เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
aftercigwithyoucoxxonmy__
03 | Until the autumn is gone
  • Until the autumn is gone

    Title; Until the autumn is gone

    Pairing; kang minhee/kimdongyun

    Playing;

     

    American high school AU! / American vibe

    (แมตต์ – คังมินฮี / ดงยุน -คิมดงยุน / เจคอบ – ชาจุนโฮ / ฮิวโก – ซงฮยองจุน)

     

    /

     

    สิ่งที่แมตต์ชอบที่สุดคือวันที่ท้องฟ้าเปิดโล่งเห็นก้อนเมฆสีขาวลอยเป็นปุยนุ่มนิ่มเหมือนขนมสายไหมอยู่บนนั้นแต่ทว่าในขณะเดียวกันเขาก็เกลียดแสงสว่างจ้าของพระอาทิตย์ดวงโตที่ลอยเด่นมันพาลให้เขาหงุดหงิดและอารมณ์เสียเนื่องจากรังสีความร้อนและความสดใสที่มากเกินไปของมันถึงแม้มันจะให้แสงสว่างในการดำเนินชีวิตก็ตามที

     

                แมตต์กำลังนั่งอยู่ในคาเฟ่ทีเรียขนาดกลางประจำไฮสคูลพลางพยายามบังคับลูกบาสสีส้มให้ทรงตัวอยู่บนนิ้วมือของตัวเองให้ได้นานที่สุดเท่าทีจะทำได้ในช่วงเวลาพักเบรกมักจะวุ่นวายไปด้วยผู้คนเข้ามาทานอาหารกลางวันตัวเขาเองก็เช่นกันหลังจากจบวิชาไบโอที่แสนชวนอ้วกก็รีบตรงดิ่งมาที่นี้ในทันทีโดยไม่ได้สนใจเสียงโหวกเหวกของอาจารย์สาวคราวแม่เลยสักนิดเดียว

     

                ด้านนอกกำลังส่องสว่างไปด้วยแสงแดด, เขาเกลียดมันเข้ากระดูกข้อที่เล็กที่สุดแต่สิ่งที่ทำให้เขาไม่สบอารมณ์มากยิ่งขึ้นก็คือหน้าตาน่ารักของเด็กใหม่กำลังตั้งใจฟังในสิ่งที่กลุ่มเพื่อนแย่งกันพูดออกมาดวงตากลมโตเหมือนลูกสุนัขตัวเล็กเป็นประกายแวววับก่อนที่ริมฝีปากจะแย้มกว้างพร้อมเสียงหัวเราะใสๆดังเข้ามากระทบโสตประสาท

     

                ตึ้ง!

     

               เขาปล่อยลูกสีส้มกลมๆลงกับพื้นอย่างแรงจนเกิดเสียงดังไปทั่วลูกบาสฯตกกระทบกับพื้นไม้อย่างดีและเด้งขึ้นสูงไปทางด้านหน้าเรียกความสนใจจากผู้คนที่นั่งกระจายอยู่ในคาเฟ่ทีเรียหันมามองด้วยความสนใจรวมถึงร่างเล็กที่กำลังหัวเราะอยู่กับกลุ่มเพื่อนนั้นด้วย, ฮิวโกที่เดินเข้ามาด้านในพอดีรับลูกกีฬาไว้ได้ทันก่อนที่จะไปทำร้ายร่างกายใครเข้าเสียก่อน

     

                “ผีห่าซาตานเข้าสิงรึไงถึงได้โยนลูกบาสฯเล่นในคาเฟ่ทีเรียแบบนี้” คนถูกทักไม่ได้สนใจคำพูดฉุนเฉียวของเพื่อนแต่สายตากลับจ้องไปที่คนที่กำลังหลุบสายตาก้มมองถาดอาหารของตัวเอง

     

                “รีบกินเข้าไปเถอะ”เว้นจังหวะไปเพียงชั่วครู่ “จะได้รีบๆไปไม่อยากอยู่ตรงนี้แล้วอากาศไม่บริสุทธิ์เลยสักนิดเดียว”

     

                แมตต์เกลียดพระอาทิตย์เข้ากระดูกรวมถึงรอยยิ้มแสนสว่างสดใสราวกับแสงแดดยามในเช้าของคิมดงยุนเช่นกันเกลียดจนเข้ากระดูกดำ, เวลาเขาจ้องมองไปและพบว่าหมอนั้นกำลังยิ้มกว้างมันทำให้ละสายตาจากไปไหนไม่ได้จนใกล้จะสูญเสียความเป็นตัวเองเต็มทนเหมือนว่าเป็นเพียงดอกทานตะวันที่แสนจงรักภักดีหันหน้าเข้าหาแสงสว่างนั้นตลอดเวลา

     

                โอเคมันเป็นเหตุผลที่แสนจะไร้สาระทั้งยังงี่เง่าไม่มีเหตุผล, เป็นเรื่องที่หักห้ามกันได้ยากลำบากสำหรับหัวใจของใครสักคนคิมดงยุนก็รู้ดีว่าแมตต์กำลังพยายามทำตัวจงเกลียดจงชังอยู่แต่ก็ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ที่เด็กคนนั้นยังคงยิ้มเมื่อเขาเดินผ่านเวลาพบเจอกันอย่างบังเอิญในโถงทางเดินหรือรถโรงเรียน –ข่าวที่ว่าเด็กใหม่จากเกาหลีใต้ตกหลุมรักหนุ่มอังกฤษนั้นกระจายไวยิ่งกว่าไข้หวัดช่วงฤดูร้อน

     

                แมตต์เป็นคนที่นิสัยเกเรค่อนข้างไปทางแย่มากแถมเจ้าเด็กคิมดงยุนนั้นก็ใสซื่อทั้งยังเชื่อคนง่ายเสียจนอดไม่ได้ที่จะรวมหัวกับพวกคนที่มีนิสัยเดียวกันและแกล้งแรงๆให้เจ็บตัวยิ่งรู้ว่าอีกฝ่ายคิดยังไงกับตัวเองก็ยิ่งนึกสนุก

     

                “รู้รึยัง, วันนี้โค้ชนัดไปซ้อมก่อนจะแข่งคัดเลือกตัวแทนของรัฐรอบแรก”ฮิวโกพูดขึ้นมาหลังจากที่กลืนมัฟฟินช็อคโกแลตเข้าปากแล้วเบ้หน้าออกมา “รสชาติห่วยชะมัดนี้ทำน้ำตาลหกใส่รึไง—บ่ายสามโรงยิมที่หนึ่ง ห้ามสายเด็ดขาดถ้านายยังอยากยืนตำแหน่งตัวจริงอยู่นะน่ะ”

     

                แมตต์ฮึมฮัมตอบกลับไปในลำคอมองตามคิมดงยุนที่ก้าวเท้าไวๆนำถาดอาหารไปเก็บและเดินออกไปจากคาเฟ่ทีเรียคุยดังก้องไปทั่วด้วยหลากหลายสำเนียง, อเมริกาเป็นประเทศเสรีจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรมากมายนักเขาปล่อยเวลาไปอย่างไร้ค่าสักพักใหญ่ก่อนจะบอกลากลุ่มเพื่อนขอตัวออกมาก่อนเมื่อนึกถึงอะไรบางอย่างที่ป่านนี้คงจะนอนนิ่งอยู่ในตู้ล็อคเกอร์

     

               โถงทางเดินมีนักเรียนบางส่วนที่เดินผ่านไปมาและประปรายอยู่บริเวณตู้ล็อคเกอร์สีแดงสดที่เรียงหันหน้าเข้าหากันเป็นสองแถว, ขาเรียวยาวภายใต้กางเกงยีนส์สีซีดก้าวไปหยุดที่ตู้ของตัวเองหมุนรหัสด้วยความชำนาญเมื่อปลดล็อคได้แล้วจึงดึงประตูเหล็กบานยาวให้เปิดออกจนกว้างพอที่จะเห็นสิ่งของที่อยู่ด้านใน

     

                สิ่งแรกที่ปะทะเข้ากับสายตาก็คือรูปถ่ายเมื่อช่วงกีฬาระหว่างรัฐเมื่อปีกรายที่สามารถเอาถ้วยชนะเลิศมาครอบครองได้สำเร็จตามด้วยกองหนังสือเล่มโตสี่ห้าเล่มที่ทับๆกันอยู่แก้วพลาสติกสำหรับใส่ปากกาและอุปกรณ์เครื่องเขียนและสิ่งสุดท้ายก็คือหลอดยานวดที่ถูกใช้แล้ววางบนผ้าพันคอสีครีมสะอาดพร้อมกระดาษโน้ตเล็กๆมีตัวหนังสือเรียงกันเป็นระเบียบ

     

                แมตต์หยิบหลอดยานวดขึ้นมาพร้อมกับกระดาษสีน้ำตาลอ่อนแผ่นบางไล่สายตาอ่านประโยคบนนั้นจนครบทุกตัวอักษรแต่สุดท้ายก็มาสะดุดกับตัวอักษรภาษาเกาหลีสามคำที่อยู่ตรงท้ายกระดาษหัวคิ้วเคลื่อนเข้าหากันแต่ทว่าริมฝีปากกลับยกยิ้มขึ้นพร้อมทั้งยัดยานวดลงกระเป๋ากางเกงด้านขวา– อเมริกาเป็นประเทศที่อิสรเสรีมากพอและเขาเคยก็ศึกษาภาษาเกาหลีมาบ้างเมื่อตอนเรียนจูเนียร์ไฮสคูลที่ลอนดอนก่อนจะย้ายมาที่นี้

     

                ดูถูกเขามากเกินไปแล้ว

     

                และเมื่อเวลาเลิกเรียนมาถึง แมตต์กวาดของทุกอย่างที่เป็นของตัวเองลงกระเป๋าสะพายเร่งรีบเดินออกจากห้องเรียนวิชาคณิตศาสตร์ที่แสนจะน่าปวดหัวขวนอ้วกเอาอาหารมื้อเที่ยงออกมาเสียจริงๆเดินไปตามโถงทางเดินที่เริ่มจะวุ่นวายแวะเอาโรงเท้ากีฬาที่ตู้ล็อคเกอร์เพียงครู่เดียว, คิมดงยุนยืนอยู่หน้าตู้ถัดไปประมาณห้าถึงหกเขาเห็นแพขนตายาวและพวงแก้มสีชมพูฟู่ฟองรวมถึงผ้าพันแผลอันเล็กที่ยังมีเลือดซึมออกมาอยู่หน่อยๆพอให้รู้ว่าก่อนหน้านี้ไปเจอกับเหตุการณ์อะไรมา

     

                เขาเผลอกัดฟันและจ้องมองอีกคนเก็บหนังสือเล่มโตเข้าตู้และหยิบสมุดสเก็ตภาพเล่มหนาออกมาแทนจนกระทั่งรู้ตัวว่ามีใครกำลังมองมาอย่างไม่คลาดสายตา, หมอนั้นยิ้มให้เขาเป็นรอยยิ้มของพระอาทิตย์ที่ดอกทานตะวันชอบก่อนที่เจ้าตัวจะเดินออกไปไกลปะปนกับฝูงชนบนโถงทางเดินจนหาตัวไม่พบ– ไอพวกนั้นทำให้เจ้าเด็กเกาหลีเป็นได้แผลโดยที่ไม่ปรึกษาเขางั้นหรอ— กล้ามากเกินไปแล้ว

     

                จุดหมายของเขาคือโรงยิมที่หนึ่งตามคำบอกของฮิวโกตอนที่แมตต์มาถึงก็พบว่าทุกคนยังคงอยู่ในห้องพักกีฬาที่ด้านหลังของโรงยิมเสียงพูดคุยดังเล็ดลอดออกมาจากด้านในอย่างชัดเจนประตูไม้หนาถูกดันเปิดออกคำทักทายแรกก็หลุดออกมาจากเด็กชายอเมริกันตัวสูง

     

                “ไงแมตต์ มาช้านะนาย”

     

                “นายแกล้งอะไรคิมดงยุน”เมินเฉยต่อการทักทายนั้นไปแต่กลับยิงคำถามไปแทนจอห์นนี่กลั้วหัวเราะเบาๆราวกับว่าเป็นเรื่องน่าขำขันโดยไม่สนใจความครุกกรุ่นที่กำลังก่อตัวขึ้นช้าๆภายในจิตใจของเขา

     

                “แกล้งอะไรงั้นหรอ” แมตต์เผลอกำสายกระเป๋าของตัวเองแน่น“ก็แค่เอางานศิลปะที่หมอนั้นตั้งใจทำนักหนาไปใช้แทนที่เขี่ยบุหรี่แล้วก็ขัดขาตอนที่กำลังจะเดินไปส่งงานอะไรอีกนะ? อ๋อ โยนแปรงลบกระดานใส่หัวมันด้วย— เจ๋งใช่มั้ยละ”

     

                “ไปตายซะ” เขาคำรามออกมากอย่างหงุดหงิดรอดไรฟันคนฟังเลิกคิ้วขึ้นอย่างเชื่อหูตัวเอง, ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงต้องหงุดหงิดอะไรขนาดนี้ทั้งๆที่ตามปกติเป็นหัวโจกคิดแผนนำแกล้งด้วยซ้ำไปแต่ในครั้งนี้แตกต่างออกไป–

     

                “ทำไม? อยากเป็นคนดีแบบกะทันหันหรืออยากจะปกป้องมันรึไง”จอห์นนี่ถามแล้วส่ายหัว เดินผ่านร่างเขาออกไปจากห้องพักนักกีฬา “รีบเปลี่ยนชุดซะออกไปจากห้องอับๆนายน่าจะดีขึ้น”

     

                อยากปกป้องงั้นหรอ— ตลกสิ้นดีเขาส่งเสียงเยาะเย้ยให้กับตัวเองหนึ่งครั้งก่อนจะเดินตรงไปหยิบชุดกีฬาออกมาจากตู้เก็บเดินตรงไปเปลี่ยนชุดก่อนจะออกไปรวมกับคนอื่นๆที่ด้านนอก, อาจจะจริงอย่างที่จอห์นนี่ว่าถ้าได้ออกจากห้องสี่เหลี่ยมคับแคบอาจจะดีขึ้น

     

                เขาเกลียดดวงอาทิตย์ คิมดงยุนเองก็เหมือนกัน

     

                การฝึกซ้อมยังดำเนินไปเรื่อยๆอย่างไม่ติดขัดมีบางครั้งที่เผลอเล่นกันแรงจนมีคนล้มไปกองกับพื้นไม้ยางอย่างดีแมตต์ชู้ตลงห่วงที่อยู่สูงเหนือหัวไปอีกหนึ่งลูกหลังจากที่วิ่งไล่กันอยู่ในสนามเสียนานสองนานตำแหน่งของเขาคือสมอฟอร์เวิร์ดหรือเรียกภาษาง่ายๆก็คนทำแต้มให้ทีม, โค้ชเป่านกหวีดเสียงดังก้องไปทั่วเป็นเหมือนสัญญาณบอกว่าวันนี้พอได้แล้ว

     

               ชายตัวสูงอายุราวสามสิบกลางพูดอะไรให้ฟังนิดหน่อยเกี่ยวกับการเล่นในวันนี้ซึ่งเขาไม่ได้ฟังเพราะมัวเอาแต่กรอกน้ำดื่มใส่ปากของตัวเองอย่างเอาเป็นเอาตายคล้อยหลังจากที่ผู้ควบคุมเดินออกไปแล้วโดยไม่ลืมหันมากำชับว่าให้เก็บกวาดสถานที่ให้เรียบร้อยด้วยเขาตรงดิ่งกลับไปยังห้องพักจับกระเป๋าพาดขึ้นบ่าพลางรวบผมสีทองชื้นเหงื่อขึ้นในขณะที่คนอื่นกำลังก่อสงครามแย่งห้องอาบน้ำกันอย่างวุ่นวายมองดูแล้วน่าสมเพชสิ้นดี

     

                มันคือสาเหตุที่แมตต์ไม่เคยแม้แต่จะคิดพิศวาสห้องอาบน้ำของโรงเรียนสู้พาตัวเหนียวเหนอะกลับไปที่บ้านทีเดียวเลยน่าจะเป็นเรื่องที่ควรจะทำมากกว่าโหวกเหวกโวยวายไม่ได้ศัพท์อยู่แบบนั้น, เขาเดินออกมาจากโรงยิมที่หนึ่งด้วยชุดนักกีฬาโดยไม่คิดจะเปลี่ยนยังมีบางคนอยู่บ้างบางตาเนื่องจากเริ่มเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้วเข็มนาฬิกาจะเดินเร็วขึ้นหนึ่งชั่วโมงเป็นเรื่องปกติทำให้ต้องรีบแยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมัน

     

               ในขณะที่เขากำลังกดเลือกเพลงจากโทรศัพท์เครื่องบางก็มีใครสักคนคว้ากระเป๋าสะพายสีดำที่พาดอยู่บนบ่าทำให้ต้องหยุดเดินอย่างช่วยไม่ได้แมตต์เหลือบตามองก่อนจะหันหลังกลับไปประจันหน้ากับคนที่ขัดขวางการเดินกลับบ้าน, เป็นคิมดงยุนนั้นเองที่โผล่มาในเวลาแบบนี้ตลกสิ้นดีเลยให้ตายสิที่มองผ้าพันแผลนั้นแล้วเกิดความเป็นห่วงขึ้นมาอยู่ภายในใจ

     

                 “อะไร?เขาถามเสียงเรียบด้วยระดับปกติ, ใช่ว่าไม่เคยคุยกันแต่ส่วนใหญ่บทสนทนาจะออกมาในรูปแบบที่ไม่น่าจดจำเสียเท่าไหร่นักเรียกได้ว่ามันเป็นบทสนทนาที่แย่มากๆทั้งยังเต็มไปด้วยคำพูดเสียดสีในความเป็นเอเชียของอีกคน

     

                “อ่ะนี้ เห็นคุณพึ่งซ้อมเสร็จ”ขวดน้ำที่ยังมีไอเย็นลอยขึ้นมาถูกยื่นมาให้ตรงหน้า แมตต์ส่งเสียงออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่เกิดขึ้นแต่ก็ไม่ได้อิดออดที่จะรับมันมา“จะไม่ทิ้— ”

     

                ยังไม่ทันจบประโยคดีด้วยซ้ำไปของที่ตั้งใจจะนำมาให้กลับลอยข้ามหน้าไปอย่างเฉียดฉิวกระแทกลงบนขอบปากถังขยะสีเขียวหม่นและตกลงบนพื้นปูนในเวลาต่อมาคิมดงยุนเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่นใช้สายตากลมโตนั้นมองเขาด้วยความผิดหวังอย่างถึงที่สุดแมตต์ถอนหายใจออกมาเมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กนั้นหันหลังเดินหนีไปแต่เขาก็คว้าแขนเล็กนั้นไว้ได้ก่อน

     

                “เดี๋ยว” คิมดงยุนยังคงไม่หยุดใช้แววตาแบบนั้นมองมาเขาล้วงเข้าไปในกระเป๋าสะพายช่องเล็กหยิบพลาสเตอร์ยาลายเรียบๆออกมา“สงสารหรอกนะกลัวจะติดเชื้อตาย คนต่างด้าวแบบนายประกันไม่น่าจะรับรอง”

     

               วางมันลงบนฝ่ามือของอีกคนเป็นแกมบังคับ อีกฝ่ายเดินหันหลังออกไปแล้วพร้อมด้วยสายตาที่ไม่สามารถอ่านออกมาได้ว่ารู้สึกแบบใดอยู่เขาเฝ้าถามตัวเองในขณะที่เดินห่างออกมาได้สักพักอีกเพียงนิดเดียวก็ใกล้จะถึงทางลัดที่จะพาไปถึงบ้านแล้วแท้ๆ–ด้วยอะไรบางอย่างที่ไม่รู้ว่ามันมาจากไหนทำให้ต้องเดินฝ่าอากาศที่เริ่มเย็นขึ้นเรื่อยๆของฤดูใบไม้ร่วงกลับไปที่เดิมที่ได้เดินจากมา, แมตต์ส่งเสียงด้วยความไม่พอใจในตัวเองพลางก่นด่าเป็นรอบที่ยี่สิบเมื่อได้ขวดน้ำเจ้าปัญหามาอยู่ในมือเรียบร้อยแล้ว

     

                เจ้าเด็กคิมดงยุนมีอิทธิพลขนาดนี้มากตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่มีเหตุผลเลยสักนิดเดียวในเมื่อเขาเกลียดหมอนั้นจะตายชัก– แมตต์บอกกับตัวเองซ้ำๆขณะที่ย้ำเท้าลงบนพื้นเป็นคำว่าเกลียดคิมดงยุนมากกว่าพระอาทิตย์ในยามเช้าเกลียดคิมดงยุนมากกว่าความรู้สึกที่เหมือนมีดอกทานตะวันฝังรากลงลึกภายในจิตใจนี้ด้วยแต่เหมือนส่วนลึกสุดในหัวใจกำลังต่อต้านคำพูดเหล่านั้นอยู่อย่างเต็มความสามารถ, เขามองขวดน้ำที่อยู่ในมืออีกครั้งความรู้ขยะแขยงก็ตีขึ้นจนจุกไปหมด ไม่ – แมตต์ไม่ได้ขยะแขยงกับสิ่งของที่คิมดงยุนให้มาแต่กำลังแขยงกับนิสัยแย่ๆของตัวเอง

     

                มากกว่าคำว่าขอโทษที่อยากจะบอก—ให้ตายเถอะ บ้าไปแล้วแน่ๆเป็นเรื่องที่หักห้ามกันได้ยากลำบากสำหรับหัวใจของใครสักคนหนึ่ง,เขาอาจจะทำลายหัวใจของคิมดงยุนจนแหลกสลายคามือไปแล้วก็ได้

     

    -           Untilthe autumn is gone

     

     

               วันนี้หลังจากมื้อเที่ยงไม่มีกระดาษโน้ตหรือสิ่งของชิ้นเล็กๆในตู้ล็อคเกอร์เหมือนอย่างที่เคยเป็นความจริงมันเป็นแบบนี้มาเกือบสองสัปดาห์เห็นจะได้แล้ว, แมตต์ควงปากกาเล่นยามทอดสายตามองไปยังบรรยากาศของคาเฟ่ทีเรียด้านหน้าเขาทานมื้อเที่ยงอิ่มแล้วตอนนี้กำลังพยายามจะแก้โจทย์แคลคูลัสที่ยากบรมจนหัวแทบจะระเบิด

     

               ร้อคกี้พึ่งจะเดินผ่านโต๊ะของเขาไปเมื่อสักครู่นี้หมอนั้นหยุดอยู่ตรงโต๊ะประจำของตัวเองที่มีกลุ่มเพื่อนนั่งล้อมวงอยู่ตรงนั้น คิมดงยุนเองก็ด้วยกำลังขมวดคิ้วให้กับหนังสือวิชาประวัติศาสตร์อเมริกาเล่มโตก่อนจะหันไปยิ้มกว้างให้กับคนที่เดินมานั่งข้างและนั้นมันทำให้เขาต้องโยนปากกาลงบนสมุดที่เปิดค้างไว้ด้วยอารมณ์ครุกกรุ่นเหมือนเตาผิงกำลังปะทุ

     

               ยิ่งมองยิ่งหงุดหงิดเสียจนแทบจะสูญเสียความเป็นตัวเองสุดท้ายก็ต้องละลายตาออกมาจากภาพที่คิมดงยุนกำลังส่งยิ้มหวานให้กับเจคอบศัตรูตัวฉกาจของเขาตั้งแต่สมัยเรียนอนุบาลจนถึงตอนนี้ก็ยังคงอยู่ในตำแหน่งนั้นเสมอมา, ตามปกติแล้วรอยยิ้มนั้นควรจะเป็นของเขาตามปกแล้วคิมดงยุนควรจะมองมาทางนี้ – นี่มันแย่มาก แย่สุดๆ

     

                “สารภาพออกไปเลยดีมั้ย” ฮิวโกพูดขึ้นมาตัดเสียงความวุ่นวายหนุ่มแคนาดาตาสีน้ำตาลอ่อนส่งเบค่อนเข้าปากอย่างสบายใจในขณะที่แมตต์เริ่มขมวดคิ้วเข้าหากัน

     

                “อะไรของนาย สารภาพบ้าบออะไร”

     

                ฮิวโกกลืนเบค่อนลงคอก่อนจะใช้ส้อมชี้หน้า“ก็สารภาพเรื่องที่ว่านายชอบคิมดงยุนแทบจะบ้าแต่ไม่รู้ว่าจะจัดการกับความรู้สึกยังไงเลยหลอกตัวเองมาตั้งนานสองนานว่าเกลียดเด็กนั้น”

     

                แมตต์ลำสักน้ำลายจนไอค่อกแค่กหน้าดำหน้าแดงไปหมดแต่ทว่าใบหน้ายังคงเรียบนิ่งอยู่แบบนั้นราวกับเป็นเพียงแค่สายลมพัดผ่านไม่มีมูลเหตุของที่จะมายืนยันคำพูดเหล่านั้นเขาหัวเราะออกมาอย่างไม่พอใจขยับร่างกายสองสามทีให้เข้าที่

     

                “เพ้อเจ้อ”

     

                “ถ้าฉันเพ้อเจ้อจริงๆนายคงแก้โจทย์ข้อนั้นได้แล้ว”

     

               หลุบตามองสมุดของตัวเองที่เต็มไปด้วยรอยขีดเขียนไม่เป็นระเบียบสูตรการหาค่าสมการแคลคูลัสง่ายๆและตัวเลขขยุกขยิกกระจายอยู่เต็มหน้ากระดาษเขาปิดมันลงแทบจะทันทีและยัดมันลงกระเป๋าที่วางอยู่ข้างๆกันด้วยความรวดเร็ว, ฮิวโกเปลี่ยนมาเป็นแกะกล่องนมสดกระดกเข้าปากแทนแล้วในตอนนี้

     

                “นาย— ”

     

                “ไม่ต้องถามว่ารู้ได้ยังไง นายคิดว่าฉันโง่รึไง”กระแทกกล่องกระดาษที่ว่างเปล่าลงกับถาดพลาสติกใส่อาหารกลางวันเด็กหนุ่มพรูลมหายใจก่อนจะพูดต่อ“สายตานายมันบอกว่าไม่สามารถห้ามใจไม่ให้เต้นกับเด็กคนนั้นได้เลย ไองั่งเอ๋ยอยากให้ฉันเขียนป่าวประกาศให้รับรู้กันทั้งไฮสคูลมั้ยว่าแมตต์หนุ่มหล่อที่เคยคั่วกับเจนนิเฟอร์เอิร์ตแมนอดีตรุ่นพี่ดาวโรงเรียนสาวสวยกำลังจะอกหักเพราะไม่ยอมรับว่าตัวเองชอบเด็กเกาหลีหน้าตาพื้นบ้านอย่างคิมดงยุนย้ายก้นออกไปจากเก้าอี้ซะถ้าไม่อยากโดนหมาคาบไปกิน”

     

                แมตต์แทบอยากจะจับหัวเพื่อนคนนี้โขกลงกับโต๊ะแรงๆสักทีสิ่งที่หมอนั้นพูดออกมานั้นเกือบจะถูกทั้งหมดยกเว้นก็แต่เรื่องที่คั่วกับแม่สาวดาวโรงเรียนนั้นเขาก็แค่จูบกับหล่อนเท่านั้นแหละ – ไม่สิไม่ได้เรียกว่าจูบด้วยซ้ำไปเพียงแค่ปากแตะปาก, แมตต์มองไปที่โต๊ะตัวนั้นอีกครั้งคนตัวเล็กที่อยู่ในบทสนทนากำลังเคี้ยวพายสัปปะรดจนแก้มตุ้ยอย่างน่ารักเขายิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัวแต่ก็ต้องหุบลงเมื่อเจคอบชะโงกหน้าเข้ามาแย่งชิงความสนใจไป

     

               สุดท้ายแล้วความอดทนที่มีจำกัดก็ทะลุปรอทจนได้ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะกลัวว่าจะโดนหมาคาบไปกินก็ได้เขาลุกออกจากเก้าอี้ก้าวเท้ายาวๆตรงไปอย่างไม่ลังเล ฮิวโกพยักหน้าเบาๆในขณะที่กำลังกัดผลแอปเปิ้ลเข้าปาก, บทสนทนาหยุดลงตรงนั้นสายตาหลายคู่จ้องมองมาด้วยความสงสัยแมตต์ไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรเมื่อเดินไปถึงแขนเล็กได้เสื้อโค้ทพอดีตัวถูกจับไว้แน่นและจนเจ้าของต้องเบ้หน้า

     

                “ทำอะไรของนายเนี่ยเป็นบ้าไปแล้วหรอ!” คิมดงยุนร้องโวยวายเมื่อถูกฉุดตัวให้ลุกขึ้น แมตต์ไม่ตอบคำถามแต่พยายามจะดึงร่างเล็กๆนั้นให้เดินตามมาและมันก็เกือบจะสำเร็จถ้าไม่มีใครเข้ามาขวางไว้

     

                “ปล่อยดงยุน” เจคอบพูดเสียงรอดไรฟัน“อย่าหาว่าไม่เตือนนะแมตต์”

     

                “ทำไม คนอย่างนายจะทำอะไรฉันได้— เจค”พูดออกมาด้วยน้ำเสียงกวนประสาท “เอาเลย ต่อยมาเลยสิไอเด็กเอเชียนี้จะได้รับรู้ด้วยว่านายไม่ใช่คนดีอย่างที่มันคิด”

     

                 แน่นอนว่าคำท้าทายก็ได้รับการตอบสนอง, แมตต์ล้มลงไปกองอยู่กับพื้นเมื่อหมัดหนักๆลอยเข้ามาปะทะใบหน้าจนแสบไปหมดรับรู้ถึงกลิ่นสนิมเลือดลอยคลุ้งอยู่ในโพรงปากเมื่อกลับมาตั้งตัวได้ไม่ลืมที่จะเอาคืนโดยการสวนกลับไปอีกหมัดจนลงไปเอาหน้าวัดกับพื้นโดยเตะซ้ำไปอีกครั้งเพื่อบรรเทาความหงุดหงิดที่อยู่ภายในใจ,เขาจับแขนคิมดงยุนไว้อีกครั้งออกแรงกระชากจนออกมานอกคาเฟ่ทีเรียได้สำเร็จ

     

                คนที่พึ่งโดนลากออกมาร้องโวยวายออกมาเป็นภาษาบ้านเกิดของตัวเองตลอดทางพยายามขืนตัวเองสุดกำลังแต่ทว่าก็ล้มเหลวเมื่อไม่สามารถสู้แรงของแมตต์ได้จนสุดท้ายแล้วเรือนกระจกด้านหลังอาคารเรียนก็เป็นที่ที่เขายอมปล่อยให้อีกคนเป็นอิสระ, คิมดงยุนเบ้หน้าในยามที่กุมข้อมือที่โดนบีบจนขึ้นเป็นรอยสีแดงดูน่ากลัว

     

                “เป็นบ้าอะไรของนายอีก เกลียดกันมากไม่ใช่รึไง”

     

                “ฉันจะไม่พูดเยอะหรอกใช้หูของนายฟังให้ครบทุกคำแล้วกัน” เขาขยับตัวเข้าใกล้มาขึ้นและผลตอบรับคือการถอยหลังหนี“นายจะชอบเจคไม่ได้เด็ดขาด หมอนั้นมันนิสัยห่วยยิ่งกว่าผักเน่าเสียอีก”

     

                “ทำไมจะไม่ได้ขนาดนายที่ว่าทำตัวเลวมากขนาดนี้ยังเคยเผลอใจมาแล้วเลย”

     

                “เพราะฉันชอบนายไง! ได้ยินชัดรึเปล่าฉันชอบนาย!! ห้ามเปลี่ยนใจเด็ดขาดเลยนะ”เสียงที่ออกมานั้นดังจนอีกคนสะดุ้งสุดตัวถึงแม้มันจะเป็นคำสารภาพก็ตามที“ฉันก็แค่— พึ่งจะรู้ตัวแล้วก็กล้าสารภาพออกมาดท่านั้นเอง

     

                คิมดงยุนเม้มปากแน่นเข้าหากันจนเป็นเส้นตรงไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับออกมาจากคนที่พึ่งจะได้รับคำสารภาพออกมาแบบไม่ทันได้ตั้งตัวถึงแม้จะเต็มไปด้วยความดีใจแต่ส่วนหนึ่งก็สับสนอย่างบอกไม่ถูกคำพูดที่ออกมาจากปากคนคนนี้จะสามารถเชื่อได้มากแค่ไหนกันเชียว, แมตต์ที่แสดงท่าทางรังเกลียดกันมาโดยตลอดตั้งแต่ที่ก้าวเข้ามาเหยียบที่นี้แต่ทว่าตอนนี้กลับมาบอกว่าชอบเสียอย่างนั้น,ทุกคำพูดที่ออกมามีแต่ความไม่น่าเชื่อถือเต็มไปหมดหากนี้เป็นหนึ่งในแผนการร้ายกาจจะทำเช่นไร

     

                “ฉัน— ฉันลืมนายไปแล้วลืมไปแล้วจริงๆ” ตอบด้วยน้ำเสียงต่ำกว่าระดับปกติราวกับจะพยายามกดทับอะไรบางอย่างลงไปให้ลึกที่สุด“ขอโทษนะ นายมาช้าไป”

     

                “ในเมื่อฉันมาช้าไป, ฉันก็จะทำให้นายลืมไอหมอนั้นแล้วจดจำฉันเสียใหม่”

     

               จบคำพูดเพียงเท่านั้นเมื่อริมฝีปากประกบลงมาอย่างไม่ทันให้ได้ตั้งตัวอีกฝ่ายทำท่าต้องการที่จะขัดขืนสองมือผลักเข้าที่ไหล่แต่กลับถูกจับเอาไว้จนแน่นความนุ่มหยุ่นกดลงมาแรงขึ้นจนรู้สึกถึงรสชาติขมปร่าของบุหรี่และความหวานเย็นของลูกอมเปปเปอร์มิ้นได้ชัดเจนราวกับว่าได้สัมผัสมันด้วยตัวเอง

     

               ความรู้สึกเหมือนล่องลอยออกไปในดินแดนที่ไม่รู้จักและไม่เคยคิดจะฝันถึงมันลมหายใจเป่ารดที่บริเวณสันจมูกความช่ำชองถูกส่องผ่านมาถึงอย่างไม่อยากเมื่อฝ่ามือรองที่หลังคอและปรับให้เอียงมากพอที่จะรับรสจูบหนักหน่วงที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

     

                ราวกับผลงานของจิตรกรชั้นเองที่รังสรรค์ขึ้นมาอย่างวิจิตรบรรจง เผลอกำเสื้อคลุมของอีกฝ่ายแน่นจนยับยู้ยี่เนื่องจากไม่ได้ออมแรงเอาไว้มันเนิ่นนานเสียจนคิมดงยุนลืมใครอีกคนไปจริงๆอย่างคำพูดของแมตต์ก่อนหน้านี้, ในหัวสมองเต็มไปด้วยสีขาวโพลนไร้ซึ่งความรู้สึกนึกคิดและเมื่อเลิกรุนรานถอนริมฝีปากออกไปแล้วสัมผัสอบอุ่นยังคงติดตรึงอยู่ไม่จางหาย

     

                 “ไหนตอบมาสิ” เสียงนุ่มดังขึ้นที่บริเวณใบหู“ว่าลืมไอผักเน่าเจคอบนั้นไปแล้ว”

     

                “ทำไม” คิมดงยุนยังคงประติดประต่อความคิดของตัวเองไม่ดีนักได้ช้อนตามองด้วยความสบสัน

     

                “ฉันบอกแล้วไงว่าชอบนาย” แมตต์พูดขึ้นอีกครั้งไล่ปลายนิ้วชี้ไปตามแนวคิ้วที่แปะพลาสเตอร์ยาธรรมดาบดบังรอยแผลเอาไว้“ฤดูใบไม้ร่วงมาถึงแล้ว ถึงเวลาที่จะเปลี่ยนความรู้สึกแล้วละ”

     

                “แต่— ”

     

                “รอเวลาที่ฉันจะรับรักมานานแล้วไม่ใช่รึไงทำไมถึงเอาแต่ยกเหตุผลออกมาละ”

     

                 “ก็นายเกลียดฉันมาตลอดยังไงละ” คิมดงยุนเบะปากพร้อมทั้งขมวดคิ้วใบหน้าเริ่มงอง้ำในขณะที่แมตต์เริ่มที่จะยกยิ้มขึ้นจากเพียงรอยยิ้มเล็กๆก็กว้างขึ้น

     

                 “ใช่—ฉันเกลียดนายจนกระทั่งถึงเมื่อวาน” เขาพูดและดึงร่างเล็กๆเข้ามาในอ้อมกอดของตัวเองคิมดงยุนที่ดิ้นขลุกขลักเป็นปลาขาดน้ำก็หยุดลงเมื่อได้ฟังประโยคที่อยู่ถัดมา“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ฉันจะเป็นผู้ชายของนายและนายก็จะเป็นคนของฉัน”

     

               คนที่อยู่ในอ้อมกอดยังคงเงียบจนกระทั่งยอมซุกหน้าลงกับไหล่ลาดกลุ่มผมสีน้ำตาลเข้มคลอเคลียอยู่ที่บริเวณข้างใบหู แมตต์รู้สึกเจ็บบริเวณหน้าอกเล็กน้อยเมื่อถูกกำปั้นทุบลงมาอย่างไม่เบาแรงเท่าไหร่นักซ้ำเข้าที่เดิมหลายครั้งจนเริ่มจุกอก

     

                “กำลังเขินอยู่รึไง” คำตอบคือเสียงอื้ออึงในลำคอฟังไม่ได้ศัพท์ว้า จะทำยังไงดีละคิมดงยุนกำลังเขินละ”น้ำเสียงล้อเลียนถูกส่งออกมาอีกระลอกซึ่งก็โดนกำปั้นน้อยๆทุบเข้าไปอีกตามระเบียบ“รู้สึกดีใช่มั้ย? ที่ตอนนี้เราไม่ใช่คนอื่นแต่ว่าเป็นแฟนกันแล้ว”

     

    แมตต์สูดลมหายใจเข้าปอดอีกครั้งหนึ่งเพื่อรวบรวมความกล้าที่เริ่มจะตีขึ้นมาในอกจนแทบล้นทะลักออกมาคลายอ้อมกอดออกเล็กน้อยกลัวว่าอีกคนจะอึดอัด, คิมดงยุนใบหน้าแดงเปล่งมองผ่านแสงแดดอ่อนรำไรแบบนี้แล้วก็ดูน่ารักไปอีกแบบ

     

                ไม่ใช่พระอาทิตย์ที่ส่องแสงสว่างจนแสบตาไปหมดขอให้เป็นเพียงแค่แสงแดดอ่อนสีเหลืองนวลก็เพียงพอแล้ว, นี้แหละที่เขาชอบและตกหลุมรักมัน

     

                 “ฉันชอบนายนะ ได้ยินเสียงหัวใจเต้นใช่มั้ย”

    /

    (end)

    ถ้ามีใครคุ้นๆเหมือนเคยอ่านที่ไหนมาก่อนไม่ต้องตกใจนะคะ

    เราเอาเรื่องเก่าของเราเมื่อนานมาแล้วมารีไรท์เขียนใหม่ค่ะฝากด้วยนะคะ

    ถ้ามีคำผิดก็ขออภัยด้วยนะคะ

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in