เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
The Unbreakable Chain (Omegaverse)piyarak_s
Chapter 1: Poisonous
  • ความสัมพันธ์ที่อัลฟ่ากดโอเมก้าของตนลงเป็นทาสทั้งทางร่างกายและจิตใจเป็นความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ


    จัสติน เคลย์มอร์เชื่อเช่นนั้นและมีเหตุการณ์ที่เป็นข้อพิสูจน์มากมาย แต่เขาไม่เข้าใจ ไม่เคยสามารถทำใจให้เข้าใจได้เลยว่า เพราะเหตุใดคนส่วนใหญ่จึงเห็นว่ามันเป็นเรื่องปกติ เพียงเพราะความสัมพันธ์ชนิดนั้นเป็นความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เป็นมานานนับศตวรรษแล้ว เป็นสัญชาตญาณการสืบพันธุ์และเป็นเครื่องประกันความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์


    ‘เบต้าอย่างเธอไม่มีวันเข้าใจอัลฟ่ากับโอเมก้าหรอก’ ใครหลายคนบอกเขาอย่างนี้ตั้งแต่วันที่เพศรองของเขาปรากฏ


    ไม่สิ... ก่อนหน้านั้นอีก 


    ตั้งแต่เขายังเล็กและสงสัยว่า ทำไมอัลฟ่าถึงมีฐานะสูงกว่าเบต้าและโอเมก้า ทำไมโอเมก้าต้องเชื่อฟังอัลฟ่า ทำไมอัลฟ่าถึงไม่ยอมปล่อยให้โอเมก้าเป็นอิสระ และทำอะไรต่อมิอะไรได้อย่างที่เบต้าและอัลฟ่าทำได้ 


    ‘รอเธอโตขึ้นก่อนเถอะ แล้วเธอจะเข้าใจว่า เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่ปัญหา เพราะฉะนั้น มันแก้ไขไม่ได้’ 


    ‘แล้วทำไมไม่ทำให้ผมเข้าใจตั้งแต่ตอนนี้ล่ะ ว่าทำไมถึงแก้ไขเรื่องพวกนี้ไม่ได้’ เขาย้อนถามเช่นนี้กลับไปทุกครั้ง


    ไม่เคยมีคำตอบที่สมเหตุสมผลให้กับคำถามว่า ‘โอเมก้าไม่จำเป็นต้องอยู่กับอัลฟ่าที่กัดและกลายเป็นเจ้าของชีวิตพวกเขาไปทั้งชีวิตได้จริงหรือ’ ส่วนมากแล้ว เขามักจะถูกดุว่าเหลวไหล และถูกห้ามไม่ให้พูดถึง ‘สิ่งที่เป็นไปไม่ได้’ 


    ‘ทำไมถึงเป็นไปไม่ได้ล่ะ’ 


    ‘เพราะมันไม่มีทางเป็นไปได้น่ะสิ’ ครูประจำชั้นเคยบอกเขาเมื่อครั้งยังเป็นเด็กชายตัวน้อยที่ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนกำหนดเพศรองด้วยซ้ำด้วยท่าทีเอือมระอากับความดื้อรั้นจะเอาคำตอบเต็มทน
    ‘ทำไมถึงไม่มีทางเป็นไปได้’


    ‘ทำไมเธอถึงไม่ยอมเข้าใจอะไรง่าย ๆ สักที หือ... จัสติน เคลย์มอร์... เป็นไปไม่ได้ก็คือเป็นไปไม่ได้’
    เมื่อเซ้าซี้ถามมากเข้า ‘ตัวก่อปัญหา’ ที่ครูรับมือไม่ไหว แต่จะลงโทษก็ไม่ได้ เพราะเขาไม่ได้ทำอะไรผิด นอกจากกวนใจและกวนประสาทด้วยคำถามไม่รู้จบก็ลงเอยที่ห้องของครูใหญ่


    ‘ไอ้ตัวประหลาดจัสตินถูกส่งเข้าห้องครูใหญ่เทรเวอร์ว่ะ’
    ‘ครูใหญ่เรียกพ่อแม่ของจัสติน เคลย์มอร์เข้าไปพบด้วย เมื่อเช้านี้’
    ‘จัสติน เคลย์มอร์ ถูกให้ออกจากโรงเรียนแน่เลย’
    ‘ไอ้เจ้าปัญหาจัสตินไปซะได้ก็ดี รำคาญมันจะแย่แล้ว’


    เพื่อนร่วมโรงเรียนและครูประจำชั้นคิดว่านั่นคือบทลงโทษของการทำตัวมีปัญหา แต่ความจริงแล้วตรงกันข้าม


    ครูใหญ่เอมเม็ตต์ เทรเวอร์พบว่า เขาฉลาดเกินกว่าที่จะย่ำเท้าอยู่กับการเรียนประถมร่วมกับคนอื่น และส่งจดหมายปรึกษาไปยังสถาบันที่รับเด็กที่มีพรสวรรค์หรือความสามารถพิเศษ จากนั้นก็ให้พ่อกับแม่พาเขาไปทดสอบ ผลการทดสอบพบว่า เขามีความสามารถเชิงวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะทางชีววิทยาและเคมี รวมถึงมีความสามารถเชิงการคิดเชิงตรรกะสูงกว่าเด็กประถมทั่วไป และนั่นคือสาเหตุที่ทำให้เขาเป็นคนเจ้าปัญหา เขาถาม ไม่ใช่เพราะเขาโง่เง่าในเรื่องที่ทุกคนเข้าใจ แต่เขาคิดไกลเกินกว่าครูบางคนจะทันคิดประเด็นเหล่านั้นได้ต่างหาก


    จัสติน เคลย์มอร์ ไม่ใช่เด็กโง่เจ้าปัญหาที่ตั้งคำถามไม่รู้จักหยุดหย่อนและไม่ตั้งใจเรียนอีกต่อไป แต่เขาเป็นเด็กที่มีความสามารถพิเศษล้ำหน้าครูผู้สอนมากเกินไป และควรได้รับการศึกษาที่เหมาะสมกับระดับสติปัญญาที่มีอยู่ เพราะเขาอาจพัฒนาตัวเองไปไกลกว่าที่เป็นอยู่ ณ เวลานั้นได้มากขึ้นอีกหลายเท่า 


    “เรื่องที่เธออยากรู้ไม่ใช่เรื่องที่ผิดหรือเป็นเรื่องไร้สาระหรอก จัสติน” ครูเทรเวอร์บอก เมื่ออยู่กับเขาตามลำพังในห้องครูใหญ่หลังจากที่วันที่ครูเชิญพ่อกับแม่ของเขามาพบ “เธอสงสัยในสิ่งที่ควรสงสัย และสิ่งที่เธออยากทำเพื่อคนที่ถูกกีดกันอย่างโอเมก้าเป็นเรื่องที่ดีงามมาก ครูเห็นด้วยและอยากสนับสนุนในสิ่งที่เธอคิด แต่สิ่งที่เธอต้องเรียนรู้ คือ การพูดและการแสดงออกในเวลาที่เหมาะสม และรู้ว่าคำพูดไหนควรหลีกเลี่ยง เพื่อที่ตัวเธอจะได้ปลอดภัย และทำในสิ่งที่เธอต้องการจะทำได้”


    มือใหญ่ของครูเทรเวอร์วางลงบนบ่าของเขาและบีบเบา ๆ มือของครูอบอุ่นและแรงบีบนั้นหนักแน่นเหมือนคำกล่าวของครูที่ยังจารลึกในความทรงจำของเขา และคอยกระตุ้นเตือนเขาอยู่เสมอ


    “มันไม่มีประโยชน์หรอก ถ้าเราพูดในเวลาที่คนอื่นไม่ฟัง” ครูใหญ่บอก “ไม่ว่าเธอจะเป็นอัลฟ่า เบต้า หรือโอเมก้า เสียงเธอจะมีความหมายต่อเมื่อมีคนฟัง หรือเสียงของเธอดังพอที่จะทำให้คนหันมาฟังสิ่งที่เธอพูด และการกระทำของเธอหนักแน่นพอที่จะทำให้คนคล้อยตามสิ่งที่เธอคิดและมองเห็นสิ่งที่เธอต้องการจะทำ เมื่อนั้นการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงถึงจะเกิดขึ้นได้”




    “สักวันหนึ่ง เธอจะเรียนรู้ว่า ยาบางอย่างที่เป็นประโยชน์กับคนบางกลุ่มก็อาจเป็นพิษกับคนบางกลุ่มได้ ทั้งที่มันเป็นยาชนิดเดียวกัน เมื่อถึงเวลานั้น ครูเชื่อว่าเธอจะเติบโตและกล้าหาญพอที่จะตัดสินใจเลือกทางที่ถูกต้องสำหรับทุกคน”






    "เธอต้องระวังให้ดี จัสติน... อย่าให้ความตั้งใจดีของเธอกลายเป็นสิ่งที่ย้อนกลับมาทำร้ายตัวเธอเอง" 

    ในเวลาใกล้ตาย ความทรงจำของคนเราคงหลั่งไหลกลับมาให้ย้อนนึกถึงก่อนหมดลมหายใจ... เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และคำพูดของครูใหญ่เอ็มเม็ตต์ เทรเวอร์หวนคืนกลับมาให้จัสติน เคลย์มอร์ระลึกถึงเหมือนสายน้ำหลาก

    เบต้าหนุ่มไอโขลกขดตัวงอด้วยความเจ็บปวด เลือดจากบาดแผลลึกจากการถูกของมีคมบาดเข้าที่สีข้างไหลออกมาอีกเมื่อเท้าในรองเท้าบู๊ตหนาหนักของผู้ประทุษร้ายเขาเตะอัดเข้าบริเวณท้อง ของเหลวเหนียวข้นไหลซึมเปียกเสื้อยืดที่สวมอยู่จนชุ่มและเล็ดรอดลงมาตามง่ามมือที่พยายามกดเหนือปากแผลให้เลือดหยุดด้วยสติที่มีเหลืออยู่เพียงน้อยนิด


    ‘พวกมัน’ ลากเขาเข้ามาในตรอกมืด พ้นจากการสอดส่องของกล้องวงจรปิด เสียงของพวกมันไม่เบานัก แต่ไม่มีใครอยากยุ่งย่ามกับกลุ่มคนที่กำลังวิวาทกัน โดยเฉพาะเมื่อคนกลุ่มนั้นเป็นอัลฟ่าตัวใหญ่หลายคน หลายคนที่เดินผ่านไปและแสร้งทำเป็นไม่เห็นว่ามีอะไรเกิดขึ้นคงพยายามกล่อมตัวเองว่า เขาคงเหยียบตาปลาผู้มีอิทธิพลในย่านนั้นเข้าให้ แต่ความจริงแล้ว มันเฉียดใกล้กับคำว่า ‘ฆาตกรรม’ มากกว่าเป็นเรื่องบาดหมางกันตามธรรมดา โดยเฉพาะเมื่อหนึ่งในนั้นย่อตัวลงกระชากคอเสื้อของเขาขึ้นมา และจับเขากระแทกใส่ผนังตึกเต็มรักจนเจ็บร้าวไปทั้งศีรษะ


    “นี่คงเป็นทางเดียวที่จะทำให้ไอ้เบต้าสวะอย่างแกทำในสิ่งที่กำลังทำอยู่ได้ใช่ไหม” แม้ดวงตาของเขากำลังพร่าพรายด้วยความเจ็บปวด แต่เขาก็สามารถมองเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังยิ้มเหยียด “จำใส่กะโหลกของแกไว้ อย่าสะเออะมายุ่งเรื่องระหว่างอัลฟ่ากับโอเมก้า สิ่งที่แกทำไม่ได้ช่วยคน แต่กำลังทำให้สังคมแตกแยก ถ้าจะโทษใครก็โทษตัวเองที่ทำของมีพิษนั่นออกมาล้างสมองโอเมก้าโง่ ๆ ให้เชื่อว่าตัวเองจะเป็นอิสระจากอัลฟ่าได้” 


    การใช้คำพูดและภาษาของมันไม่เหมือนมาเฟีย ไม่เหมือนพวกหัวรุนแรงสุดโต่ง แม้พฤติกรรมจะใกล้เคียงกับคนประเภทสุดท้ายมากก็ตาม มีอะไรบางอย่างที่เขารู้สึกคุ้นเคย ทว่าในเวลานี้ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเกินกำลังสมองของเขาจะประมวลผลได้ไหว แค่ออกแรงขยับจะร้องครางออกมาด้วยความเจ็บปวดสักคำหนึ่งก็ยังทำไม่ไหว


    “ถ้าไม่ทำแบบนี้ ก็จะไม่มีตัวอย่างให้พวกเรียกร้องเสรีภาพลม ๆ แล้ง ๆ เห็นว่า สิ่งที่ทำอยู่มันเปล่าประโยชน์แค่ไหน” อัลฟ่าที่ดูเหมือนเป็นหัวหน้ากลุ่มนั้นยืดตัวลุกขึ้น และสอดมือเข้าไปในสาบเสื้อแจ็คเก็ตของตัวเอง แต่ไม่ทันที่จะหยิบเอาอาวุธที่ซ่อนเอาไว้ใต้เสื้อตัวนั้นออกมา เสียงระเบิดก็ดังขึ้นเหนือหัวพร้อมกับแสงจ้าสว่างวาบ


    เหตุที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันและเสียงกรีดร้องของผู้คนที่กำลังตื่นตระหนกเเรียกความสนใจของสายตรวจที่ลาดตระเวนอยู่บนท้องถนนบริเวณใกล้เคียงได้ไม่ยาก ทำให้กลุ่มคนที่รุมล้อมเขาอยู่ต้องตัดสินใจแยกย้ายและผละหนีออกไปจากที่เกิดเหตุและทิ้งเหยื่ออย่างเขาเอาไว้


    ถึงจะพ้นมือคนพวกนั้นไปได้ ก็ไม่ได้หมายความว่า เขาจะรอด... ไม่ว่ารอดชีวิตหรือรอดพ้นจากปัญหา
    ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าอย่างยากเย็น แค่จะถอนใจออกมาสักเฮือกก็ยังทำด้วยความยากลำบาก เริ่มรู้สึกถึงความหนาวเยือกที่แล่นเข้ามาจับปลายนิ้วทั้งที่เลือดอุ่น ๆ ยังรินไหลออกมาเต็มมือ 


    เขาคงไม่รอดแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้เสียใจกับสิ่งที่ได้ทำและเป็นต้นเหตุของการถูกปองร้ายจนถึงชีวิต


    ในนาทีที่แสงของความหวังริบหรี่ลงทุกขณะ เขาได้ยินเสียงเรียกมาจากเบื้องบน


    “จัสติน เข้มแข็งไว้นะ” 


    เงาร่างบนบันไดและเป็นเจ้าของเสียงที่เรียกเขา เคลื่อนไหวลงมาตามบันได้หนีไฟอย่างคล่องแคล่ง และแผ่วเบา เหมือนโผบินลงมามากกวิ่งลงมาตามขั้นบันได เพียงแค่อึดใจเดียวเท่านั้น เจ้าของร่างปราดเปรียวดังกล่าวก็ถึงตัวของเขา 


    ไม่พูดพล่ามใด ๆ ทั้งสิ้น สองมือของคนแปลกหน้าทำงานอย่างรวดเร็วในการสำรวจบาดแผลและใช้วัสดุช่วยห้ามเลือกและช่วยให้เลือดแข็งตัวเร็วขึ้นกดลงเหนือบาดแผล 


    “ผมเป็นคนของโร้ค” คนที่ช่วยให้เขาพ้นจากอันตรายมาได้อย่างเฉียดฉิวกระซิบ สอดแขนเข้าพยุงเขาให้ลุกขึ้น 


    แขนเรียวข้างนั้นแข็งแรงและมีกล้ามเนื้อมากกว่าที่เขาคิดเอาไว้ ผมยาวดำเป็นมันเหมือนขนนกเรเวนที่ระข้างแก้มของเขานุ่มเหมือนเส้นไหม ถ้าหากไม่ฟังเสียง ไม่ได้สัมผัสร่างกาย เห็นเพียงแค่ดวงตายาวรีรูปอัลมอนด์ ริมฝีปากบาง และเครื่องหน้าที่ประกอบกันเป็นใบหน้างดงามอ่อนหวานนั้น เขาอาจคิดว่าอีกฝ่ายเป็นหญิงสาว


    “คุณ...” 


    ชายหนุ่มอีกคนทำเสียงชู่ว์เบา ๆ และใช้ปลายนิ้วแตะริมฝีปากของเขาห้ามไม่ให้พูดอะไรอีก และใช้กุญแจผีปลดล็อกกุญแจประตูทางเข้าด้านในอาคารที่ขนาบตรอกแคบและสลัวนั้นเปิดเข้าไปภายใน


    “อดทนอีกหน่อยนะ อย่าเพิ่งถามอะไร รู้แค่ว่าผมมาช่วยคุณ ขอให้คุณไว้ใจผม แค่นี้ก็พอแล้ว”




    To be continued.... Chapter 2: Tranquil

    ----------------------------------------------- 

    หมายเหตุ: เรื่องนี้ขอยืมไอเดียกับ prompt มาจากทวิตของคุณเกดอันนี้ค่ะ เป็นพล็อตโอเมก้าเวิร์สที่โฟกัสกับบทบาทของเบต้า เห็นว่าน่าสนใจดีก็เลยลองเอามาเขียนดู แล้วไหนๆ ก็จะเข้าช่วง #Fictober กันแล้วก็เลยใช้คำโจทย์ของ Inktober ปี 2018 มาเขียนด้วย ก็หวังว่าจะรอดจนจบ 30 ตอนนะคะ ฮา

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
wj_2301 (@wj_2301)
น่าสนใจ
Nan Hisaki Hime (@fb1445657792230)
ติดตามค่า~
piyarak_s (@piyarak_s)
@fb1445657792230 ขอบคุณค่า >_<