เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เมื่อฉันติดโควิดเมื่อฉันรีวิวหนังสือ
Day 7
  • Day 7

    วันนี้ตื่นมาด้วยเสียงละคร(อีกแล้ว) เนื่องจากวันนี้เป็นวันเสาร์ละครเรื่องแรกที่ขึ้นมาจึงไม่ใช่เรื่อง เงาอโศก แต่กลับเป็นเรื่องที่เป็นละครอมตะอีกเรื่อง ‘สังข์ทอง’ เอาจริงนี่ก็ตกใจอยู่เหมือนกันนะ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ดูเมื่อประมาณ 10 ปีก่อนแล้ว คือฉันเลิกดูละครจักรๆ วงศ์ๆ แบบนี้ตั้งแต่ขึ้นประถมแล้วมั้ง พอได้มาดูใหม่ก็ทำให้ spot อะไรแปลกๆ เยอะเหมือนกันอย่างเรื่องปิตุลาธิปไตยในเรื่องสังข์ทองงี้ (ราชามีอำนาจสูงสุด แค่ราชินีออกลูกเป็นสังข์ก็คือเนรเทศทั้งแม่ทั้งลูก) อีกเรื่องก็คือความไม่ make sense ในแง่ของร่างกายและ biology เนี่ยแหละ คือถามจริงนะ ตัวละครในเรื่องมันไม่สงสัยกันบ้างหรอว่าคนจะออกลูกเป็นหอยสังข์ได้ไง คือตอนเบ่งออกมาไม่บาดช่องคลอดตายเลยหรอ คือเอาจริงถ้าให้นักชีววิทยาหรือชาร์ลส์ ดาร์วินมาดู ดาร์วินก็ดาร์วินเถอะ รับรองมี งง ตาแตกแน่นอน แต่เอาจริงๆ ฉันดูแล้วก็สงสัยเหมือนกันนะ ว่าทำไมถึงเป็นหอย ทำไมคนแต่งไม่แต่ให้คลอดลูกออกเป็นหมา เป็นแมวอะไรแบบนี้ หรือหอยมันมีความสำคัญอะไรกับคนไทยสมัยก่อนหรือเปล่านะ (แบบฉันเคยอ่านนิทานของชาวกะเหรี่ยงเรื่องหนึ่งซึ่งมีตัวละครเอกเป็นแมงมุม ซึ่งตอนจบก็จะพูดประมาณว่าแมงมุมเป็นสัตว์วิเศษที่สร้างเส้นใยซึ่งต่อมาเอามาใช้ทอเป็นผ้าได้ คืออย่างกรณีนี้อะ มันก็แสดงให้เห็นว่าสำหรับคนกะเหลี่ยง ผ้าไหมเป็นหนึ่งในสินค้าสำคัญอะไรประมาณนี้ แต่ก็คือไม่เข้าใจว่าทำไมเรื่อง สังข์ทอง ถึงให้ตัวเอกออกเป็น หอย? หรือเพราะช่วงนั้นคนอีกหอยเยอะอะไรแบบนี้หรอ ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจ) เอาจริงๆ ฉันว่าการศึกษาละครหรือวรรณกรรมพื้นบ้านของต่างประเทศเป็นอะไรที่สนุกมากเลยนะ เพราะมันจะทำให้เราเห็นค่านิยมของคนในประเทศนั้น (ถ้าว่างๆ ฉันก็ว่าจะลองไปอ่านนิทานของแถบสแกนดิเนเวียดูเหมือนกันน่าจะสนุกดี) หลังจากดูสังข์ทองจบ ฉัน พี่โอ๋ แล้วก็พี่น้อยก็เลยคุยกันว่าวันนี้จะต้องกินอะไรแซ่บๆ ให้ได้เลย! (คือข้าวเช้าวันนี้เป็นมักกะโรนี ซึ่งเป็นอาหารที่ฉันเกลียดเป็นทุนเดิม ก็เลยตัดสินใจกินมาม่าแทน) สรุปข้าวเที่ยงวันนี้พวกเราก็เลยสั่ง Grab กับ Line man มาโดยตั้งเป็นตำข้าวโพด ต้มแซ่บ หมูสามชั้น แล้วก็ข้าวเหนียว นอกจากนี้ฉันก็สั่งโกโก้ไข่มุกมากินด้วย (หลังจากไม่ได้กินมานานเพราะกลัวไอ) แต่คำแรกที่กินกลับทำให้ฉันรู้สึกผิดหวัง…

    เอาจริงคือรสชาติมันไม่ได้แย่ แต่ฉันว่าลิ้นของฉันมันรับรสได้น้อยลง เอาจริงๆ อันนี้คือฉันสังเกตมานานแล้ว ว่านอกจากไม่ได้กลิ่นแล้ว ฉันก็มีอาการแบบว่าลิ้นไม่ค่อยรับรสด้วย (คือยังได้รสหวานเค็มอยู่นะ แต่ level ของรสชาติมันถูกลดลงมากๆ) ทำให้ฉันกินข้าวไม่ค่อยอร่อยเลย (เศร้ามากก) แต่เอาจริงๆ ก็คิดอยู่เหมือนกันว่าส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะฉันไม่ได้กลิ่นด้วยหรือเปล่า อรรถรสในการกินเลยลดลง (ถ้าถามว่าไม่ได้กลิ่นเป็นอย่างไง ก็เอาเป็นว่าตอนฉันอาบน้ำถูสบู่อะไรแบบนี้ก็ไม่ได้กลิ่น เข้าไปในนั่งในห้องน้ำก็ไม่ได้กลิ่น คือไม่ได้กลิ่นอะไรเลยจริงๆ ซึ่งเอาจริงๆ ฉันว่ามันก็ไม่ได้แย่เพราะอย่างน้อยมันก็ทำให้ฉันสามารถไปนั่งคุยงานในห้องน้ำได้ ตอนที่พี่น้อยกับพี่โอ๋หลับ) 

    ตัดภาพมาหลังกินข้าวเสร็จ บอกตรงๆ คือฉันอิ่มมาก แล้วก็รู้สึกเริ่มง่วงแล้วด้วย แต่ว่าวันนี้ฉันไม่อยากนอนเพราะฉันกลัวจะนอนไม่หลับ (อย่างเมื่อวานงี้คือมีนอนกลางวันตอน 13.00-16.00 สรุปคือตอนกลางคืนก็นอนไม่หลับเลย วันนี้ก็เลยว่าจะไม่นอน) โดยพอฉันไม่นอนฉันก็ใช้เวลาไปกับการดูเรื่อง exchange กับอ่านหนังสือ 

    เริ่มจากการ exchange ก่อน เอาจริงๆ คือก่อนหน้านี้ฉันไม่เคยคิดเรื่องจะไป exchange เลยเพราะฉันขี้เกียจสอบ Toefl แต่เพราะฉันดันไปอ่านหนังสือเล่ม ‘วิชาเดินทางหลังเลิกเรียน’ ของพลอยไพลิน ก็เลยทำให้อยู่ดีๆ ก็อยากไป exchange ซะงั้น (ไม่น่าเลย ถถถ) ซึ่งช่วงที่เตรียมสอบ Toefl ก็คือลำบากมากกก แต่ผลออกมาคะแนนก็คือ satisfying มากๆ ตอนนั้นฉันก็คิดแหละว่าคะแนนฉันก็สูงอยู่นะ ตอนไปเลือกประเทศ เลือกมหาลัยที่จะไปก็คงชิวๆ แต่สรุปคือคะแนนฉันเนี่ยเรียกได้ว่า ต่ำ แล้ว เพราะคนอื่นคือได้คะแนนมากกว่าฉันเยอะเลย (พูดแล้วก็เศร้า) มหาลัยที่ฉันอยากไปก็คือมีแต่คนเก่งๆ เลือก ซึ่งฉันก็คงสูงเขาไม่ได้, มหาลัยอื่นก็แลกวิชาได้น้อย หรือไม่ก็ปิดเทอมช้า (ซึ่งจะส่งผลตอนที่ฉันไปฝึกงาน) นี่ยังไม่รวมไปถึงความจริงที่ว่าฉันต้องจัดการทุกอย่างอย่างส่งเมลไปขอ syallabus ของมหาลัยที่ต่างประเทศเองด้วยนะ (แถมข้อมูลบางวิชาใน BBA ยังไม่ตรงกับวิชาที่สอนจริงที่มหาลัยด้วย) เอาจริงแค่คิดก็เหนื่อยแล้ว เหนื่อยจนคิดว่าไม่อยากจะไปแล้วเนี่ย ฮือออ แต่ที่ฉันอยากไปเพราะฉันไม่อยากเรียน free elective ที่นี้ เอาจริงๆ นะ ชื่อก็บอกว่า ‘free’ แต่ทำไม course ที่ BBA ให้ฉันเลือกมันถึง ‘ไม่ free’ ก็ไม่รู้ ฉันไม่มีสิทธิ์เลือกอะไรด้วยซ้ำ เพราะวิชาที่ BBA มีให้ฉันเลือกก็มีแค่ 2 วิชาเท่านั้น ซึ่งก็เป็นวิชาที่เกี่ยวกับ business ทั้งนั้น ทั้งๆ ที่ถ้าฉันจะเรียน free elective ทั้งทีฉันก็อยากจะเรียนวิชาที่มันไม่เกี่ยวกับ business ไหม แบบวิชา criminology, zoology ไม่ก็ acting ไรงี้ นี่แหละเป็นสิ่งที่ทำให้ฉันโคตรเกลียด free elective ของ BBA เลย แต่ไหนๆ เบลก็อุตส่าห์ทำ study plan ให้ฉัน ฉันว่าฉันก็จะลองสักตั้งหนึ่ง ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็ค่อยไปตอน Fail ไม่ก็ปี 4 ก็ได้ อย่างไงฉันก็จะไม่เรียนพวก free elective ที่ BBA แน่นอน!

    ถัดจากเรื่อง exchange ก็เรื่องหนังสือเนี่ยแหละวันนี้ในที่สุดฉันก็อ่านหนังสืออีกเล่มจบ ซึ่งเล่มนี้ก็คือ Aday magazine: content creator นั้นเองเอาจริงๆ ฉันอ่านแล้วก็เฉยๆ นะ คือจะว้าวก็ตรงที่ว่าฉันได้รู้จัก content creator ของประเทศไทยมากขึ้นเท่านั้นเอง บางคนก็เป็นคนที่ฉันรู้จักและติดตาอยู่แล้ว อย่าง รองขาโต๊ะ, Softpomz, Little monster หรือส้มมารี ไรงี้ ได้อ่านสัมภาษณ์คนเหล่านี้ก็สนุกดี ในฐานะที่ฉันก็ถือเป็น content creator คนนึงเหมือนกัน (ถึงจะไม่ดังก็เถอะ ถถถ) แต่อ่านไปเยอะๆ เอาจริงๆ มันก็เบื่อนะ แบบคำถามซ้ำๆ เดิมๆ อ่านไปเรื่อยๆ ก็เบื่อเหมือนกัน (ซึ่งเอาจริง คือฉันรู้สึกแบบนี้กับนิตยสาร Aday เกือบทุกฉบับ) แต่เอาเป็นว่าใครสนใจก็ไปหาอ่านได้นะ

    ตอนนี้เป็นเวลาสี่โมงครึ่งแล้ว ฉันยังไม่ได้นอนกลางวันเลย และที่สำคัญพี่ลี่ก็ทักมาหาฉันอีกแล้วว่าจะเอา Burger King มาให้ คือเอาจริงๆ ตอนฉันรู้เนี่ยฉันจะร้องไห้ ฮือออ พี่ลี่เอาของมาให้อีกแล้วทั้งๆ ที่ฉันก็บอกพี่แกไปแล้วว่าฉันเกรงใจ แงง ฉันควรจะทำอย่างไงให้พี่ลี่เลิกสั่งของให้ดี 

    ปล. ล่าสุดฉันโทรบอกแม่ให้แม่ฝากไปบอกพี่ลี่แล้วว่าให้เลิกส่งของมาให้ แล้วก็ล่าสุดฉันคิดว่าจะส่งหนังสือให้พี่ลี่อ่านด้วยแหละ เอาจริงๆ ฉันก็ไม่รู้ด้วยแหละว่าควรจะซื้ออะไรให้พี่ลี่อ่านดี ความจริงจะซื้ออาหารให้ก็ได้ แต่สำหรับฉันแล้วการซื้อหนังสือไปให้คงจะเหมาะสมที่สุดเพราะอย่างไงฉันก็เป็นนักอ่านหนังสือนี่เนอะ หนังสือเล่มแรกที่ pop up ขึ้นมาในหัวของฉันคือเล่ม ‘ปีแสง’ ของคุณดุจดาว หนึ่งในหนังสือที่ฉันรักที่สุด แล้วก็เป็นเล่มที่ฉันคิดว่าเป็นเล่มที่บ่งบอกถึงความรักและความหวังดีของฉันแก่ผู้รับได้ดีที่สุดอีกด้วย ถึงฉันจะไม่รู้ก็ตามเถอะว่าพี่ลี่จะชอบหรือเปล่า (เพราะพี่ลี่เป็นคนที่ดูนิ่งๆ เรียบร้อยๆ แต่ในเล่ม ปีแสง theme มันจะค่อนข้างเป็นอะไรที่เผ็ดร้อน แต่ก็เป็นหนังสือที่ให้ความรู้สึกเหมือน ‘ไฟเย็น’ ที่ตอนแรกอ่านแล้วรู้สึกเหมือนกำลังโดนแผดเผา แต่อ่านไปเรื่อยๆ ก็ทำให้ฉันรู้สึกสงบเย็นเหมือนทำให้ฉันเข้าใจชีวิตมากขึ้น ฉันไม่แน่ใจว่าพี่ลี่จะชอบเล่มนี้ไหม แต่ฉันก็หวังว่าพี่ลี่จะชอบเล่มนี้เหมือนที่ฉันตกหลุมรักหนังสือเล่มนี้เหมือนกัน) อีกเล่มที่ผุดขึ้นมาในหัวของฉันคือเล่ม ‘Makoto marketing’ หนังสือเล่มนี้ผุดขึ้นมาพร้อมกับความคิดที่ว่าพี่ลี่มีธุรกิจเป็นของตัวเองดังนั้นการให้หนังสือที่พูดเกี่ยวกับการตลาดน่าจะเหมาะกับพี่เขา เพราะพี่ลี่สามารถเอาความรู้ที่ได้ไปใช้ในการทำธุรกิจได้ นอกจากนี้หนังสือยังอ่านง่ายและอ่านสนุกอีกด้วย ฉันหวังว่าพี่ลี่จะชอบเรื่องนี้นะ (ล่าสุดฉันส่งข้อความไปขอชื่อพี่อยู่ของพี่ลี่แล้ว แล้วพรุ่งนี้ 8.8 ฉันก็ว่าจะสั่งหนังสือให้ไปส่งที่บ้านพี่ลี่ แต่ฉันกลัวอยู่อย่างเดีย กลัวว่าพี่ลี่จะไม่ให้ชื่อที่อยู่ฉันเนี่ยแหละ ถถถ ขอให้พี่ลี่ใจอ่อนให้ชื่อที่อยู่ฉันเถอะ ไม่งั้นความรู้สึกเกรงใจของฉันต้องทำฉันอกแตกตายแน่ๆ) 

    ปล 2. พูดถึงเรื่องพี่ลี่ เอาจริงๆ ฉันชอบพี่เขามากเลยนะ พี่เป็นคนที่น่ารัก ใจดี ใจเย็น แล้วก็เป็น working woman ที่เก่งมากๆ อีกด้วย ซ้ำจำได้เลยว่าครั้งแรกที่ฉันเจอพี่ลี่ ตอนนั้นฉันยังอยู่ประมาณ ม.ต้นอยู่เลย (เอาจริงๆ ช่วงนั้นก็เป็นช่วงต่อต้านด้วยแหละ 555) ฉันจำได้ว่าพอฉันได้ยินว่าแม่ฉันชมพี่ลี่บ่อยมากๆ ฉันก็คิดไปว่าพี่ลี่ต้องเป็นผู้ใหญ่แบบ baby boomer แน่ๆ แต่พี่ลี่กลับเป็นคนที่ open มากๆ ตอนฉันพูดอะไรไปพี่ลี่ก็ฟังใจฟังฉันอย่างดี แถมยังชมฉันอีกด้วย เอาจริงๆ ฉันไม่แปลกใจเลยว่าทำไมแม่ของฉันถึงชอบพี่ลี่ เพราะฉันก็ชอบพี่ลี่เหมือนกัน แต่สิ่งที่น่าเสียดายคือความจริงที่ว่าพอฉันโตมาฉันกลับพูดน้อยลง สำหรับเพื่อนสนิทของฉัน ฉันก็จะดูพูดมากนั้นแหละ แต่ในบางตอนที่ฉันอยู่กับผู้ใหญ่หรืออยู่กับคนที่ไม่ค่อยสนิทฉันกลับพูดไม่ออก ไม่ใช่เพราะฉัน nervous นะ แต่ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าฉันควรจะพูดอะไร ทั้งๆ ที่ฉันก็อยากจะคุยกับพี่เขานะ แต่พอจะพูดกลับพูดไม่ค่อยออกไปซะงั้น ขนาดญาติที่ฉันสนิทด้วยตั้งแต่เด็กๆ ฉันยังไม่รู้จะพูดอะไรด้วยเลย แต่เอาจริงฉันก็ไม่ได้เกลียดที่ตัวเองเป็นแบบนี้เหมือนกันนะ


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in