เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เจปง เจแปนchaneehuato
ญี่ปุ่น...ครั้งแรก EP 1
  • คนเราทุกคนย่อมมีครั้งแรกเสมอ

    คำพูดคำแรกในชีวิต
    ไปโรงเรียนวันแรก
    สอบตกครั้งแรก
    ทะเลาะกับเพื่อนครั้งแรก
    รักครั้งแรก
    อกหักครั้งแรก
    และสารพัดครั้งแรก มากมายจนนับไม่ไหว


    การไปญี่ปุ่นครั้งแรกของเราเกิดขึ้นเมื่อเดือนกันยายน 2010 หรือเมื่อ 7 ปีก่อน 
    สมัยยังเป็นนักศึกษาเอกภาษาญี่ปุ่นชั้นปีที่ 4
    ด้วยเหตุที่ว่า เรียนมาตั้งนาน รู้สึกว่าอยากทำความรู้จักสิ่งที่เรียกว่า "ญี่ปุ่น"
    เจอคนญี่ปุ่นมาก็หลายที เรียนภาษาเค้ามาก็ตั้งหลายปี 
    ไหนๆก็ไหนๆ ไปให้เห็นสักทีน่าจะดี 
    เราเลยเริ่มคุยกับครอบครัวก่อน บอกจุดประสงค์ของเราให้เค้าฟัง 
    ตอนแรกแม่คัดค้านแบบสุดๆ ส่วนพ่อเฉยๆ
    แต่พอปู่บอกจะช่วยเรื่องค่าใช้จ่าย แม่ก็โอเคทันใด (แหม...แม่ก็)
    เมื่อครอบครัวสนับสนุน เราจึงเริ่มเดินหน้าต่อไป

    เงื่อนไขแรกเลยคือ อยากไปทุน 1 ปี

    เราเริ่มลองหาทุนฯต่างๆ ที่มีเงื่อนไขคือให้นักศึกษาชั้นปีที่ 4 ได้ไปแดนวาซาบิกะเค้าบ้าง
    เริ่มจากการถามอาจารย์บ้าง เพื่อนบ้าง รุ่นพี่ที่เคยไปแล้วบ้าง
    เงื่อนไขของทุนส่วนใหญ่ตรงกันหมดคือ คุณต้องได้เกรดเฉลี่ยมากกว่า 3.0 ขึ้นไป
    อ้าว...เอาละไง แค่นี้ก็ไม่ผ่านแล้ว
    ด้วยความที่เป็นเด็กไม่ได้ขยันเรียน ไม่ได้สนใจเกรด
    คิดแค่ขอแค่ให้มีชีวิตรอด 4 ปี โดยไม่โดนรีไทร์ก็พอ
    พอเริ่มหาทุนเรื่อยๆ ก็ได้รู้ว่า 
    ผลจากการที่เราไม่ใส่ใจเรื่องเรียนให้มากเท่าที่ควร
    บางครั้งทำให้เราพลาดโอกาสดีๆไปมากมายพอสมควร 

    นอกจากนั้นไม่พอ  หนำซ้ำยังรู้ตัวช้าไปอีก

    อีกอย่างที่ช้ำกว่า
    เงื่อนไขของทุนนั้น เค้ารับเฉพาะนักศึกษาชั้นปีที่ 2-3 เท่านั้นนะสิ
    เอาละไง แค่เริ่มก็ดูท่าจะแย่แล้ว

    ได้แต่คิดเอาเท้าก่ายหน้าผาก
    บอกพ่อบอกแม่แล้ว แถมมาไกลขนาดนี้แล้ว จะกลับไปมือเปล่าก็คงไม่ใช่

    แต่อยู่มาวันนึง....

    อาจจะเป็นเพราะบุญเก่าที่เรามีหรืออย่างไรไม่รู้

    จู่ๆอาจารย์โทรมาบอกว่า

    "นี่ๆ เธอสนใจทุนนี้มั้ย พอดีเซนเซเห็นว่ามันตรงกับคุณสมบัติของเธอพอดี
    แต่มันระยะสั้นแค่เดือนกว่าๆนะ"

    "สนค่ะ เซนเซ"

    "เอาเป็นว่าเดี๋ยวมาคุยรายละเอียดกับเซนเซก็แล้วกัน"


    นาทีนั้นไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ขอแค่ให้ลูกช้างได้ไปกับเค้าด้วยเถิด
    หลังจากวางโทรศัพท์เราทำได้เพียงแต่กรีดร้องเสียงดังแบบเบาๆในใจ

    อ่อ...ลืมบอกไปทริปนี้มีเพื่อนร่วมชะตากรรมอยู่ 1 ท่าน
    เราเรียกมันว่า "เจ๊" เพราะมันแก่กว่า

    เรากับเจ๊เป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่ปี 1 ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด
    ชนิดที่ว่าแยกกันเฉพาะตอนเรียนวิชาโทและตอนอาบน้ำเท่านั้น

    และเจ๊ก็ได้มาร่วมหัวจมท้ายในการเดินทางครั้งนี้ด้วยเหตุผลเดียวกันกับเรา
    (แต่เจ๊เกรดดีกว่าเยอะ)

    หลังจากนั้น ทั้งเราและเจ๊ก็ได้รายละเอียดต่างๆจากเซนเซ
    ได้ข้อมูลมาว่ามหาลัยที่ตอบรับเราคือ Nagoya Gakuin University (NGU)
    เป็นมหาวิทยาลัยเอกชนที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1964
    ตั้งอยู่ที่เมืองนาโกย่า ในจังหวัดไอจิ
    นาโกย่าเป็นเมืองที่มีความเจริญทางเศรษฐกิจเป็นอันดับ 3 ของประเทศ
    หลายคนเข้าใจผิดคิดว่านาโกย่าเป็นจังหวัด แต่จริงๆนาโกย่าถือเป็นอำเภอนะจ้ะ
    ไม่ใช่จังหวัดนะจ้ะ อย่าเข้าใจผิดนะ นี่บอกแล้วนะ

    และแล้วทั้งเราและเจ๊ก็เดินเรื่องส่งเอกสารต่างๆนานา จนกระทั่งได้วีซ่านักเรียนออกมาเป็นตัวเป็นตน

    ถึงแม้ว่าระยะเวลาที่ตั้งเป้าหมายไว้ว่า 1 ปีจะหดเหลือแค่ 1 เดือนนิดๆก็ตามเอาวะ ไหนๆก็มีโอกาสได้ไปแล้ว จึงเกิดมโนภาพในหัวว่าดิฉันจะตั้งใจนำความรู้ที่ได้มาใช้ประโยชน์แก่ประเทศชาตินำประสบการณ์ที่ได้รับมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันจะไปตามฝันดั่งที่ตั้งใจรู้สึกหมั่นไส้ตัวเองจนอยากโยนมงให้ลอยมากระแทกหน้าเลยทีเดียว

    ขั้นตอนต่อมาคือจัดการซื้อตั๋วเครื่องบิน
    ซึ่งต้องบอกว่าในยุคอดีต การซื้อตั๋วเครื่องบินไม่ได้ง่ายแบบสมัยนี้
    แล้วยิ่งเป็นเมืองนาโงย่าด้วยแล้ว สายการบินที่บินตรงจากกรุงเทพไปนาโงย่านั้น

    ไม่มี!!!!!!!!

    เอาละไง shipหาย

    แต่เดชะบุญ เราทั้งสองคนหาสายการบินที่พอจะพาเราทั้งสองเดินทางไปยังนาโงย่าได้
    ซึ่งก็คือสายการบินสัญชาติเกาหลีแห่งนึง แต่เงื่อนไขคือต้องไปต่อเครื่องที่ปูซาน
    ด้วยความบ้านนอกไม่เคยออกนอกประเทศ เห็นว่าน่าสนุก ได้ไปเกาหลีด้วย
    จึงตกลงปลงใจ เลือกสายการบินนี้ทันที

    จากนั้น รอเวลา เก็บกระเป๋า เตรียมเดินทาง โบกมือลาแม่พ่อขอไปตามฝันที่แดนวาซาบิ
    เรียกได้ว่า ถ้าครั้งนี้ ไม่เด่น ไม่ดัง จะไม่หันหลังกลับมาแน่นอนค่ะ!


    つづく


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in