ป๊อกกี้
ผมรู้จัก AKB48 แค่ว่ามันเป็นวงดนตรีเจป๊อปที่มีนักร้อง 48 คน
แค่ โน้ต-ตูน นิว-จิ๋ว กอล์ฟ-ไมค์ กูยังแยกไม่ออก นี่มึงมีตั้ง48 คน…วงอะไรวะ จะบ้าเรอะ (พอตอนหลังมารู้ว่าที่จริงไม่ใช่ 48 คนแต่มัน 90 กว่าคน ยิ่งกลุ้มใจหนักเข้าไปใหญ่)
และนั่นคือทั้งหมดที่ผมรู้จัก AKB48…
ผมรู้จักป๊อกกี้—พีรพิชญ์ จากการที่มันเป็นทีมเขียนหนังสือ
วันก่อนครับ
ป๊อกกี้มีเอกลักษณ์เป็นชายไทยตัวสูงใหญ่ ใส่แว่น มีเอกลักษณ์คือ ผมยาวฟูยุ่ง (ครั้งหนึ่งมันไปตัดผม วิชัยต้องใช้เวลาประมวลผลประมาณหนึ่งถึงจะจำได้ว่าชายคนนี้คือป๊อกกี้)
เอกลักษณ์อีกอย่างของป๊อกกี้คือ ป๊อกกี้ว่างตลอดเวลา เวลาจะไปปาร์ตี้กินเลี้ยง มีงานเปิดตัวหนังสือ เปิดตัวสินค้า เราจะเห็นป๊อกกี้อยู่ตรงนั้นเสมอ ตอนนั้นผมสันนิษฐานได้ว่าป๊อกกี้มันคงขโมยเวลาว่างของทุกคนบนโลกมาเป็นของมันเองหมดแล้ว มันก็เลยว่างมากขนาดนี้
เอกลักษณ์อีกอย่างของป๊อกกี้ (ครับ…นอกจากมันจะมีเวลาว่างเยอะแล้วมันมีเอกลักษณ์เยอะอีกด้วย) เวลาที่เราจะให้มันเลือก จะตัดสินใจอะไรก็ตาม ป๊อกกี้จะพูดอย่างเดียว... “อะไรก็ได้ครับพี่”
คือ…บ.ก. บอกให้ผมเขียนคำนิยมให้ป๊อกกี้หนึ่งหน้ากระดาษเอสี่ ปัญหาคือไม่รู้ว่าจะเขียนอะไรถึงป๊อกกี้ดี ก็เลยโม้ๆ ผลาญๆ บรรทัดไปเรื่อยๆ น่ะครับ...
ต่อนะ ผมมารู้จักป๊อกกี้อีกที ก็ตอนที่มันส่งลิงก์อะไรก็ไม่รู้มาให้ช่วยกดไลก์กดแชร์ รบเร้าว่ามันอยากเป็นผู้ชนะ ช่วยมันหน่อย เดี๋ยวมันจะเลี้ยงโออิชิ...
ลิงก์ที่ว่าเป็นข้อความให้กำลังใจวง AKB48 ในการเลือกตั้งของวงที่ทำโดยตัวมันเอง
และไอ้การแข่งที่ว่ามันได้อันดับ 1 ของประเทศไทยด้วยนะ!
ตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา ป๊อกกี้เหมือนติดเข็มสวมมงกุฎเป็นกูรูแฟนพันธุ์แท้ของวง AKB48 รู้ไปหมดว่าวงนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง ใครชื่ออะไร ชอบอะไร กินอะไร ไปทำอะไร จนคิดว่ามันรู้เรื่อง AKB48 มากกว่ามันรู้เรื่องตัวมันเองเสียอีก...
แต่ผมรู้สึกตื่นเต้นเสมอเวลาที่รู้ว่าใครสักคนมีความชื่นชอบอะไรบางอย่างถึงขั้นหัวปักหัวปำ ผมว่ามันเป็นเรื่องที่ดี มนุษย์เราควรจะมีเรื่องที่เราสนใจอย่างบ้าบอคอแตกอย่างน้อยก็หนึ่งเรื่องในช่วงอายุที่แตกต่างกัน
โอเค ครึ่งหน้าเอสี่ละ เข้าเรื่องดีกว่า
ผมเคยไปญี่ปุ่นก่อนหน้านี้แล้วรอบนึง กลับบ้านด้วยอาการบอบช้ำทางจิตใจ เสี้ยนอยากกลับไปอีก วันหนึ่งด้วยแรงบ้าของตัวเองผมเช็กราคาตั๋วเครื่องบิน โทร.ชวนป๊อกกี้ไปญี่ปุ่น
“เฮ้ย พี่ ผมไม่มีตังค์ครับ”
“เชี่ยมึง กูก็ไม่มี เราซื้อตั๋วก่อนไง เป็นไฟต์บังคับ พอมีตั๋วปุ๊บมึงก็ต้องเริ่มเก็บเงินแล้วไง ไม่งั้นมึงก็เสียค่าตั๋วเครื่องบินฟรีนะเว้ย”
“นี่มันหลักการอะไรของพี่วะ”
หลังจากนั้นอีกสามวินาที ป๊อกกี้ก็ตอบตกลงไปญี่ปุ่น
เรื่องก็แค่นี้ครับ...ผม มยุรี โจ้บองโก้ และป๊อกกี้ไปเที่ยวญี่ปุ่นด้วยกัน
ผม มยุรี และโจ้บองโก้ไปเที่ยวญี่ปุ่นกันชิลๆ
แต่อีป๊อกกี้มันไปตามรอย AKB48
การไปญี่ปุ่นครั้งนี้ เปลี่ยนไปจากครั้งที่แล้วตรงที่ผมเริ่มสังเกตว่า AKB48 มันอยู่ในทุกที่ที่เรากวาดสายตามองจริงๆ เอาง่ายๆ ว่าเราเห็นสมาชิกวงนี้บ่อยพอๆ กับหน้านักการเมืองไทยในช่วงหาเสียงน่ะครับ
เอาล่ะ เหลืออีกย่อหน้านึงจะเต็มหน้า A4 ละ ต้องสรุปแบบหล่อๆ แล้วแหละ...อืม เริ่มท่าไหนดี?
ถึงจะจำไม่ได้ว่าวงนี้มันมีใครอยู่บ้าง และแต่ละคนชื่ออะไร แต่ผมว่า AKB48 เป็นตัวอย่างที่ดีของการพูดถึงความเป็นญี่ปุ่น
การใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่อาจจะไม่สำคัญนักในแง่ของภาพรวม แต่สำคัญสุดๆ ในแง่ของการเติมเต็มความรู้สึก AKB48 ถูกออกแบบให้ใกล้กับคนดู
โดยคัดเลือกนักร้องที่หน้าตาดีในระดับที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไปตามท้องถนนญี่ปุ่น
ในขณะที่นักร้องเคป๊อปต้องร้องต้องเต้นในระดับที่เพอร์เฟ็กต์ (หรือ
ไม่ก็ดีมากในระดับหนึ่ง) ถึงจะออกสู่สายตาผู้ชมได้ แต่ด้วยความที่ AKB48 มีคอนเซ็ปต์เป็นวงที่มาจากเด็กหญิงข้างบ้าน ทำให้พวกเธอไม่ต้องเต้นเก่งก็ได้ ไม่ต้องร้องเก่งก็ได้
สิ่งเดียวที่ต้องมีคือความมุ่งมั่นที่ทำให้นักร้องได้พยายามและทำให้คนดูเอาใจช่วย เหมือนเชียร์รุ่นน้องตัวเองให้เก่งขึ้นๆ
ทำให้วงนี้กลายเป็นเบอร์หนึ่งของญี่ปุ่น และทำให้ผู้ชายอย่างป๊อกกี้ถ่อสังขารไปตามรอย AKB48 ถึงญี่ปุ่นจนได้กลับมาเขียนหนังสือเล่มนี้
อนึ่ง ตอนเขียนคำนิยม ก็อยากทำตัวคีปคูล ดูมีคอนเซ็ปต์ด้วยการเขียน 48 ข้อ ให้เข้ากับชื่อวง AKB48 แต่มาคิดดูอีกที นี่กูยังเขียนต้นฉบับตัวเองยังไม่เสร็จดี ทำไมกูต้องมาคิดคอนเซ็ปต์เท่ๆ เขียนคำนิยมให้หนังสือของอีป๊อกกี้มันเสร็จก่อนด้วยวะ...
แม่งเอ๊ย!
จบแค่นี้แหละ! เล่มนี้สนุกมาก ซื้อ!
แต่ถ้าซื้อพร้อมหนังสือวิชัยจะสนุกมากกว่านี้ 48 เท่า! (หน้าด้านเนอะ)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in