เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Are you lost?TRSbt
ประสบการณ์หลงทางในต่างแดน
  •           สวัสดีครับ ก่อนอื่นขอแนะนำตัวก่อน เราชื่อเล่นว่า 'แมนยู' ตามที่แม่บอก แต่เนื่องจากพ่อเรียกว่า 'ยู' ก็เลยติดเรียกสั้นๆมาตลอด (บอกทำไม)

              วันนี้เราจะมาเล่าประสบการณ์ (เรื่องเด๋อๆของเราเอง LOL) ให้ฟัง มันเป็นเรื่องที่เราว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับคนที่อ่านไม่มากก็น้อย (เขียนรายงานหรอ) และมันก็เปลี่ยนชีวิตเราไปเลย เปลี่ยนแบบเปลี่ยนจริงๆ



    เรื่องมันก็เริ่มจากที่ว่าตอนเราอยู่ ม.4 (3 ปีที่แล้ว) เราได้มีโอกาสไปแลกเปลี่ยนที่เมืองไทเป เกาะไต้หวัน
    ไปกับเพื่อนและน้องๆพี่ๆ เป็นการไปต่างประเทศครั้งแรกของเรา คือแบบก่อนไป 1 อาทิตย์ นอนไม่ค่อยหลับเลย ความตื่นเต้นอ่ะส่วนนึง แต่เพราะกลัวเครื่องบิน กลัวความสูง คิดกับตัวเองซ้ำๆว่าจะไปดีไหม เงินก็จ่ายไปแล้ว แม่กับพี่ก็ปลอบว่าไม่ต้องกลัว มันไม่มีอะไรน่ากลัวเลยยยยย

    บอกเป็นข้อมูลเพิ่มเติมนิดหน่อย ตอนมอปลายเราเรียนศิลป์จีน ตอนม.4 ภาษาจีน...... มาก ได้แค่ประโยคง่ายๆ หนีห่าว ไจ้เจี่ยน หว่ออ้ายหนี่ ศัพท์พื้นๆแบบคุณครู โรงเรียน

    และไต้หวันเป็นเกาะที่ใช้ภาษาจีนตัวเต็ม ตัวเต็มเลย ขีดเยอะๆอ่ะ ช่วยด้วย เราฟังไม่ค่อยได้ พูดก็ไม่ค่อยได้ หนังสือเอาชีวิตรอดด้วยภาษาจีนก็ไม่ได้ซื้อติดตัวไป..... หึหึ เดี๋ยวรออ่านต่อว่าจะเป็นยังไง

    สุดท้ายก็ได้ไป ต้องนั่งเครื่องจากเชียงใหม่ > ฮ่องกง รอเปลี่ยนเครื่อง 10 ชั่วโมง > ไทเป ไต้หวัน


      Hello it's me LOL

    ตอนที่เครื่องบิน take off โอ้โห จิกเบาะแน่น น้องข้างๆยื่นยาดมให้เลย ให้ตายเถอะ Guมาทำอะไรที่นี่ ณ วินาทีนั้นคือหน้าพ่อหน้าแม่ลอยมาในหัวเลย รู้นะว่ามันปลอดภัย แต่แบบนี่นั่งริมหน้าต่าง มองลงไปข้างล่าง ฮือออออออออออ I wanna go home

    โอเค สุดท้ายก็ผ่านไปได้ด้วยดี ขอบอกก่อนเลยว่าสายการบิน Cathay Pacific ดีมาก ประทับใจ อาหารอร่อยด้วย บริการก็ดี แอร์ก็งานดี

    ------ The first experiences : ได้นั่งเครื่องบินครั้งแรก ---------


    Finally I was at the Hong Kong international airport

    หนาว ไม่ได้หนาวมาก แต่มันคือหนาวที่สุดในชีวิต ไม่เคยเจอะเจออากาศหนาวขนาดนี้มาก่อน เชียงใหม่ก็หนาวๆร้อนๆ ให้ตายเถอะ เป็นอีกครั้งที่คิดถึงหน้าพ่อกับแม่

    รอเปลี่ยนเครื่องกันไปยาวๆ

    The second experiences : เจอผู้คนใหม่ๆ สถานที่ใหม่ๆ สถานที่ที่ไม่มีภาษาไทย ภาษาจีนเต็มไปหมด และความหนาวนี้


    The third experiences : ได้นอนที่สนามบินครั้งแรกในชีวิต สู้ชีวิตสุดๆ



    โอเค เช้าแล้ว...... กำลังจะไปไต้หวันแล้ว ประสบการณ์ที่จะไม่มีวันลืมได้ลง กำลังจะมาเยือนแล้ว


    ลืมเล่าอีกอย่าง พี่ที่ไปด้วยคนนึงเคยมาร่วมโครงการนี้แล้ว ด้วยความที่เราเป็นเด็กอยู่เฉยๆไม่ค่อยได้ ก็เลยชวนพี่เขาคุย

    me : พี่เคยมาแล้วใช่ไหมครับ มันสนุกไหมอ่ะพี่
    พี่ : อืม ก็ดีนะ อากาศดี การเรียนยากนิดหน่อยในตอนแรกๆ แต่เดี๋ยวก็ชินเองแหละ
    me : แหล่งช็อปปิ้งเยอะไหมครับ (ว่าไม่ได้นะ ไทเปนี่แหล่งช็อปเลยนะ ของแท้ราคาถูก (กว่าไทย))
    พี่ : เยอะอยู่ แต่ต้องนั่งรถไฟไปเองนะ

    และก็ถามนู่นนี่ไปเรื่อยๆ จริงๆก็จำไม่ค่อยได้ละว่าคุยอะไรบ้าง แต่ประมาณนี้แหละที่ถามจำได้

    แต่ในหัวคิดละ นั่งรถไฟ โอเค! ฉันจะผจญชัยในโลกกว้าง ช็อปของเล็กๆน้อยๆ

    โอเค ถึงไทเป เมืองหลวงของเกาะไต้หวันแล้ววววววว (รูปไม่ค่อยมีเท่าไหร่ อยู่ในกล้อง T_T)

    พอลงจากเครื่อง ก็นั่งรถบัสของมหาลัยไปที่พัก

                       ขอบคุณรูปภาพจาก : http://www.great-towers.com/towers/taipei-101/


    พออยู่บนรถบัสนะ ขับเข้าไปในเมือง...... เหมือนฝันเลย ทำไมบ้านเมืองเขาสะอาด อากาศข้างนอกก็เย็นสบาย การจราจรก็เป็นระเบียบ ความเจริญมันเป็นแบบนี้นี่เอง

    คือมันฟินมาก ครั้งแรกที่เห็นบ้านเมืองเขาอ่ะ มันดีไปหมด ใครไม่เชื่อ ลองไปเอง ถ้าไปช่วงฤดูใบไม้ผลิ มันจะฟินมาก (เป็นการโฆษณาประเทศเขาไปด้วย อิอิ)

    คนอ่านคงพูด.... อ่านมาตั้งนาน ไหนสาระ.... รอแปป ขอโม้ก่อน5555555



    โอเคมาถึงที่พักแล้ว

    มหาวิทยาลัยที่เราพักและเรียนคือ NTNU ย่อมาจาก National Taiwan Normal University

    ขอบคุณรูปภาพจาก : http://studymandarinintaipei.blogspot.com/2013/07/ntnu-mandarin-training-center-location.html

    ขอบคุณรูปภาพจาก : http://en.ntnu.edu.tw/p-DeptMusic.php



    ตอนหน้าจะจบแน่นอน สำหรับ part ขอจบไว้เพียงเท่านี้ก่อนเน้อ ขอบคุณที่อ่านนะครับ :)












  • มาต่อกันใน part ที่ 2 นะครับ


    บอกก่อนว่าโครงการที่เรามาเข้าร่วม จะไม่ใช่การไปนั่งเรียนกับเด็กคนไต้หวันหรือคนจีน แต่จะเป็นเฉพาะโครงการคนไทยที่ไปด้วยกัน จากกรุงเทพ เชียงใหม่ และจังหวัดอื่นๆอีกนิดหน่อย ง่ายๆก็คืออยู่แต่กับคนไทยนี่แหละ ตอนนั้นเราดีใจมากที่ไม่มีคนจีนคนไต้หวันเลย เพราะฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง

    แต่พอมานึกถึงตอนนี้...... เสียดายมากกว่า ถ้าตอนนั้นได้อยู่กับคนไต้หวัน คนจีนจริงๆมันก็ได้ใช้ภาษาถูกปะ เราไปเรียน ไม่ได้ไปเล่น (แม้จะเล่นบ้างก็ตาม แฮะๆ) ก็รู้สึกเสียดายที่ไม่ได้ใช้ภาษาจีนกับคนจีนจริงๆ เห้อมมม

    โอเค กลับมาเข้าเรื่อง วันแรกไป เจ้าหน้าที่ก็แจกบัตรห้อง เราได้ห้อง 707 (มั้ง5555 จำชั้นไม่ได้ แต่ห้อง 07 แน่นอน) ซึ่งในห้องนึงจะมีเมททั้งหมด 4 คน ผู้ชายที่ไปด้วยจากเชียงใหม่มีแค่ 2 คน พึ่งมารู้จักกันที่ฮ่องกง สุดท้ายก็สุ่ม ไม่ได้นอนด้วยกัน....... ใครจะมาเป็นเมทเราล่ะเนี่ย ตอนนั้นคือภาวนาไม่ให้เป็นเด็กนรก แหกปากโวยวาย หรือไม่ก็พวกสูบบุหรี่ กินเหล้าเมายา โนวววววว (แต่จริงๆเขาก็ห้ามสูบ ดื่มในหออยู่แล้ว)

    หน้าตาบัตรประจำตัว

    Hello it's me again LOL

    โอเค วินาทีที่เปิดเข้ามาในห้อง ผ่างงงงงงง เป็นเตียงสองชั้น 2 เตียง มีโต๊ะหนังสือ 4 ชุด

    ในห้องไม่มีฮีทเตอร์ ไม่มี!!!!!!ฮีทเตอร์!!!!! แต่อุ่นมาก ไม่หนาวเลย แม้ข้างนอกจะหนาวแค่ไหนก็ตาม

    สภาพห้องดีอยู่นะ

    ขอบคุณรูปภาพจาก : http://en.ntnu.edu.tw/p-DeptMusic.php


    เห็นของที่เมทมาวางไว้ กระเป๋า หนังสือ กีต้าร์ก็มี โอ้โห ห้องรกมาก

    ด้วยความที่เกิดมาในครอบครัวที่พ่อเข้มงวดเรื่องความสะอาด นี่ก็สาระแนไปจัดของเข้าที่ให้เขาไปอีกกกก พอเมทเข้ามาคือพูดขอบคุณกับเราเลยอ่ะ

    "ขอบคุณนายมากนะที่จัดของให้เรา จริงๆเราก็จัดเองแหละแต่ขี้เกียจ5555555"


    แววได้เพื่อนใหม่คนแรกมาละ พึ่งมารู้ทีหลัง แก่กว่ากู 2 ปี......


    พอเก็บของเสร็จ ก็ลงไปข้างล่าง กินข้าว แล้วเดี๋ยวเหล่าชรือที่พามา จะพาไปซื้อตั๋วรถไฟใต้ดิน



    นี่คือสภาพข้าววันนั้น ถ่ายลงไอจีกันเลยทีเดียว ถามว่าอร่อยไหม........

    บอกตรงนี้เลยว่า..... อร่อยยยยยยยยยยยยยยย ฮืออออออออออออออออออออออออออออ ไก่ชิ้นนั้นช่างนุ่มลิ้นเสียเหลือเกิน แต่ก็จืด

    เราเคยอ่านก่อนมาว่า "อาหารไต้หวันจืดมากเลยค่ะ ต้องพกพริกไปเองนะคะ / อาหารไต้หวันไม่อร่อยเลยครับ แนะนำให้หาร้านอาหารไทย"

    ซึ่งวันหลังๆก็ไปหาร้านอาหารไทย ไม่อร่อย อีผี เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า 'พันทิปก็เชื่อไม่ได้ในบางครั้ง'

    เนี่ย ชอบหลุดตลอดเลย กลับมาๆๆๆ /ดึงหูตัวเอง

    ต่อนะ

    เหล่าชรือเป็นคนไต้หวัน เขาก็พาไปซื้อตั๋ว นี่ก็คิดละ เย้! ในที่สุดก็จะได้ไปทำตามสิ่งที่หวังไว้แล้ว

    ตอนนั้นเราไม่ค่อยคุยกับใครเลย เขาชวนคุยก็ไม่ค่อยตอบ อายอะไรก็ไม่รู้ เดินไปกับคนเชียงใหม่ 8-9 คน ซื้อตั๋วรถไฟใต้ดินเสร็จปุ๊บ ก็กลับที่พัก

    ประโยคที่น่าเศร้าตอนถึงที่พักคือ "เหล่าชรือจะกลับไทยภายใน 2-3 วันนี้นะ ไม่ได้อยู่ด้วย"

    โอ้โห เหล่าชรือไปแล้ว เพื่อนใหม่ก็มีแต่ไม่ค่อยสนิท ชีวิตต้องสู้ต่อไป


    กฎของโครงการนี้คือ
    1. หอจะปิดประตูตอน 4 ทุ่ม ออกไปเที่ยวข้างนอกได้ แต่ต้องกลับมาก่อน 4 ทุ่ม เพราะมีเช็คชื่อก่อนนอน
    2. พอเข้าหอแล้ว ห้ามส่งเสียงดัง

    จำไม่ค่อยได้ แต่ประมาณนี้ ที่สำคัญ "WIFI ค่อนข้างช้า ต้องไปนั่งในจุดที่เป็นกล่องปล่อยสัญญาณ WIFI" ฮืออออออออออ ชีวิตเริ่มลำบาก



    วันแรกเหนื่อยจากการเดินทาง ไต้หวันเร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมง เลย Facetime กลับมาบอกแม่ก่อนนอนว่าถึงแล้ว กำลังจะนอน โอเค night world xoxo



    วันแรกผ่านไป.......... เช้าวันที่ 2 ก็เริ่มเรียน มีอาหารเช้าแจกทุกวัน แต่ไม่ค่อยอร่อย เป็นพวกขนมปัง นมร้อนๆ

    แต่ความซวยมาเยือนละ.... เป็นหวัด ไอระดับล้าน ไอแบบห่างกัน 5 วิก็รู้สึกคันคออีกแล้ว


    ช่วยด้วย ใครก็ได้ ช่วยด้วย ทำไมกูมาเจอะเจออะไรแบบนี้ เป็นหวัดที่หนักที่สุดในชีวิต อาจจะเพราะอากาศหนาว แล้วไม่ได้ใส่เสื้อออกไปข้างนอก ลมก็เยอะ อากาศก็ชื้นๆแห้งๆ T__T


    แต่ความโชคดีคือแม่แอบเอายาใส่กระเป๋าเดินทางให้ โดยที่เราไม่รู้ คิดถึงหน้าพ่อกับแม่อีกแล้ว แม่จ๋า ยูอยากกลับบ้าน


    คาบแรกก็ไอ เกรงใจคนในห้องมาก เพราะเราไอแบบติดต่อกันเลยอ่ะ โชคดีอีกครั้งที่ในอาคารเรียนมีตู้กดน้ำร้อน เราเตรียมกระบอกน้ำร้อนไปด้วย ช่วยได้มากเลย แต่ก็ยังไออยู่ น้ำมูก ไอ ตัวร้อน เจ็บคอ

    โอ่ยยยยยยยยยยยยยย

    พอพักคาบเรียน ตอนเที่ยงเราก็ไม่รู้จะชวนใครไปซื้อยาดี โอเค ไปคนเดียวก็ได้วะ เป็นที่รู้กันว่ายาที่ต่างประเทศ ค่อนข้างจะราคาแพง ใช่ เราก็ไปซื้อยาแก้ไอแบบน้ำ ราคาเกือบ 200 กว่าบาทไทย ขวดเล็กๆ เพราะแม่เตรียมให้แต่แบบเม็ด จะหาซื้อยาน้ำแก้ไอตราเสือก็ไม่มีขาย

    ประสบการณ์เจอหมอยาคนไต้หวันครั้งแรก!! การฝึกภาษาเริ่ม!!!


    เดินเข้าไปในร้านขายยา
    หมอ : หนีห่าว
    me : เอ่ออออ.... May I have a medicine for coughing please?
    หมอ : ibjfbintkbnbikrnb (พูดภาษาจีนอะไรก็ไม่รู้)



    เอาแล้ว ความซวยมาเยือน

    me : Can you speak English?
    หมอ : biojbi0kinbtbi (ยังคงพูดจีนอย่างต่อเนื่อง)

    เราจับได้ประมาณว่า ขอโทษนะครับผมพูดไม่ได้จริงๆ พูดภาษาจีนเถอะ ไรเงี่ย

    สุดท้ายตามฉบับคนไทย ภาษามือละกัน เราก็ทำท่าไอค่อกๆ แหม่ หมอเข้าใจ ทำตั้งแต่ทีแรกก็จบละ

    เราไม่แน่ใจนะว่าไต้หวัน ซื้อยาต้องมีใบรับรองแพทย์เหมือนอเมริกา หรือประเทศยุโรปหรือเปล่า แต่ก็ได้ยามาละ กินหน้าร้านเลย 5555555555555

    ใครจะไปเชื่อ เหยยยยยยย หยุดไอเลย อยากจะโชว์รูปยา แต่จำไม่ได้ ขวดเล็กๆ ของเขาดีจริงๆนะ ดีแบบเห็นผลได้ชัดเลย แม้จะไออยู่บ้าง ก็รู้สึกไม่เจ็บคอ ไอน้อยลง โหหหหหหห แพงก็ยอมละ ณ จุดๆนี้


    เราก็เดินชมเมือง ถ่ายรูปไปเรื่อยๆ พอยิ่งมืด ความงามของเมืองนี้ก็เริ่มออกมา


     ขอบคุณรูปภาพจาก : https://www.google.co.th/url?sa=i&rct=j&q=&esrc=s&source=images&cd=&ved=0ahUKEwjL1qHb89XQAhVFQY8KHTgCCEEQjxwIAw&url=http%3A%2F%2Fneil-wade.photoshelter.com%2Fimage%2FI0000UDJ.p.FVzcE&bvm=bv.139782543,d.c2I&psig=AFQjCNFToSYzxjXZfXBP1tKw9J-4Nx6Wkg&ust=1480781657927074&cad=rjt



    เอาแล้ว และในที่สุด one of the most ซวย moments ก็เกิดขึ้น.....

    บัตรรถไฟใต้ดินมีแล้ว เงินพร้อม กล้องพร้อม ไป!!



    ขอบคุณรูปภาพจาก : http://english.metro.taipei/ct.asp?xItem=1056373&CtNode=70241&mp=122036


    บอกก่อนว่า มหาวิทยาลัยของเราตั้งอยู่แถวๆ Guting (เส้นสีเขียวเข้ม จุดที่ตัดกับเส้นสีเหลือง)

    ลงตรงนั้น แล้วเดินกลับไปที่มหาลัยได้ ซึ่งเราพึ่งมารู้จากเหตุการณ์ที่เราหลงทางตอนหลัง

    ด้วยความที่บ้าระห่ำ อยากผจญภัยคนเดียว ตอนขึ้นรถบัสมา ได้ยินเพื่อนบนรถคุยกัน แล้วมันมีคำว่า "Xindian" (จุดสุดท้ายก็เส้นสีเขียวเข้ม) เราก็คิดว่ามันคือจุดที่มหาลัยตั้งอยู่

    อืม จะด่าเราโง่ก็ได้นะ 555555 ทำไมไม่ศึกษาให้ดีก่อน ใช่ เราพลาดมาก ทำอะไรแบบเด็กๆ


    มาถึงตรงนี้ เราก็นั่งรถไฟจาก Guting (ซึ่งไม่รู้ว่ามันชื่อนี้) และนั่งไป Xi Men Ding (แหล่งช็อปปิ้งของไทเป คล้ายๆสยามของกรุงเทพฯ ของแบรนด์ราคาถูกกว่าไทยเยอะมาก)

    เราก็นั่งไปตามแนะนำในเว็บพันทิปต่างๆ โอเคได้ของกลับมาละ


    ความ here ของชีวิต เกิดตอนที่ขากลับนี่แหละ เพราะนั่งรถไฟจากสถานี Xi Men Ding นั่งไป "Xindian" ผีๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เพราะคิดว่ามันคือที่ที่มหาลัยอยู่


    ตอนนี้แหละ หนังชีวิต ตอนนั่งรถไฟใต้ดินไปก็ไม่ได้เอะใจอะไรนะ ทำไมมันนานจังเลยกว่าจะถึง

    Xi Men คือจุดที่เส้นสีเขียวเข้มตัดกับสีน้ำเงิน ลองย้อนดู แล้วดูความไกลจาก Xi Men มาถึง Xindian ดิ (ใช่ เรานั่งเลย Guting ไปเฉยเลย ชิวสุด)

    นั่งฟังเพลงโดยไม่รู้ชะตากรรมตัวเอง

    โอเค พอรถไฟใต้ดินจอดที่สถานี Xindian หึหึ ตอนเดินออกมาจากรถไฟ อ้าว ทำไมสถานีนี้ไม่คุ้นเลยอ่ะ ช่างเหอะ เดินๆไปเดี๋ยวก็เจอมหาลัยเอง


    คนอ่านทุกคนครับ อ่านมาถึงจุดนี้ คุณคงไม่เชื่อเลยนะว่าเด็กผู้ชายอายุ 16 คนนึง จะ stupid ได้ขนาดนี้ ไม่รู้เส้นทาง และนั่งไปเรื่อย Map ของรถไฟก็ไม่มี ภาษาจีนก็พูดไม่ได้ คนไต้หวันก็พูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ หนังชีวิตมีอยู่จริงนะครับ

    เดินออกมาจากสถานี..... เคว้งมาก มันมืด บ้านเรือนเงียบ (ตอนนั้นเวลาประมาณ 2 ทุ่ม) บอกกับตัวเองว่าจะต้องกลับไปให้ทันเช็คชื่อก่อนเข้านอน

    "นี่แค่วันที่ 2 ของการมาไทเปเองนะ เอาวะ ถึงไหนถึงกัน"

    แล้วเราก็เดินไปเรื่อยเลย พยายามหาร้านที่ซื้อข้าวกิน ร้านยา ร้าน KFC MC ต่างๆที่เคยเห็น เชี่ย ทำไมไม่มีเลยอ่ะ นี่อยู่ไหนเนี่ย






    ตอนนั้นหน้าพ่อกับแม่ลอยมาในหัว หน้าเหล่าชรือก็มา เริ่มใจเสียแล้ว รู้เลยว่าตัวเองหลงแล้ว



    ลองนึกภาพตาม Xindian ในตอนนั้นที่เมืองเงียบสงบ มีแค่รถเมล์ไม่กี่สายผ่าน ร้านอาหารต่างๆเริ่มเก็บแล้ว เด็กอายุ 16 คนนึงกำลังตามหามหาลัยของเขา ถ้าเป็นในหนัง กล้องมันจะแพนรอบตัว ซาวด์จะขึ้น วินาทีนั้นคือถอดหูฟัง เดินเกาหัวไปเรื่อย สุดท้ายก็รวบรวมความกล้าไปถามคนในพื้นที่ (ตอนนั้นประมาณ 2 ทุ่ม 40 แล้ว) เดินนานมาก หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ ที่นี่ที่ไหน ไม่เหมือนไทเปเลย




    เดินเข้าไปถามคนข้างทาง และสิ่งที่เราได้รับคืนมา
     
    me : Excuse m--- ยังไม่พูดทันจบเลย


    เขาก็เดินหนีไป เหมือนกลัวเรา (ฮือออ เราก็กลัวแกนะ แต่ช่วยเราก่อนได้ไหม T_T)


    ตอนนั้นคือรนไปหมด พยายามขุดภาษาจีนละกัน เดินไปหาอีกคน

    me : หนี่ๆ หนี่เค๋ออี่ปางหว่อมะ (คุณๆ ช่วยผมหน่อยได้ไหม)

    เขาก็มองหน้านะ แต่ไม่ตอบอะไร เงียบและเบือนหน้าหนี เขาคงคิดว่าเราจะเป็นพวกต้มตุ๋นไรแบบนั้นมั้ง



    ทุกคนครับ เรายังจำความรู้สึกตอนนั้นได้ดี ขณะพิมพ์นี่ก็มือสั่นไปหมด มันแย่มาก ทำไมชีวิตเราต้องมาเจออะไรแบบนี้ (โทษตัวเองอย่างแรงเลยตอนนั้น) แต่พยายามกลั้นน้ำตาไว้ ไม่ให้ไหลออกมา


    ไม่ยอมแพ้ เดินไปหาคนอื่น นึกขึ้นได้ว่าป้ายประจำตัวนักเรียนที่ห้อยไปด้วย มีชื่อของมหาวิทยาลัยอยู่

    ชื่อมหาลัยภาษาจีน : 臺灣師範大學 (ไถ วาน ชรือ ฟ่าน ต้า เชว๋)



    เราเดินไปหาคนอื่นอีก ตอนนั้นคือตัวสั่นไปหมดแล้ว อากาศก็เย็น (เคยแบบรู้สึกโดดเดี่ยว ทำอะไรไม่ถูก แล้วตัวสั่นปะ มันอธิบายไม่ถูก แต่มันแย่มาก)


    จำได้เลย เจอคุณลุงวัยกลางคนคนนึง กำลังยืนรอรถเมล์อยู่ ภาวนาว่าให้เขาช่วยเราด้วยเถอะ อย่าหนีเลย บอกตัวเองว่าทำตัวให้น่าเชื่อถือ อย่าหน้าตกใจ เดี๋ยวเขากลัว


    ถ้าใครเคยได้ยิน เวลาที่เรากลัว ตื่นเต้น เราสามารถทำอะไรก็ได้ที่เราไม่เคยคิดว่าจะทำได้มาก่อน

    ใช่!! ภาษาจีนที่เรียนมา ถูกนำออกมาใช้แบบเราไม่รู้จัก คือเคยเรียน แต่จำไม่ได้ แต่ตอนนี้มันจำได้

    me : เอ่อออ 不好意思 ! 你知道台湾师范大学吗? (ขอโทษนะครับ คุณพอจะรู้จักมหาลัย NTNU ไหมครับ)
    คุณลุง : (ตอนแรกทำท่ากลัวเราด้วย แต่พอเราพูดภาษาจีนประโยคนี้ บวกกับหยิบป้ายให้ดู) เอ่ออ

    ลุงคิดอยู่แปปนึง แล้วก็บอกว่ารู้จักสิ "หว่อ จรือ ต้าว จรือ ต้าว" ฉันรู้ๆ


    โอ้โห วินาทีนั้น ลุงเหมือนพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วยเลย ลุงงงงงงงงงงงง

    ลุงแกก็ชี้ไปที่ป้ายรถเมล์ฝั่งตรงข้าม แล้วก็บอกว่าให้นั่งรถเมล์สาย A (จำเลขไม่ได้) รู้สึกจะเป็น 45 มั้งงงง

    เราก็โค้งคำนับใหญ่เลย ตอนนั้นคือถ้าคว้าแก้มลุงมาหอมได้เป็นการขอบคุณคือทำแล้ว


    ขอบคุณเสร็จ ลุงแกก็ยิ้มๆ ถามว่ามาจากไหน เราก็ "ไท่ กว๋อ" ประเทศไทยครับบบบบบ ลุงแกก็ยิ้มๆ ขอบคุณอยู่แปปนึง ก็เดินข้ามถนนไปอีกฝั่ง


    ตอนนั้นเหมือนแสงสีขาวส่งตรงมาจากสวรรค์ มีความสุขแบบบอกไม่ถูก ไหนจะพูดภาษาจีนได้ (ยอมรับว่าประโยคนั้นยาวสุดเท่าที่เคยพูดมา)


    รถเมล์ยังไม่มาซะที นั่งฟังเพลง ตอนนั้นเวลาประมาณ 3 ทุ่มกว่า หนาวมาก จากที่วิ่งเหนื่อยๆเมื่อกี้ เมืองเงียบมาก เงียบแบบ.......... มันให้ฟีลหนังเรื่อง Silent Hill เลย ลองไปเสิร์ชรูป บ้านปิดหมด ร้านค้าปิด ร้าน 24 ชั่วโมงแบบเซเว่นก็ไม่มี เหมือนฟีลนอกเมืองของไทเปเลย

    โอเค รถเมล์มาละ เดินขึ้นไป


    เหมือนเรื่องจะจบดีใช่ไหม? โนวจ้าาาาาาาา


    พอนั่งมารถซักพัก สัจธรรมชีวิตก็เริ่มปรากฎ เพราะสองข้างทางมีแต่ป่า ถนนโล่งๆ (แต่บนรถคนเยอะ ตอนแรกขึ้นไปไม่ได้นั่งเลย)


    พอได้นั่ง ก็มองข้างทาง หนังชีวิตมาอีกแล้ว ข้างทางไม่มีแสงสีอะไรเลย มีแต่ป่าหลอนๆ บ้านเก่าๆ คนก็เริ่มลงไปละ


    ตอนนี้น้ำตาเริ่มเอ่อแล้ว ปิดเพลง นั่งไปอีกซักพักนึง เผื่อเจออะไรดีๆ


    unfortunately, ไม่มีอะไรเลย........... แย่กว่าตอนวิ่งหามหาลัยเมื่อกี้อีก พยายามข่มใจ บนรถยังมีคนอยู่ พอรถเมล์จอดปุ๊บ เราเลยเดินไปถามคนขับ

    "现在我们在哪里?" (ตอนนี้พวกเราอยู่ที่ไหนครับ)

    คนขับก็พูดอะไรไม่รู้ คนทั้งรถเริ่มหันมามองเราแล้ว จำสายตาพวกเขาได้ดี มองแบบ "อะไรอ่ะ"


    เราก็ชูป้าย "这个学校 你知道吗 台湾师范大学?" (มหาลัยนี้อ่ะ คุณรู้จักไหม NTNU อ่ะครับ)


    ตอนนั้นน้ำตาเริ่มไหลแล้ว เพราะข้างทางมืดจริงๆ บ้านเก่าๆ




    ขอบคุณรูปภาพจาก : https://www.google.co.th/url?sa=i&rct=j&q=&esrc=s&source=images&cd=&ved=0ahUKEwi3hPyY_NXQAhXCPY8KHZDcCvgQjxwIAw&url=http%3A%2F%2Fwww.alamy.com%2Fstock-photo%2Ftaiwan-house-not-apartment.html&psig=AFQjCNEtuHUZ4JIo9Kdo5uID2ARhPDemaA&ust=1480783930111973&cad=rjt


    เนี่ย บ้านมันแนวๆนี้เลย ตอนนั้นจมมุมมาก "ใครก็ได้ช่วยกูด้วย" พูดเป็นภาษาไทยบนรถเลย

    คนขับก็บอกว่าสุดท้ายแล้ว ลงได้แล้ว พอเดินลงมา ก็แบบเคว้งอ่ะ ลองนึกภาพตามนะ บ้านเก่าๆรอบข้าง ป่า ต้นไม้ สายไฟระโยงระยาง ถนนเก่าๆ เห่ย! นี่มันที่ไหนกัน ตอนนั้นร้องไห้แล้ว ร้องเลย ยืนอยู่ตรงป้ายรถเมล์ ร้องไห้แบบไม่มีเสียง แต่น้ำตาไหล คิดถึงบ้าน คิดถึงพ่อกับแม่ คิดถึงครูทุกคนในชีวิตนี้ รู้สึกผิดกับเหล่าชรือที่ไม่ตั้งใจเรียนภาษาจีน



    แม้จะได้ภาษาอังกฤษ แต่ใครพูดได้บ้างเนี่ย...........





    นั่งร้องไห้ตรงป้ายรถเมล์ ตอนนั้นไม่สนเรื่องเวลาเช็คชื่อแล้ว ขอกลับมหาลัยให้ได้ก่อน จะหักคะแนนอะไรกูก็เชิญเลย ใครก็ได้พากูกลับที่พักที




    เห็นผู้หญิงสองคนยืนคุยกันตรงร้านซาลาเปาเก่าๆร้านนึง เอาว่ะ ไม่มีอะไรจะเสียละ

    เดินเข้าไปถามเลย "หนี่ๆ หนี่จรือต้าวไทวานชรือฟ่านต้าเชว๋มะ" (คุณครับ รู้จักมหาลัย NTNU ไหมครับ)




    และสิ่งที่ได้กลับคืนมาคือ..........  ลองคิดว่ามันคืออะไร อืมๆ คิดถูกแล้ว เขาเมินเรา T________________T

    เมินแบบไม่สนใจแม้จะหันมาฟังสิ่งที่เราพูดเลย พูดกันสองคน



    เปิดดูโทรศัพท์ สัญญาณไวไฟก็ไม่มี เน็ตมือถือก็ไม่มี อากาศก็หนาว มืดด้วย มีแค่แสงสว่างจากป้ายรถเมล์และร้านซาลาเปาที่มีผู้หญิงใจร้ายสองคนยืนคุยกันอยู่ T___T ช่วยด้วยยยยย


    และแล้วก็มีเทพธิดามาโปรด เป็นผู้หญิงที่อยู่บนรถเมล์เมื่อกี้กับเรา ตอนเดินลงจากป้าย เขาเดินกลับเข้าไปในหมู่บ้าน และกลับมาหาเราพร้อมเพื่อนเขา (คงแบบมาเป็นเพื่อน เผื่อเราเป็นโจรไรแนวนั้น)

    เขาก็เดินมา และประโยคที่เขาพูด ทำให้เรารู้สึกเหมือนถูกหวยรางวัลที่ 1 มันดีใจแบบพูดไม่ถูก

    เขา : Can I help you?

    เขาพูดภาษาอังกฤษได้ T_____________________________T

    เช็คน้ำตา และสนทนากับเขา

    me : I'm lost. The place I stay is called "National Taiwan Normal University"
    เขา : Oh ok actually you sit on the wrong line

    รู้ทีหลังคือ ลุงคนนั้นที่บอกทาง บอกผิด จริงๆต้องขึ้นรถเมล์จากฝั่งลุงนั่นแหละ แต่ลุงให้ไปขึ้นอีกฝั่งนึง

    me : Ok so what should I do?

    เขาก็อธิบายว่าให้รอรถอีกฝั่งนึง (เพราะเรานั่งอยู่ฝั่งที่ขึ้นมา)

    แล้วนั่งรถสายเดิมไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็จะเจอย่าน Guting เอง


    จำได้ว่าตอนนั้น เราขอผู้หญิงคนนั้นกอดด้วย กอดขอบคุณ เขาก็บอก my pleasure, I am so happy to help you ดีใจนะที่ได้ช่วยไรแบบนี้


    ขอกอดไป

    The fourth experiences : ได้กอดคนแปลกหน้าครั้งแรก :)


    รถเมล์มาแล้ว เราก็โค้งขอบคุณเขาอีกรอบ ถ้าไม่ได้ผู้หญิงคนนี้ เราจะทำยังไงดีกับชีวิต จะเป็นผีเฝ้าไต้หวันไหม ตอนที่เห็นย่าน Guting (ย่านมหาลัยที่เราพัก) เห็น KFC MC ร้านขายยา โอ้โห น้ำตาไหลเลย เหมือนได้เจอญาติที่พึ่งกลับมาจากสนามรบ วิ่งกลับมหาลัยด้วยความเร็วสูง ตอนนั้น 4 ทุ่มกว่าๆ ประมาณ 4 ทุ่ม 15 ได้

    เดินเข้าไปในตึก เจอพี่ผู้หญิงคนนึงจากกรุงเทพฯ ยืนถามยามอยู่ (ใช่แล้ว เขากำลังถามเรื่องเรา)

    เพราะตอนเช็คชื่อ เราหายไปไง พี่เขาเลยมาตามหา พอพี่เขาเห็นเราก็วิ่งเข้ามากอด ทั้งๆที่ไม่รู้จักกันนะ

    พี่ : หายไปไหนมา ตามหาตั้งนาน ไม่รู้จะไปตามหาที่ไหนด้วยเนี่ย
    me : ขอโทษครับ หลงทางนิดหน่อย (นิดหน่อย??)

    พี่เขาก็กอดเราอีกรอบ เขิน555555555

    พี่ : ไปนอนได้แล้วค่ะ หนาวมากเลยสิเนี่ย ตัวสั่นเชียว

    เราก็ยิ้มๆ แล้วก็ขึ้นไปนอน

    ความพีคคือ พอเข้าไปในห้อง เมททั้ง 4 คน รุมเข้ามา บวกกับเพื่อนจากห้องอื่นก็เดินเข้ามาถาม

    ทุกคน : ไปไหนมาเนี่ย


    เรางงเลย หืม อะไรกันเนี่ย

    me : อ๋อ หลงทางมา (หัวเราะแหะๆ)

    ผญคนนึง : ทิง (คนเช็คชื่อ) คิดว่าแกโดนจับไปแล้ว

    ตอนนั้นคือเหมือนดาราเลย รอบๆเป็นใครก็ไม่รู้มารุมถามคำถาม เราก็ตอบๆไป




    และพอหลังจากวันนั้น ก็เป็นที่รู้จักของทุกคน อห 555555555

    สุดท้ายก็คิดได้ ไปหยิบ map รถไฟใต้ดินมา เป็นสิ่งที่ควรทำตั้งนานละ555555





    อ่านมาถึงตรงนี้ เราก็อยากจะบอกทุกคนว่า "ภาษาสำคัญมาก ถ้าไปต่างประเทศ" เราไม่เคยรู้เลยว่าภาษาอังกฤษมันสำคัญมากขนาดไหน ลองคิดดู ถ้าเราไม่มีป้าย ไม่รู้ภาษาอังกฤษ ไม่รู้ภาษาจีน ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะได้มานั่งพิมพ์ให้ทุกคนอ่านแบบนี้ไหม LOL



    ประสบการณ์สอนอะไรเราได้หลายอย่างมาก...... ก่อนที่เราจะไปไต้หวัน เราเป็นคนค่อนข้างไม่ค่อยตรงต่อเวลา ผัดวันประกันพรุ่ง แต่พอกลับมาจากไต้หวัน รู้สึกว่าชีวิตตัวเองดีขึ้น ภาษาดีขึ้น


    เราตั้งใจเรียน นั่งท่องศัพท์ภาษาจีนทุกคืนเลย จนสุดท้าย วัดระดับภาษาก่อนจบโครงการ เราก็ได้เกียรติบัตรเรียนดี :) ภาษาจีนดีขึ้น(มากกกกกกกกกก) ฟังออก พูดพอได้ (ถ้ารอบข้างเป็นคนจีน คนไต้หวัน คงดีกว่านี้)


    และยิ่งไปกว่านั้น ได้เพื่อน มิตรภาพ ความทรงจำดีๆ ไปเที่ยวด้วยกัน มันดีมาก

    ธรรมชาติของไต้หวันก็สวย


    ขอบคุณเกาะไต้หวันที่มอบความทรงจำดีๆให้แก่กันนะ :) สัญญาว่าวันนึงจะต้องกลับไปเที่ยวอีกให้ได้ คราวนี้แหละ ออกนอกเมืองแค่ไหน ก็กลับได้ละเว่ย 5555555555




    ขอบคุณทุกคนที่อ่านมาถึงตรงนี้นะ ขอบคุณมากจริงๆ เราหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะ


    ใครที่เก่งภาษาอังกฤษอยู่แล้ว ก็พยายามฝึกฝนต่อไปให้เก่งขึ้นเรื่อยๆ ใครที่ไม่ได้ภาษาอังกฤษ อย่าท้อ อย่าคิดว่ามันยาก เชื่อเรา วันนึงในอนาคตได้ใช้มันแน่นอน ไม่มากก็น้อย ตั้งใจเรียน หาเพื่อนฝรั่งคุยไว้ก็ดี มีคนมาถามเราเสมอว่า  "ทำยังไงถึงจะเก่งภาษาอังกฤษ?" มันบอกไม่ได้อ่ะ เพราะวิธีเราก็ไม่รู้จะใช้ได้กับคนอื่นหรือเปล่า แต่เราก็มี 'แรงบันดาลใจ' คือ Harry Potter อยากฟังสิ่งที่พวกเขาพูดกันออกโดยไม่ต้องอ่านซับไทย แล้วก็พยายามท่องศัพท์ เจอศัพท์ใหม่ๆก็จดไว้ เอามาใช้บ่อยๆ เดี๋ยวมันก็จำได้เอง ฟังเพลง ดูหนัง นี่แหละสื่อที่ช่วยง่ายที่สุด 'หาแฟนฝรั่ง' ก็ช่วยนะ ลอง555555 เคยคุยกับแหม่มเมกันคนนึง เขาก็พยายามแก้สิ่งที่เราพูดผิด สุดท้ายมันก็จำได้เอง สู้ๆนะทุกคน




    มีอะไรอยากถาม เมนชั่นมาหาเราในทวิตได้นะ >> @yuteesonyu


    ขอบคุณทุกคนจริงๆนะที่อ่านบทความของเรา สู้ๆ

    There's nothing you can't do. ไม่มีอะไรที่คุณทำไม่ได้ :)




    Hello it's me :)

    Thank you :D



































Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in