดับฮอร์โมนภายใต้ตัวของโอเมก้าปรับลงสู่ระดับปกติและพ้นจากอิทธิพลของอัลฟ่า แค่กำจัดคนคนเดียวได้ คิดว่าจะสำเร็จอย่างนั้นเหรอ


    ถ้ามันคิดว่าเขาตายไปคนหนึ่งแล้วจะทำให้ทุกอย่างยุติลงได้ ก็เป็นความคิดที่งี่เง่าและขี้ขลาดสิ้นดี 


    “ผมไม่เข้าใจ” เขาคิดว่าเขาน่าจะสามารถพูดเรื่องนี้กับแคลเรนซ์ได้ แม้อีกฝ่ายจะยังคงเป็นคนแปลกหน้า แต่อย่างน้อย แคลเรนซ์ก็นั่งฟังเขาด้วยความสนใจ ‘จริง ๆ’ และอาจให้ความเห็นอะไรบางอย่างกับเขาอย่างที่ไม่เคยมีคนอื่นให้ได้ 


    “ในเมื่ออัลฟ่าเป็นคนที่มีอิทธิพลอย่างสูงในสังคมเราตอนนี้ ทำไมเขาต้องกลัวกับเรื่องแค่โอเมก้ามีทางเลือกในการใช้ชีวิตครอบครัวของตัวเองได้มากขึ้น ซึ่งผมไม่เห็นว่า มันจะเป็นปัญหาอะไรเลย ถ้ามันมีปัญหามากขนาดนั้น ผมไม่คิดว่าวิทยานิพนธ์ของผมจะผ่านคณะกรรมการจริยธรรมการทดลองในมนุษย์มาได้” 


    แคลเรนซ์เปลี่ยนจากเอียงศีรษะน้อย ๆ รอฟังความเห็น เป็นเลิกคิ้วสูง จากนั้นก็พยายามกลั้นหัวเราะ แต่ท้ายที่สุดก็ไม่สำเร็จ 


    จัสตินไม่ได้รู้สึกว่าการหัวเราะของอีกฝ่ายเป็นการดูถูกหรือมองว่าสิ่งที่เขาคิดเป็นเรื่องไร้สาระ หากแต่เป็นการหัวเราะด้วยอารมณ์ที่เขาประเมินไม่ถูกว่าเป็นอารมณ์แบบไหน เท่าที่รู้ เขาคิดว่าแคลเรนซ์ชอบความคิดนั้นของเขา คล้าย ๆ กับตอนที่อาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์และอาจารย์ที่ปรึกษาร่วมมองหน้ากันตอนเขาอธิบายแนวคิดเบื้องหลังของงานแล้วก็ยิ้ม 


    “ให้ตายเถอะ จัสติน” คนฟังหยุดหัวเราะแล้ว แต่ริมฝีปากและดวงตายังมีร่องรอยของการยิ้ม “สิ่งที่คุณพูดคือปัญหาสำคัญของพวกอัลฟ่าที่ไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่นั่นละ เพราะคุณทำให้เขาสูญเสียสิ่งที่พวกเขาเคยมี”


    “โอเมก้าของพวกเขาน่ะเหรอ”


    “นั่นเป็นสิ่งที่เป็นรูปธรรม” แคลเรนซ์บอก “สิ่งที่เป็นนามธรรมคือ พวกเขาสูญเสียอำนาจการควบคุมโอเมก้า และอาจจะรวมไปถึงเบต้าด้วย” 


    “แค่นั้นน่ะเหรอ” จัสตินขมวดคิ้ว 


    “สำหรับคุณ การมีอำนาจอาจจะไม่สำคัญ” โอเมก้าหนุ่มบอก “การมีอำนาจสำหรับบางคนที่ไม่มีปัญญาจะไปทำมาหากินอย่างอื่น อำนาจเป็นสิ่งเดียวที่พวกเขามี และเป็นเครื่องมือสำคัญที่สุดในการควบคุมทรัพยากรหลาย ๆ อย่างให้เป็นประโยชน์กับคนเฉพาะบางกลุ่ม เพราะฉะนั้น การสูญเสียอำนาจในการเป็นคนจำนวนน้อยที่ควบคุมคนจำนวนมากไปเป็นเรื่องที่กระทบกับผลประโยชน์ของพวกเขา”


    จัสตินส่ายหน้าแทนคำพูดว่าเขายังมองภาพไม่ออก และพึมพำขอบคุณเมื่อแคลเรนซ์ส่งยาแก้ปวดและยาแก้อักเสบให้หลังจากที่เขาจัดการกับอาหารเช้าเรียบร้อยแล้วพักใหญ่ 


    “หมาป่าไม่เห็นจำเป็นต้องกลัวแม่ไก่ในฟาร์มเลย”


    “แต่ถ้าเป็นหมาป่าฟันหักที่ต้องเผชิญกับไก่ในฟาร์มที่พร้อมจะสู้หนึ่งฝูงใหญ่ ๆ กับหมาเฝ้าฟาร์มล่ะ” 


    คำถามย้อนของแคลเรนซ์ทำให้จัสตินต้องนิ่งคิด ก่อนพยักหน้าแทนคำตอบว่าเข้าใจสถานการณ์แล้ว 


    “ผมคิดว่าผมเข้าใจสถานการณ์ของอัลฟ่าพวกนั้นแล้ว” เขาบอก “หมายความว่า ถ้าโอเมก้าสามารถเป็นอิสระจากอัลฟ่าได้เมื่อไหร่ และมีโอกาสที่จะเข้าไปในพื้นที่ที่อัลฟ่าเคยหวงห้ามไม่ให้โอเมก้าและเบต้าเข้าไปยุ่ง เพราะอัลฟ่าเคยเป็นคนออกกฎห้าม อัลฟ่าที่เคยมีอำนาจในการปกครองก็จะมีอำนาจลดน้อยลงหรือถูกยึดอำนาจได้ในที่สุด นโยบายต่าง ๆ ก็จะไม่ถูกกำหนดด้วยอัลฟ่าอีก เพราะฉะนั้น อัลฟ่าก็จะเหมือนหมาป่าฟันหักที่อาจจะโดนแม่ไก่ทั้งฟาร์มรุมจิก ไก่ก็ไม่ได้กินและอาจจะเจ็บหนักกลับไปด้วย”


    “ใช่ แบบนั้นล่ะ” แคลเรนซ์รับ “อีกเรื่องหนึ่งคือ ความรู้สึกของพวกเขา มันเป็นเรื่องที่จับต้องไม่ได้และเข้าใจยากสำหรับคุณ แต่สำหรับอัลฟ่าจำนวนไม่น้อย การเสียศักดิ์ศรีและการแพ้คนที่อ่อนแอกว่าเป็นเรื่องที่พวกเขายอมไม่ได้”


    “เพราะคุยกันดี ๆ ไม่ได้ คุณก็เลยต้องทำงานลับ ๆ เพื่อหาทางทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง”


    “ถูกแล้ว จัสติน บางเรื่องที่กระทบกระเทือนต่ออารมณ์มันเป็นเรื่องใหญ่กว่าเรื่องที่เอาเหตุผลมาหักล้างหรือต่อสู้กันเสียอีก เพราะฉะนั้น การเดินไปบอกอัลฟ่าที่ปกครองเราอยู่ทุกวันนี้ว่า ‘เฮ้ เรามาคุยกันเถอะ มาเปลี่ยนตรงนี้กันดีกว่า’ ถึงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยาก ถึงแม้ว่าเราจะอยากให้มันเกิดขึ้นได้ง่าย ๆ อย่างนั้นก็ตาม” 


    “อืม...”


    “ผมยอมรับนะ ว่าบางเรื่องเป็นเรื่องที่อธิบายยาก แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราก็ไม่อยากให้คุณได้รับอันตราย”


    “เพราะงานของผมเป็นประโยชน์กับพวกคุณ”


    “ไม่ใช่แค่งานของคุณ จัสติน” แคลเรนซ์ลุกขึ้นยืน และเริ่มเก็บจานกับถ้วยกาแฟที่พวกเขากินมื้อเช้ากันหมดเรียบร้อยแล้วลงบนถาด “ต่อให้คุณตายและงานของคุณยังเอาไปใช้ทำประโยชน์ได้โดยไม่มีคุณ ผมก็ยังอยากให้คุณมีชีวิตอยู่ต่อไปนะ”


    “ทำไมผมถึงควรอยู่ต่อไป”


    “แล้วทำไมคุณถึงควรจะตายล่ะ” 


    เจ้าของบ้านยกมือห้ามไม่ให้ผู้ที่อุบัติเหตุพาให้มาพักศัยอยู่ด้วยช่วยเก็บกวาด “ถ้าคุณมีชีวิตอยู่ต่อ คุณก็จะได้ทำอะไรที่อยากทำแต่ยังไม่ได้ทำต่อไปอีก”


    “เช่น กลับบ้าน” จัสตินว่า เสียวแปลบที่บริเวณสีข้างเมื่อลุกยืนขึ้น แต่เขาคิดว่าอาการที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องพอทนได้ “ผมรบกวนคุณมามากแล้ว และถ้าอยู่ต่อ คุณคงลำบาก” 


    เป็นอีกครั้งที่แคลเรนซ์ยิ้มให้เขา และจัสตินคิดว่าเขาชอบเวลาที่อีกฝ่ายยิ้มให้เขาแบบนี้ “มีอย่างอื่นที่อยากทำอีกไหม”


    เบต้าหนุ่มพยักหน้า 


    “ถ้าผมยังไม่รู้เรื่องของคุณ ผมตายไม่สงบเท่าไหร่...”




    To be continued.... Chapter 6: Drooling


    ---------------------------------------------- 

    หมายเหตุ: เรื่องนี้ขอยืมไอเดียกับ prompt มาจากทวิตของคุณเกดอันนี้ค่ะ เป็นพล็อตโอเมก้าเวิร์สที่โฟกัสกับบทบาทของเบต้า เห็นว่าน่าสนใจดีก็เลยลองเอามาเขียนดู แล้วไหนๆ ก็จะเข้าช่วง #Fictober กันแล้วก็เลยใช้คำโจทย์ของ Inktober ปี 2018 มาเขียนด้วย ก็หวังว่าจะรอดจนจบ 30 ตอนนะคะ แต่ละคำนี่ พีคขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะคำว่า drooling เนี่ย ฮา
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
wj_2301 (@wj_2301)
อันนี้มุขตลกหรือเปล่าจัสติน