เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ชื่อของฉันคือเอมรินทร์emareenworld-wild
- บทที่ 1 -

  • (ฟังเพื่อเพิ่มความรู้สึก)

    ( ฟังเพื่อเพิ่มความรู้สึก )


      เราทุกคนเกิดมาพร้อมชีวิตที่ถูกยัดเยียด ทั้งการเกิดมา ฐานะ ศาสนา หรือแม้กระทั่งชื่อเรียกขาน เราเกิดมาโดยที่กำหนดอะไรไม่ได้สักอย่างหนึ่ง ศาสนาที่เราไม่ได้นับถือ ฐานะเงินทองจากงานที่เราไม่ได้ทำ ชื่อที่ไม่ได้ตั้งขึ้นเอง

       ฉันเติบโตก้าวผ่านช่วงวัยที่บรรลุนิติภาวะโดยปราศจากการสมรสและภาระ เป็นวัยเวลาที่เขาบอกกันว่ามากพอจะตัดสินใจอะไรๆ ได้เอง ไม่รู้หรอกนะว่าเขาที่ว่านั่นใคร แต่เอาอะไรมาวัดกันว่ามาตรฐานนี้คือถูกควร ปัจจุบันฉันเลือกจะเปลี่ยนเพียงอย่างเดียวที่ติดตัวมาแต่เกิด คือ ศาสนาจากพุทธกลายเป็นไม่มี อาจจะเป็นเรื่องปกติในยุคศตวรรษที่ 21 เสียด้วยซ้ำ ที่ใครๆ ก็เชื่อว่าตัวเองมีสิทธิในการนับถือสิ่งต่างๆ ด้วยตนเอง ครั้งแรกที่แม่รู้ว่าไม่นับถือสิ่งใดแล้ว แม่ดูหัวเสียชัดเจน ออกมาจากน้ำเสียงเลยนะว่าไม่พอใจ แต่สุดท้ายก็แล้วแต่ลูกสาวของแม่อยู่ดี ก็ลูกสาวของแม่มันรั้นหัวชนฝาเสียขนาดนี้ จะเอาอะไรมาพูดเปลี่ยนความคิดมันได้

       ชีวิตจากทั้ง 23 ขวบปี ฉันผ่านการเรียนรู้มากมายถึงการเปลี่ยนผ่านของช่วงวัยและสิ่งเร้า การเปลี่ยนผลัดฤดูร้อนที่มีฝนพรำหรือแม้กระทั่งฤดูหนาวที่ไม่มีอยู่จริง ไม่ว่าจะพบเจอการเปลี่ยนแปลงมากมากี่ครั้ง มนุษย์จะไม่มีทางเคยชินกับมัน ไม่อยากพูดเหมารวม เอาเป็นว่าฉันแล้วกันที่ไม่เคยชินกับมันเลย การผลัดสีแต่ละช่วงชีวิตให้ความรู้สึกและความทรงจำที่ต่าง บ้างให้สีที่ร้อนแรงหรือให้สีอบอุ่นสบายตา แต่บางครั้งก็กลายเป็นสีหม่นเศร้าไม่อยากจำ ทุกความทรงจำจะมีสีสลักไว้ เหมือนเรื่อง Inside Out เลยใช่ไหมล่ะ เมื่ออดีตล่วงเลย ภาพรวม การกระทำ ความคิดที่ชัดเจนมากขึ้น ฉันจึงกลายเป็นเสมือนบุคคลที่สามที่รับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมากมาย ได้ทบทวนถึงสิ่งที่เกิดและตอกย้ำให้มาเป็นฉันในทุกวันนี้




  • บทที่ 1 
    - เมื่อ 7 ขวบปี -

       ลูกสาวคนเก่งของแม่เรียนรู้จะสูญเสียครั้งแรก 

    ไม่ใช่บาร์บี้แสนสวยที่เธอทำคอมันหลุดหรือกล่องดินสอสามชั้นที่ถูกเพื่อนร่วมห้องขโมยไป 
    เธอไม่คาดหวังการสอบได้ที่ 1 ถึงแม้เธอจะเป็นเด็กหัวดีเพียงใดก็ตาม
    เธอไม่คาดหวังตุ๊กตาบาร์บี้ตัวใหม่ในวันเกิดอายุครบ 8 ขวบที่กำลังจะถึง
    สิ่งที่เธอคาดหวังคือคำสัญญาเดียวจากปากคุณตาว่าจะอยู่กับเธอให้ถึง 10 ขวบปี

       เธอใช้ชีวิตอย่างเด็กไร้เดียงสาอย่างที่เด็กวัยนั้นควรจะทำ
    การตั้งหน้าตั้งตารอแปดโมงเช้าของวันเสาร์ การกระโดดยางแม่อีหัวได้ผ่าน การเป็นพี่ของน้องอนุบาล 3 หรืออะไรก็ตามแต่ การได้เที่ยวสวนสัตว์สุดสัปดาห์กับแม่ก็เป็นเรื่องที่ควรเช่นกัน
    ยังจำได้ดีว่าเป็นเวลา 9 โมงเช้า แดดจัดสะท้อนเงาเป็นรูปร่างชัดเจน 
    เธอเดินออกจากบ้านพร้อมแม่ด้วยใจแน่วแน่จะไปสวนสัตว์ดุสิตครั้งแรกในชีวิต 
    ตื่นเต้นเสมอเมื่อใช้คำว่าครั้งแรก (ไม่นับถึง Safari World ที่เธอไปมานับไม่ถ้วนแล้วกัน)
    สวนสัตว์ดุสิต สวนสัตว์ดุสิต สวนสัตว์ดุสิต ในหัวเธอมีแต่คำนี้ผุดขึ้นมาเป็นจังหวะ 
    ขณะแม่ไขกุญแจเพื่อล็อกประตูบ้าน ริงโทนโทรศัพท์ Nokia รุ่น 3310 ของแม่ดังมาตามจังหวะในหัวเธอ
    เมื่อรับและฟังปลายสาย เสียงตอบรับของแม่สั่นเครือและหยุดก้าวเท้าเดิน
    จนเธอต้องเดินกลับเข้าไปถามว่าแม่เป็นอะไร 
    น้ำตาเริ่มไหลอาบแก้มที่มีรอยย่นประปรายที่แสดงถึงอายุของแม่
    ข่าวร้าย เราไปสวนสัตว์ไม่ได้แล้วนะลูก 
    เธอสงสัยแต่เธอไม่โมโหเพราะเธอโตพอจะรับรู้ได้ว่าน้ำตาคือความเสียใจ
    ทำไม คำถามจากเธอ คำตอบที่ได้รับ คือ มีคนถูกรถชน กระดูกหักทั้งร่างกาย
    ซึ่งเป็นคุณตาเพียงคนเดียวที่เธอรักนักหนา สาบานเลยว่าชีวิตนี้จะขาดคุณตาไม่ได้

       ขณะนั้นเธอไม่เข้าใจถึงความหนักหนาของคำว่ากระดูกหักทั้งร่างกายเท่าไหร่
    ยังไงมันก็คงจะเจ็บเอาการ ขนาดหกล้มเธอยังรู้สึกเจ็บเลย 
    แต่เธอเชื่อว่าคุณตาจะต้องไม่เป็นอะไร ก็คุณตาแข็งแรงเสียขนาดนั้น
    เสียงริงโทนซ้ำๆ ดังขึ้นแทบทุกจะ 10 นาที ไม่รู้หรอกว่าปลายสายพูดว่าอะไร 
    รู้เพียงแม่ร้องไห้ทุกครั้งที่รับมัน
    จาก 9 โมงเช้ากลายเป็นเที่ยงวัน สารที่บอกว่าคุณตายังมีชีวิตเปลี่ยนเป็นหมดลมหายใจ
    เธอยังคงไม่รู้สึกเนื้อรู้สาตัวถึงความเสียใจที่กำลังจะถาโถมเข้ามา 
    เธอยังสนุกสนานกับการเตะบอลอัดกำแพงกับพี่ชายและพี่สาว

       จนถึงเวลาที่เธอต้องไปพบร่างนอนแน่นิ่งของคุณตาที่ถูกจัดท่าให้เอามือมารับน้ำที่รดจากใครต่อใคร
    มีคนแปลกหน้าใส่ชุดสีทะมึนเต็มไปหมด เธอถูกแนะนำว่าเป็นหลานสาวคนโปรดของคุณตา 
    น่ารักน่าเอ็นดูใครๆ ก็พูดกับเธออย่างนั้น เธอยังคงสวัสดีตอบและยิ้มแย้มแจ่มใสอย่างเด็กมีมารยาท
    เสียงเล่นไวโอลินจากน้องชายของคุณตาดังก้องไปทั่วทั้งงานศพ สะท้อนด้วยเสียงสะอื้นไห้จากใครสักคนเช่นกัน จนถึงเวลาที่เธอต้องเอาน้ำมารดมือคุณตาบ้างแล้ว ถึงแม้เธอจะไม่ค่อยเข้าใจพิธีกรรมแต่เธอก็ยอมทำตามอย่างไม่มีข้อโต้เถียง เธอเดินเข้าใกล้ร่างสงบของคุณตาที่เปิดให้เห็นเพียงใบหน้า
    ทำไมมีสำลีอุดหูอุดจมูกตาด้วยล่ะ? เธอจับมือคุณตาด้วยอุณหภูมิที่ต่างกันอย่างชัดเจนจากตัวเธอ 
    ทำไมตามือแข็งขนาดนี้? คำถามมากมายที่เธอไม่เข้าใจประดังเข้ามาในหัว
    สติของเธอหลุดลอยไม่ต่างอะไรจากพี่ชายและพี่สาวที่เตะบอลกันอยู่เมื่อสักครู่นี้
    เด็กอายุ 7 ขวบหนึ่งคน เด็กอายุ 12 ขวบสองคน นั่งเรียงกันด้วยน้ำตานองหน้า
    แต่ดูเหมือนเด็กสาวที่อายุ 7 ขวบคนนั้นกำลังสูญเสียแรงควบคุมทั้งหมดของเธอ 
    อาจจะด้วยอายุที่ยังน้อยไปหรือความรักที่เธอมีมากไปก็ไม่ทราบได้ เสียงสะอื้นของเธอเริ่มดังขึ้น น้ำตาละลายความชัดเจนของสายตาเธอ เธอสูญเสียการควบคุมทั้งหมดไปแล้ว
    มีเพียงพ่อของเธอเท่านั้นที่ทำได้ พ่อเข้ามาโอบอุ้มเธอด้วยความรักและความสงสารลูกสาวจับใจ เขาพาเธอออกไปจากบรรยากาศเหล่านั้น ใช้เวลาอยู่หลายสิบนาทีที่จะทำให้เธอสงบลง พ่อยังคงอุ้มเธอโดยไม่แสดงความเมื่อยล้าใดๆ แม้เธอจะหนักเกือบ 20 กิโลกรัมก็ตาม เธอยังคงกอดพ่ออยู่อย่างนั้นด้วยแรงสะอื้นน้อยๆ และสายตาที่บอบช้ำจากการร้องไห้อย่างหนัก แต่สิ่งที่บอบช้ำที่สุดคงจะไม่พ้นหัวใจดวงน้อยของเด็กสาวผู้ที่คิดถึงความอบอุ่นของคุณตาอย่างสุดหัวใจ คนผ่านไปมายังถามพ่อด้วยคำถามซ้ำๆ ว่าลูกสาวเป็นอะไร พ่อรู้ดีว่าลูกสาวของพ่อไม่ใช่เด็กที่หกล้มเลือดอาบขาแล้วร้องไห้หรือโดนเพื่อนดึงผมเปียแล้ววิ่งไปฟ้องใคร เขาได้แต่ยิ้มน้อยๆ เพื่อแสดงถึงความเข้มแข็งของความเป็นพ่อและความเห็นอกเห็นใจลูกสาว เขาตอบคำถามได้เพียงว่าเธอเสียใจเรื่องคุณตาที่จากไป ก็เท่านั้นเอง

       สุดท้ายธรรมชาติก็พรากความปรารถนาเดียวของช่วงชีวิตนั้นของเธอจากไป
       เธอถูกความรู้สึกเสียใจจากการสูญเสียฝังจำ 

    เพียงแค่อายุ 7 ขวบปีเท่านั้น เธอได้รับรู้ความจริง 2 ข้อที่ว่า
    1. มีคำสัญญาที่ไม่ต้องรักษา
    2. ความตายสามารถพรากทุกอย่างไปจากเธอได้อย่างไม่มีข้อแม้

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in