เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เออร็อด นักเล่านิทานli_li_an
ผู้ฟัง (1)
  •      "ท่านเป็นหลานของกษัตริย์จริงๆเหรอฮะ" เสียงหนึ่งดังขึ้นขณะที่นักเล่านิทานกำลังเทเหรียญเงินที่ได้รับมาจากการแสดงลงกระเป๋าให้เรียบร้อยอยู่ข้างทาง 

         คำทักอันสุ่มเสี่ยงนั่นนำความตระหนกให้ปรากฎขึ้นในดวงตาของนักเล่านิทาน เขาเก็บกวาดความตระหนกนั้นออกจากดวงตาของตน ก่อนจะหันกลับไปเผชิญหน้ากับต้นเสียงด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเป็นมิตร 

         ต้นเสียงของคำทักนั้นเป็นเด็กชาย เด็กชาวไมน์วัยไม่เกินสิบสองที่จ้องมองมายังเขาด้วยดวงตาวิบวับแวววาว

         นักเล่านิทานลอบถอนหายใจกับภาพตรงหน้า รอยยิ้มเป็นมิตรที่ปั้นแต่งขึ้นมาในคราแรก เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มที่แสดงออกถึงความเป็นมิตรจริงๆอย่างรวดเร็ว

          ชายหนุ่มเอียงคอไปมาทำท่าคิด ก่อนย่อตัวลงให้อยู่ในระดับสายตาของเด็กชาย

         "ทำไมเจ้าถึงคิดว่าหลานของกษัตริย์จะมาเล่านิทานข้างถนนแบบนี้กันล่ะ หืม?" นักเล่านิทานถามกลับอย่างยิ้มแย้ม

         "ก็คนพวกนั้นพูดนี่" เด็กชายตอบซื่อ ชี้เข้าไปในฝูงชน 

         ชายหนุ่มมองตามมือของเด็กชายก็เข้าใจความหมาย เด็กคนนี้คงบังเอิญได้ยินเรื่องที่เขาคุยกับคนพวกนั้นเข้านี่เอง... 

          เออร็อด อาเรียขมวดคิ้ว วางมือลงบนไหล่ของเด็กชาย ประสานสายตาเข้ากับดวงตาตื่นเต้นอยากรู้อยากเห็นคู่นั้น แล้วว่าด้วยน้ำเสียงจริงจัง

         "นี่เจ้าหนู...เจ้าจะเชื่อคนง่ายๆแบบนี้ไม่ได้นะรู้หรือเปล่า" นักเล่านิทานว่า

         "งั้นข้าก็เชื่อท่านไม่ได้น่ะสิ" ผู้อ่อนวัยกว่าย้อนตาใส

         ชายหนุ่มกระพริบตาปริบ แล้วยืดตัวขึ้นเต็มความสูง เชิดหน้า เท้าเอว

         "ข้ามีตรงไหนที่ไม่น่าเชื่อถือกัน ฮึ?" เขาถามเด็กชายด้วยเสียงทีเล่นทีจริง

         "ตรงที่ท่านบอกว่าท่านน่าเชื่อถือ" เด็กชายตอบทันควัน ก่อนจะอธิบายเพิ่ม "ท่านแม่บอกว่าคนที่พูดอย่างนั้นน่ะ ส่วนมากเป็นคนโกหก" 

         "..." 

         "นี่ ท่านเป็นหลานของกษัตริย์จริงๆสินะฮะ คนไหนล่ะ กษัตริย์แอรอน หรือ กษัตริย์คาริล" เด็กชายถามขึ้นอีกครั้งเมื่อเห็นผู้สูงวัยกวว่าเงียบไป 

         เออร็อด อาเรียถอนหายใจยาวกับคำถามนั้น แล้วย่อตัวลงคุยกับเด็กชายอีกครั้ง

         "เจ้านี่เป็นผู้ฟังที่แย่จริงๆ ได้ฟังนิทานที่ข้าเล่าบ้างรึเปล่า ฟังไม่ออกหรือไงว่านิทานเมื่อกี้มันพยายามจะพูดเรื่องอะไร หรือนี่แค่มาแอบฟังตอนท้ายๆกันฮึ?" เขาจิ้มจมูกเด็กชายอย่างหมั่นไส้ 

         "สอดรู้สอดเห็นเกินไปมันไม่ดีนาเจ้าหนู เจ้ากำลังจะทำลายความงามของพระจันทร์นะรู้ไหม?" ชายหนุ่มว่าเสียงดุ 

         "ก็ข้าไม่ได้ชอบพระจันทร์นี่ ของที่ข้าไม่ชอบน่ะพังไปก็ไม่เป็นไรหรอก" เด็กชายตอบ ก่อนหรี่ตาลงแล้วยกยิ้มมุมปากอย่างผู้เหนือกว่า

         "พูดอย่างนี้ท่านยอมรับแล้วใช่ม๊าาาา" 

         นักเล่านิทานยกมือกุมหน้า 

         "นี่ๆ บอกมาเถอะน่า ท่านเป็นหลานของใครเหรอ แอรอน หรือ คาริล" เด็กชายเซ้าซี้ ชายหนุ่มลูบหน้าตัวเองแรงๆทีหนึ่งก่อนเงยหน้าขึ้นยอมรับ

         "ก็ได้ๆ กษัตริย์แอรอนเป็นอาข้า" นักเล่านิทานตอบอย่างยอมแพ้ แล้วยืนขึ้น

         "ฮ้าาาา งั้นท่านก็เป็นเจ้าชายน่ะสิ" เด็กชายกระโดดดึ๋งตื่นเต้น "แล้วเจ้าชายมาทำอะไรข้างถนนแบบนี้ล่ะฮะ อ๊ะ! ข้ารู้แล้ว ท่านปลอมตัวมาหาคนรักใช่หรือเปล่า สาวสวยที่ไม่มองท่านที่ฐานะแต่รักท่านด้วยใจ ใช่ไหมฮะ ใช่ไหมฮะ" 

         นักเล่านิทานมองเด็กชายที่รัวคำถามใส่เขาอย่างตื่นเต้นด้วยดวงตาปลาตาย

         "ทีอย่างนี้ล่ะเชื่อง่ายเชียว..." ชายหนุ่มงึมงำ

         "เอ๊-- ท่านหลอกข้างั้นหรือ" เด็กชายว่า ทำคอตกผิดหวัง ส่วนนักเล่านิทานได้แต่ถอนหายใจ

         "ข้าจะหลอกเจ้าไปทำไมกัน มานั่งนี่สิ ข้าจะเล่าอะไรให้เจ้าฟัง" เขาว่าพลางปูผ้าคลุมลงข้างตัว ทรุดตัวลงนั่งพิงผนังตึกใกล้ๆ แล้วตบพื้นแปะๆเรียกผู้ฟังช่างสงสัยของตนมานั่งข้างๆ

         นักเล่านิทานกระแอมเล็กน้อย "นี่คือเรื่องที่ข้าได้ฟังมา" เขาว่า "ดังนั้น หากมันจะมีคำโกหกใดปลอมปนอยู่ในสิ่งที่ข้าเล่า ก็ขอให้ท่านรู้ไว้ คำโกหกนั้น ไม่ได้มาจากข้าแต่อย่างใด" เขากล่าวถ้อยคำอันเป็นธรรมเนียมของพวกตน แล้วเริ่มเล่านิทาน

         "ครั้งหนึ่งมีเจ้าชายงามสง่า                      เติบโตขึ้นถึงเวลามีคู่หมาย
    หากพระองค์มิประสงค์ใครคู่กาย                   เว้นแต่ผู้พร่างพรายด้วยรักจริง

         เจ้าชายหนุ่มปลอมองค์ออกเที่ยวท่อง     หวังสมปองประสบพบยอดหญิง
    หวังสตรีแสนงามให้แอบอิง                          ได้พึ่งพิงพักกายแลใจตน

         จากชายฝั่งมุ่งขึ้นสู่ยอดเขา                      จากแดนทรายแผดเผาสู่ป่าฝน
    จากแม่น้ำไต่ข้ามทุ่งหินทน                           ผ่านร้อนฝนยังมิพบผู้หมายตา

         วันเป็นเดือนเดือนเป็นปีนาทีผ่าน             วันเวลายาวนานผลาญไร้ค่า
    กษัตริย์ผู้เป็นอาจึงบัญชา                              จงนำตัวหลานข้ากลับแดนเรา

         หากเจ้าชายนั้นเป็นผู้มุ่งมั่น                      ยังคงรั้นเสาะหาโฉมเฉลา
    ลั่นวาจาไม่กลับบ้านแม้นานเนา                    จนกว่าพบนงเยาว์คู่เคียงกาย"

         นักเล่านิทานมองเข้าไปในฝูงชนแล้วว่าต่อ

         "พวกนั้นน่ะเป็นลูกน้องข้าเอง พวกมันมาบอกให้ข้าหนีไปก่อนที่อาข้าจะจับข้าลงเรือแล้วส่งกลับบ้าน" เขาว่า แล้วหันกลับมามองเด็กชายข้างตัว 

         "เอาล่ะเจ้าหนู ทีนี้เจ้าก็เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดของข้าแล้ว" เขากระแอมทีนึงแล้วว่าต่อ 

         "ผู้สมรู้ร่วมคิดของข้า ข้ามอบความจริงใจของข้าให้เจ้าแล้ว เจ้าจะมอบความจริงใจของเจ้าให้ข้าได้หรือไม่"

          เด็กชายพยักหน้ารับรัวเร็ว ดวงตามีประกายตื่นเต้นยินดี ส่วนนักเล่านิทานแย้มยิ้มเจ้าเล่ห์

         "ดีมาก! งั้นช่วยเก็บเรื่องนี้เป็นความลับทีได้ไหม ผู้สมรู้ร่วมคิดของข้า"

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in