เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เออร็อด นักเล่านิทานli_li_an
ปริศนาดวงตาของเออร็อด(4)
  •     ชายผู้หนึ่งนั่งอยู่ในห้องจัดเลี้ยงของแม่ทัพใหญ่แห่งดินแดนทุ่งหญ้า ร่างไม่สูงไม่เตี้ยนั้นกำลังขยับเสื้อคลุมอย่างคนต่างถิ่นของตนให้เข้าที่เข้าทาง ก่อนจะลุกออกจากตำแหน่งที่นั่งของกวีเมื่อการเล่านิทานของตนจบลง หากยังไม่ทันก้าวพ้นที่นั่งดี ก็ถูกรั้งไว้เสีย ด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจของผู้เป็นเจ้าของงาน

        "ขอรับ?" ชายหนุ่มหยุดตามคำเรียกนั้น แล้วนิ่งรอว่าผู้รั้งเขาไว้นั้นต้องการสิ่งใด

         "กวีต่างถิ่น เจ้าเป็นกวีที่ดี" เจ้าบ้านเอ่ยชม "...แต่การแต่งตัวของเจ้ามีปัญหา" ต่อด้วยคำตำหนิปนระอา 

         "ไม่ใช่ว่าอาชีพอย่างพวกเจ้ามีหน้าที่ต้องรักษาภาพลักษณ์ของตนให้ดูน่าคบหาหรอกเรอะ?" แม่ทัพหนุ่มวนนิ้วไปมาในอากาศ คล้ายกำลังทบทวนความจำ 

          "ข้าน่ะชอบการเล่านิทานของเจ้า ดังนั้นจึงไม่อยากให้เจ้าถูกมองข้ามไปด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่พิลึกกึกกืออย่างนั้น" เขาว่า ก่อนชี้มายังผ้าปิดตาสีดำที่คาดปิดดวงตาข้างหนึ่งของนักเล่านิทานอยู่ "อย่างน้อยๆก็เอาผ้าปิดตานั้นออกหน่อยเป็นไง มันทำให้เจ้าดูน่ากลัวนะข้าว่า" นายเหนือของเหล่าทหารแห่งแดนทุ่งหญ้าว่าเป็นเชิงถามความเห็น

         นักเล่านิทานยกมือขึ้นสัมผัสผ้าปิดตาของตน แล้วยิ้มให้จอมทัพหนุ่มเล็กน้อย ก่อนเอ่ยตอบ

         "ข้ามีเหตุนิดหน่อย ทำให้ไม่อยากเปิดผ้าปิดตานี้ออกน่ะขอรับ"

         "ไม่แม้มันอาจทำให้เจ้าอดตายเพราะไม่มีงานน่ะรึ?" แม่ทัพหนุ่มเลิกคิ้วถาม

         "ขอรับ แม้เมื่อมันเป็นเช่นนั้น" 

         จอมทัพผิวปากหวือ "ข้าชักอยากรู้แล้วสิ"

         นักเล่านิทานค้อมตัวลงเล็กน้อยคล้ายรับคำ "ถ้าท่านประสงค์..." เขายืดตัวขึ้น ขยับเสื้อคลุมพิลึกพิลั่นของตนอีกครั้ง แล้วเริ่มเล่านิทาน

        "นี่คือเรื่องที่ข้าได้ฟังมา" ชายหนุ่มเกริ่น ถอนใจเล็กน้อยเมื่อเห็นสายตาสงสัยที่ส่งมาจากจอมทัพผู้มีความห่วงใยในปากท้องของเขา เขายิ้ม แล้วเสริมคำอธิบายของข้อสงสัยที่เขามักจะโดนถามอยู่เสมอ

         "เป็นธรรมเนียมน่ะขอรับ ไม่ได้พูดแล้วข้าไม่สบายใจ" เขาป้องปากทำเสียงกระซิบกระซาบ แล้วเริ่มเล่าต่อไปเมื่อผู้ทรงอำนาจขยับยิ้มบางแทนคำอนุญาต

        "นี่คือเรื่องที่ข้าได้ฟังมา" นักเล่านิทานว่าอีกครั้ง "ดังนั้น...หากมันจะมีคำโกหกใดปลอมปนอยู่ในสิ่งที่ข้าเล่า ก็ขอให้ท่านทั้งหลายได้ทราบไว้ คำโกหกนั้น ไม่ได้มาจากข้าแต่อย่างใด" ชายหนุ่มกล่าวถ้อยคำอันเป็นธรรมเนียมของพวกตน แล้วเริ่มเรื่องราว

    "    มาจะกล่าวบทไป                 เมื่อท่านถามไซร้
    ข้านี้จะเล่าแบ่งปัน

         เหตุที่ข้าป้อมป้องกัน            ดวงตาข้านั้น
    จากการประสบพบใคร

         เรื่องนี้ต้องเล่าย้อนไป           เมื่อข้านั้นได้
    เข้าร่วมสงครามฟาดฟัน

         เข้าทัพศักดิ์สิทธิ์ประจัน        ปัดป้องโรมรัน
    รักษาดินแดนแห่งตน
     
         ฟันแทงสู้กำลังพล                 เข้าโกลาหล
    ขับไล่ปิศาจหนีไกล

         หากข้ายิ้มย่องเผลอไผล       หยิ่งเกียรติเกินไป
    ดาบร้ายจึงต้องดวงตา

         ทิ้งรอยบากไม่โสภา              ไม่อาจรักษา
    ให้กลับมองเห็นดังเดิม

         เป็นรอยร้ายคอยซ้ำเติม        อย่าอาจฮึกเหิม
    หลงไหลในอำนาจตน

         แผลเจ็บที่กายหายพ้น           หากแผลใจทน
    ยังเจ็บในความปราชัย

         ข้าจึงซ่อนเร้นเนตรนัย           ล่องหนหายไกล
    ให้พ้นจากสายตามอง

         ตราบาปหลอกหลอนร่ำร้อง   ข้าไม่หาญลอง
    เปิดเผยมันต่อผู้ใด "

         เขาก้มหน้าลงราวกับกำลังเจ็บปวดอับอาย บรรยากาศสนุกสนานร่าเริงที่เคยรุมล้อมตัวเขานั้นบางเบาลง ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นสบตากับผู้มีอำนาจเหนือทัพแห่งทุ่งหญ้าด้วยแววตาคมปลาบขึงขัง นิ่งขึงราวกับชายหนุ่มร่าเริงผู้ร้องเล่านิทานในคราแรกนั้นไม่มีอยู่จริง

    "    แต่หากท่านผู้เกรียงไกร        คับข้องสงสัย
    หมายพิสูจน์แผลด้วยตา

         ข้านี้ยินดีแกล้วกล้า            ซ่อนอายระอา
    เผยเนตรเป็นเกียรติแก่ตน"

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in