เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
My First Storynitthark
กรุ่นกลิ่นบงกชยามพระพายพัดโชย
  • ***บทความนี้เป็นเพียงการวิเคราะห์ของผู้เขียนเท่านั้น 

    ต้องยอมรับก่อนว่าไม่ได้เป็นแฟนของนิยายมาตั้งแต่เเรก เริ่มต้นมาเลยคือการดูซีรีย์ และด้วยตัวบทที่สนุกสนาน ดูแล้วไม่น่าเบื่อ ประกอบกับฝีมือของนักแสดงและทีมงาม ฉากและเอฟเฟคต่าง ๆ ท้ายที่สุดจึงกลายมาเป็นแฟนคลับอย่างเหนียวแน่น พอได้ดูซีรีย์จนมาถึงตอนปัจจุบัน คือ ตอนที่ 46 ก็มีความรู้สึกว่าตัวละครตัวหนึ่งได้ดึงดูดเราอย่างมาก

    แรกเริ่มเดิมทีนั้น เขายังไม่ได้อยู่ในสายตาของเรามากจนต้องสนใจ ทว่า เมื่อเรื่องราวได้ดำเนินไป เรากลับละสายตาไปจากตัวละครตัวนี้ไม่ได้ เขาดึงดูดเรา เขาดึงความสนใจจากเราไปจากตัวละครหลักได้อย่างดี เขาทำให้เราติดตามพัฒนาการของเขาและทำให้เราละสายตาไปไหนไม่ได้เลย

    ตัวละครตัวนั้น คือ เจียงเฉิง เขาเป็นตัวละครที่เราเห็นพัฒนาการชัดเจน ไม่ใช่ตัวละครอื่นไม่มีพัฒนาการ เพียงแต่เราละสายตาจากเจียงเฉิงไม่ได้ ดังนั้น เราจึงสนใจแค่เขาและอดไม่ได้ที่จะลองวิเคราะห์เขาดู 

    เจียงเฉิงนั้น ตามประวัติแล้ว เขาเป็นลูกชายคนเดียวของประมุขเจียงแห่งท่าเรือสัตตบงกช ตามความคิดของเราแล้ว เราคิดว่าเขาน่าจะค่อนข้างรู้สึกกดดันเล็ก ๆ อาจจะด้วยความที่เป็นทายาทชายสายตรงเพียงคนเดียว อีกทั้ง อวี๋ฟูเหริน แม่ของเขาก็ค่อนข้างจะเข้มงวด ประมุขเจียงผู้เป็นพ่อเองก็ดูเหมือนจะแสดงความรักต่อลูกไม่เก่ง ไหนจะการที่เขาถูกเปรียบเทียบและนำตัวเองไปเปรียบเทียบกับพี่ชายบุญธรรมอย่างเว่ยอู๋เซี่ยนอีก เราคิดว่า ตัวเขาจึงค่อนข้างจะเข้มงวดทั้งกับตัวเองและคนอื่น แต่ในความรู้สึกเรา เขาก็ยังไม่ละทิ้งตัวตนความเป็นเด็กไป เขายังคงมีความซุกซนตามประสา เห็นได้จากการที่เขายังคงร่วมเล่นสนุกกับเว่ยอิงและเนี่ยหวายซังแม้จะบ่นไปด้วยก็ตาม

    เจียงเฉินในวัย 15 คือเด็กผู้ชายที่ดื้อรั้น เขาค่อนข้างปากร้ายซึ่งจุดนี้เราคิดว่าเขาได้มาจากแม่ของเขาเอง เพราะตามความคิดของเรา ฝีปากอวี๋ฟูเหรินไม่เป็นรองใครในอวิ๋นเมิ่งเลย แต่ภายใต้ภาพลักษณ์ภายนอกที่เขาแสดงออกให้ทุกคนได้เห็น ข้างในของเขากลับมีตัวตนที่น่ารักซุกซ่อนอยู่ เราจะเห็นเจียงเฉิงที่คอยบ่นเว่ยอิงบ้าง ดุบ้าง แต่ข้างในจริง ๆ เราคิดว่าเขาเป็นห่วงพี่ชายคนนี้ไม่แพ้ที่พี่เหยียนหลี่แสดงออกมาเลย ลักษณะของเขาดูเป็นคนที่ปากร้ายใจดี ปากอย่างใจอย่าง เป็นคนที่ในภาษาปัจจุบันก็คงเรียกว่า "ซึน" ได้

    จุดเปลี่ยนที่สำคัญของเจียงเฉิง คือช่วงที่ถูกฆ่าล้างตระกูล ในความรู้สึกของเด็กอายุ 16-17 ที่ยังไม่ทันได้เตรียมใจ เราคิดว่าเขาตกใจจนสติหลุด แล้วเราคิดว่าเจียงเฉิงก็คงจะโทษตัวเองอยู่ลึก ๆ ที่ตัวเองไม่ได้เก่งกาจมากพอที่จะช่วยเหลือพ่อกับแม่ได้ ในตอนที่ประสบเคราะห์กรรม เขาที่ไม่สามารถอยู่เคียงข้างพ่อแม่ เราคิดว่าเขาน่าจะรู้สึกเจ็บปวดอย่างที่ไม่สามารถอธิบายออกมาได้ จากคุณชายน้อยที่มีชีวิตอิสระ สุขสบาย มีครอบครัวพร้อมหน้า วันหนึ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างกลับสูญสลายไปในคืนเดียว เราเข้าใจความรู้สึกของเขาเลยกับการแสดงออก เพราะคนเรามักจะเลือกแสดงออกถึงความเจ็บปวดต่างกัน ตัวพี่เหยียนหลี่ก็แบบหนึ่ง เว่ยอิงก็อย่างหนึ่ง เจียงเฉิงก็อีกอย่างหนึ่ง ในตอนที่เขาสูญเสียจินตาน เรารู้สึกได้ว่าเขาเจ็บปวดและคิดอยู่เสมอว่าตัวเองไร้ค่า ไร้ประโยชน์ เพราะในโลกของพวกเขา การมีจินตานหมายถึงการมีพลัง กับเด็กที่ถูกเลี้ยงดูและปูทางให้ขึ้นเป็นนายเหนือแห่งท่าเรือสัตตบงกช การต้องกลายมาเป็นเพียงคนธรรมดา รอให้คนอืื่นมาปกป้องจึงทำให้เขาคิดว่าตัวเองอยู่ไม่สู้ตาย ฉะนั้น เราจึงไม่แปลกใจที่เจียงเฉิงที่ฟูมฟาย 

    ในศึกยิงตะวัน เจียงเฉิงก็มีพัฒนาการขึ้น เขาดูโตขึ้น เพราะเขาต้องก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำตระกูล ต้องเป็นเสาหลักให้พี่สาว ในความรู้สึกเรา เจียงเฉิงนั้นมีความกดดันอยู่เต็มเปี่ยม เมื่อเทียบกับเด็กวัยเดียวกันซึ่งเราประมาณอายุเขาไว้ที่ 17-18 ปี เจียงเฉิงมีภาระและหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบมากขึ้น จากคุณชายน้อยก้าวสู่ตำแหน่งประมุขน้อย ด้วยหน้าที่ที่บีบบังคับมันจึงทำให้เจียงเฉิงต้องโตขึ้น ทุกการกระทำของเขาส่งผลต่อความเป็นไปของตระกูล การตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่ง แม้จะเป็นเรื่องเล็ก ๆ ก็ต้องรอบคอบ ดังนั้น เรื่องของเว่ยอู๋เซี่ยน เจียงเฉิงจึงไม่อาจทำตามใจได้ ในสายตาของเราที่เฝ้ามองเขามาตั้งแต่ตอนแรก ๆ ความรู้สึกที่เขามีให้กับคนที่เป็นทั้งเพื่อน พี่ชาย และครอบครัวนั้นมันไม่ได้หายไปไหน เขายังคงรักเว่ยอิง แต่เขาก็มีภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ มีคนอีกหลายร้อยคนใต้บังคับบัญชาที่ต้องดูแล ตอนที่พี่สาวตาย เรารู้สึกว่าเขาแทบจะเเตกสลาย กลไกการแสดงออกถึงความเจ็บปวดของเขาจึงเป็นการกล่าวโทษเว่ยอิง แต่ถึงแม้จะต่อว่าแต่เขาก็ไม่ได้อยากจะฆ่าพี่ชายของเขา สุดท้าย พอเว่ยอิงสะบัดมือหลานจ้านตกเหว เรารู้สึกได้ว่าเจียงเฉิงแตกสลายอย่างแท้จริง คนที่เป็นครอบครัวของเขา มาตอนนี้ ไม่เหลือแล้วสักคน 

    เรื่องของการสูญเสีย เจียงเฉิงก็สูญเสียไม่แพ้ใครเช่นกัน เขาเสียบ้าน เสียพ่อแม่ ศิษย์น้องร่วมสำนักไปในคืนเดียว แล้วความเสียใจก็กลับมาตอกย้ำเขาอีกครั้งในคืนวันที่เขาสูญเสียพี่เหยียนหลี่และเว่ยอิงไปติด ๆ กัน ครอบครัวคนสุดท้ายที่เจียงเฉิงเหลืออยู่คือจินหลิง ลูกชายของพี่เหยียนหลี่ เราคิดว่าเจียงเฉิงรักหลานคนนี้มาก เขาดูแลจินหลิง อบรมสั่งสอนอย่างเข้มงวด ไม่ใช่ว่าไม่รัก แต่เราคิดว่าเจียงเฉิงอยากให้จินหลิงยืนด้วยขาของตัวเองได้ในวันที่ต้องเหลือตัวคนเดียวแบบเขา ในความรู้สึกเรา คนที่พบเจอแต่การสูญเสียโดยไม่แม้แต่จะทันได้เตรียมใจย่อมไม่อยากให้เด็กคนหนึ่งต้องมาประสบชะตากรรมเช่นที่ตัวเองเคยเจอ แต่ถึงอย่างนั้น ในความเข้มงวดของเจียงเฉิงที่มีต่อจินหลิง เรายังเห็นความรัก ความห่วงใยที่ท่านน้าผู้ปากแข็งไม่เคยแสดงออก แต่ทุกครั้งที่ออกเย่เลี่ย เขามักจะคอยตามดูหลานอยู่ห่าง ๆ เตรียมพร้อมเข้าไปช่วยเหลือหากเกิดอันตรายขึ้นกับจินหลิง ยามหลานร้องไห้ เขาก็ไม่ได้ดูดาย แม้ปากจะไม่พูดอะไรมาก แต่แววตาของเขากลับแสดงออกถึงความเป็นห่วง 

    ตอนที่เขารู้ความจริงเกี่ยวกับจินตานในร่างของตัวเอง เราคิดว่าเจียงเฉิงกำลังจะแตกสลายอีกรอบ คนดูอาจจะพอใจ สะใจที่เห็นเขาเสียศูนย์ยามได้ทราบความจริง แต่เรากลับคิดว่า ความจริงนั้นกำลังฝังรากลงไปในความรู้สึกของเขา มันกำลังกัดกินเจียงเฉิงอย่างรุนแรง เราไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าเขาต้องจมอยู่กับความรู้สึกแตกสลายนั้นอีกนานแค่ไหน 

    เจียงหวั่นอิ๋นในความรู้สึกของเราตอนนี้คือดอกบัวที่กลีบดอกขาดวิ่น เขาเหมือนแก้วบาง ๆ ที่เดิมทีมีรอยร้าวอยู่มากมายจนสุดท้าย แก้วนั้นก็เริ่มปริแตกและยากจะประสานคืนได้ดังเดิมอีก เราก็ได้แต่หวังว่าในสักวัน ในโลกของเขา เจียงเฉิงจะกลับมามีความสุขได้เสียที เราหวังว่าเขาจะได้ครอบครัวเพียงหนึ่งเดียวกลับมาเป็นดังเดิมอีกครั้งแม้มันดูจะเป็นไปได้ยากก็ตามที   

    อย่างไรก็ตาม บทความนี้เขียนขึ้นมาจากความรู้สึกของเราที่มีต่อเจียงเฉิง อาจจะไม่ถูกใจใครหลายคนไปบ้าง แต่สามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้ และขอบคุณที่เข้ามาอ่าน  
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in