เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Dangerous Love (Deadly Companions #1)Aki_Kaze
บทที่ 6: โดมินิค
  • 6
    โดมินิค

    “เขาเชื่อใจคนง่ายแบบนี้เลยเหรอ”
    เสียงของเร็จจี้ดังผ่านหูฟัง ผมมองตามแอมโบรสที่กำลังเดินกลับไปยังอาคารเรียนด้วยท่าทางเป็นกังวล ถ้าเลือกได้ผมคงไม่ทำแบบนี้ แต่อีกฝ่ายพกคอมพิวเตอร์ติดตัวตลอดเวลาหากไม่ให้เร็จจี้มาช่วยก็คงไม่มีทางเข้าถึงข้อมูลของอีกฝ่ายได้
    “รีบจัดการให้เสร็จก่อนที่เขาจะเลิกเรียนเถอะ”
    “บอส” เร็จจี้ส่งเสียงประท้วง ผมรู้ว่าเขาเก่งไม่อย่างนั้นผมคงไม่เลือกเขามาทำงานด้วย ผู้ชายคนนี้ปฏิเสธทุนเรียนต่อ ปฏิเสธบริษัทชั้นนำของประเทศเพื่อมาทำงานกับผม เขาต้องการบรรยากาศสบายๆ เป็นกันเองและเหมือนว่าที่ทำงานของผมจะมอบสิ่งนั้นให้เขาได้
    “ผมสงสัยว่าเราจะเจอสิ่งที่ต้องการ” เร็จจี้พูดขึ้น “ถ้ามันมีของสำคัญอยู่จริงเขาจะกล้าทิ้งไว้กับคนแปลกหน้าเหรอ โอ้...”
    เสียงของเร็จจี้ดึงความสนใจของผม แต่เขาเงียบไปนานจนผมต้องถามขึ้น
    “เจออะไร”
    “เขามีไฟล์ภาพเคลื่อนไหว เดี๋ยวผมดึงเข้าเครื่องตัวเองก่อน” เสียงแป้นพิมพ์ดังแทรกการสนทนาของพวกเรา ผมรู้จักเร็จจี้ดีจึงไม่เร่งยามที่เขากำลังทำงาน “เขาแยกโฟลเดอร์ไว้เป็นระเบียบ ถึงจะไม่ได้ลงชื่อแต่ก็มีวันที่กำกับอยู่ ผมกำลังหาไฟล์ของอีริค โกลด์ นี่อาจจะใช้เวลาเกินวันก็ได้”
    “ได้เรื่องแล้วโทรบอกด้วย”
    “บอสจะไปไหนครับ” เขาถามทันทีพร้อมกับพยายามมองหาผมที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามของร้าน
    “ฉันมีธุระที่ต้องทำ ถึงอยู่ที่นี่ไปก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว แอมโบรสเลิกเรียนสามโมง เขาอาจแวะมาตอนมื้อกลางวัน ระวังตัวด้วยล่ะ”
    “บอสอย่าทิ้งผมไว้ข้างนอกแบบนี้สิครับ”
    “เสร็จงานแล้วฉันขับรถออกไปรับก็ได้” เสียงของมาร์กาเร็ตแทรกขึ้น เธอประจำอยู่ที่สำนักงาน
    “ไม่ ถ้าเธอมาก็ชอบลากฉันไปที่อื่นอีก”
    ผมบอกให้พวกเขาตกลงกันเองก่อนจะตัดการติดต่อไป ผมรู้ว่าเร็จจี้ไม่ชอบออกภาคสนามหากไม่มีใครมาด้วย ถึงไม่อยากทิ้งเขาไว้ตามลำพังแต่ผมไม่อาจเพิกเฉยต่อข้อความที่เพิ่งได้รับจากโทรศัพท์มือถือได้
    หลังจากขับรถมานานเกือบหนึ่งชั่วโมง ผมก็มาถึงจุดหมายปลายทาง บ้านของโจนาธาน แลงดอน หรือที่ใครหลายคนเรียกติดปากว่ารัสตี้ตามสีผมของเขา ปรากฎสู่สายตา สองข้างทางมีต้นไม้เรียงรายเป็นระเบียบให้ความร่มรื่น เป็นหนึ่งในย่านที่อยู่อาศัยของคนรวย
    ผมลงจากรถพลางถอดแว่นกันแดด มองไปยังบ้านเดี่ยวสองชั้นพร้อมสนามหญ้าในตัว เขาแนะนำลูกค้าหลายคนให้ผม ชื่อของผมเป็นที่รู้จักในวงการใต้ดินก็เพราะผู้ชายคนนี้
    รัสตี้รอผมอยู่ก่อนแล้ว ไม่จำเป็นต้องเคาะประตูเขาก็เป็นฝ่ายเปิดประตูต้อนรับ
    “เข้ามาก่อนสิ” ชายวัยสี่สิบห้าปีเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลอมแดงส่งยิ้มเป็นกันเอง เชิญผมเข้าไปในบ้าน เขาสวมเสื้อคาร์ดิแกนสีเทากับกางเกงขายาว ถือแก้วกาแฟในมือ เดินนำผมไปยังห้องรับแขก ที่นั่นไม่ได้มีแค่เขาคนเดียว แต่ยังมีผู้หญิงผมยาวสีดำนั่งอยู่บนโซฟา
    “นั่นมารีซอล เธอต้องการความช่วยเหลือ” รัสตี้หันไปคุยกับผู้หญิงคนนั้นด้วยภาษาสเปน ผมจับใจความได้ว่าเป็นการแนะนำตัวจึงพยักหน้าให้เธอ
    มารีซอลมองหน้าผมก่อนหันไปพูดกับรัสตี้ ผมเข้าใจที่เธอพูดเลยเผลอยิ้มออกมา
    “ไม่ต้องห่วง ผมไม่ใช่ตำรวจ” เธอมองหน้าผม แปลกใจที่ผมเข้าใจภาษาของเธอ แต่ความจริงแล้วคลังศัพท์ของผมมีจำกัดจึงไม่ได้ตอบด้วยภาษาสเปน
    ผมนั่งลงบนโซฟาเดี่ยว หันไปทางรัสตี้ “นี่มันเรื่องอะไร”
    มารีซอลหันไปคุยกับรัสตี้อีกครั้งด้วยสีหน้าไม่พอใจ เขาบอกให้เธอใจเย็นก่อนหันมาอธิบายให้ผมฟัง
    “มารีซอลมาตามหาเพื่อนของเธอ ริต้า ที่มาทำงานในอเมริกาเมื่อปีที่แล้ว พวกเธอติดต่อกันทุกเดือนแต่สองสามเดือนที่ผ่านมาอีกฝ่ายไม่ติดต่อมาเลย เธอตามไปยังที่ทำงานของริต้าแต่ทางนั้นบอกว่าไม่เคยมีผู้หญิงชื่อนี้ทำงานที่นั่น...”
    “ผมไม่มีหน้าที่ตามหาคนหาย” ผมแย้งแม้ว่าจะเคยรับงานแบบนั้นมาบ้างก็ตาม แต่การตามหาคนยากกว่าของ ถ้าเป็นไปได้ผมก็ไม่รับ
    รัสตี้ส่ายหน้า “ไม่ ไม่ เรารู้แล้วว่าริต้าอยู่ที่ไหน เธอทำงานในพาราไดซ์”
    เพียงแค่ได้ยินชื่อนั้น ผมก็ลุกขึ้นยืนทันที รัสตี้รู้จักผมดี รู้เรื่องนั้นดี เขาไม่ควรพูดถึงชื่อนั้นขึ้นมาด้วยซ้ำ
    “ไม่มีใครรู้จักที่นั่นดีเท่าเธอ โดมินิค”
    “คุณก็รู้ว่าผมกลับไปที่นั่นไม่ได้ เสียใจด้วยมารีซอล แต่ผมช่วยอะไรคุณไม่ได้” ผมติดกระดุมเสื้อสูท บ่งบอกว่าเตรียมกลับ
    “ริต้าไม่ได้ต้องการทำงานที่นั่น เธอถูกหลอกเหมือนกับมิเคลา”
    “อย่าพูดถึงชื่อเธอ” คำพูดของผมเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติราวกับมีใครป้อนข้อมูลไว้
    “มิเคลาคงอยากให้เธอทำแบบนี้ โดมินิค ช่วยเหลือผู้คน”
    “หยุด” ผมหันไปทางมารีซอล “เขาเล่าเรื่องนี้ให้ฟังเหรอ ว่าผมเคยพาคนออกมาจากพาราไดซ์ได้ เขาเล่าตอนจบหรือเปล่า”
    สีหน้าของมารีซอลหวาดกลัว หันมองรัสตี้ด้วยสายตาขอความช่วยเหลือ ผมมองตามก่อนจะเดินออกจากที่นั่นโดยไม่พูดอะไรอีก
    ยามที่ได้เดินออกมานอกบ้าน ผมเพิ่งรู้สึกว่าตัวเองอึดอัด มือของผมสั่น ใบหน้าของผมมีเหงื่อออก
    เธอช่วยฉัน จำไว้นะ เธอเป็นคนช่วยชีวิตฉัน
    ผมกำมือแน่น พยายามลบเสียงที่ก้องอยู่ในหัวออกไปให้เร็วที่สุดแต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือผมกลับจดจำใบหน้าของเธอ เสียงของเธอ กลิ่นของเธอ รอยยิ้มของเธอ
    ผมสบทลั่น เพิ่มน้ำหนักบนคันเร่งหวังว่าความเร็วจะทำให้ลืมเรื่องพวกนี้
    เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ผมรับทราบโดยไม่ได้มองชื่อ คิดว่าอย่างไรก็คงเป็นพวกลูกน้อง
    “มีอะไร”
    “บอส...” เร็จจี้ชะงักไปครู่หนึ่ง อาจเพราะน้ำเสียงกระชากของผม อย่างไรก็ตามเขาก็พูดต่อ “ผมเจอคลิปหลายอย่างจากกล้องวงจรปิดในบ้านของแอมโบรส เขาข้องเกี่ยวกับผู้มีอิทธิพลหลายคนเป็นไปไม่ได้เลยที่คนในครอบครัวจะไม่รู้”
    “เร็จจี้” ผมทักเมื่อเขาออกนอกเรื่อง
    “ขอโทษครับ” เขาตอบ “แต่ผมหาไฟล์ของอีริค โกลด์ไม่เจอ เป็นไปได้ไหมว่าเขาจะลบมันทิ้งไปแล้วตั้งแต่ที่รู้ว่าบอสกำลังตามหาอยู่”
    “เขาเก็บมันไว้กับตัว” นั่นเป็นคำอธิบายเดียวที่ผมนึกออก “ขอบใจมาก”
    “บอส แล้วผมจะกลับ...”
    ผมตัดสายไปก่อนที่เร็จจี้จะพูดจบ เลื่อนหน้าจอโทรศัพท์มองหาชื่อของมาร์กาเร็ตแล้วโทรออก
    “ค่ะ บอส”
    “ติดต่อคุณโกลด์บอกว่าฉันอยากพบ วันพรุ่งนี้ช่วงบ่ายให้เขามาที่สำนักงาน”
    “รับทราบค่ะ มีอะไรอีกไหมคะ”
    ผมเตรียมวางสายแต่ก็นึกขึ้นมาได้ “ไปรับเร็จจี้ด้วย” เธอหัวเราะก่อนจะขานรับแล้ววางสายไป
    สมาธิของผมกลับมาที่การจราจรเบื้องหน้าอีกครั้ง จำนวนรถหนาแน่นทำให้ผมติดอยู่กับที่ สมองของผมหวนนึกถึงบทสนทนาของรัสตี้ ต่อให้ผมมีเส้นสายมากมาย ทำงานใต้ดินมานักต่อนัก แต่พาราไดซ์ไม่ใช่สถานที่ที่ผมจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้อีก แม้ว่าฝ่ายนั้นผิดสัญญาก็ตาม
    ผมเผลอมองมือซ้ายที่วางอยู่บนพวงมาลัย รู้ทั้งรู้ว่าไม่ควรนึกถึงอดีตแต่ก็อดไม่ได้ที่จะจินตนาการถึงอนาคตที่ครั้งหนึ่งผมเชื่อว่ามันจะเกิดขึ้น ผมช่างโง่เขลานัก
    ตกดึกรัสตี้ติดต่อผมมาอีกครั้ง เขาขอโทษที่พูดถึงชื่อของเธอแต่ยังคงอยากให้ผมรับงานเพราะตำรวจทำอะไรพาราไดซ์ไม่ได้
    “เธอมีเรื่องที่ยังต้องสะสางกับพาราไดซ์ เพราะแบบนั้นไม่ใช่เหรอเธอถึงยังไม่มีใคร”
    จู่ๆ ใบหน้าของแอมโบรสก็ปรากฎขึ้นในหัว ความรู้สึกที่ผมไม่อาจอธิบายได้ในตอนนั้นชัดเจนขึ้น และถ้ามันเป็นแบบเดียวกันกับมิเคลา ผมก็รู้ได้ทันทีว่ามันจะจบลงแบบไหน
    “โดมินิค”
    “ผมจะลองคิดดู”
    ผมตัดสาย ทอดสายตามองไปนอกหน้าต่างสู่ความมืดมิดของยามค่ำคืน
    ช่วงสายของวันถัดมา ผมขับรถออกจากบ้านมุ่งหน้าไปยังที่พักของแอมโบรส ในเมื่อผมไม่สามารถทำงานให้ลุล่วงได้ ผมก็จะเป็นคนกลางให้สองคนนั้นเผชิญหน้ากัน
    คำถามคือผมจะทำให้แอมโบรสยอมพบอีริค โกลด์ได้อย่างไร
    ผมเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสามของตึกแถวซอมซ่อที่ดูอย่างไรก็ไม่เข้ากับแอมโบรส มิลเลอร์ ความน่าสงสัยเกี่ยวกับผู้ชายคนนี้เพิ่มขึ้นทุกขณะและผมยังไม่อาจหาคำตอบได้ว่าเขาปิดบังอะไรอยู่
    ผมเคาะประตูหน้าห้องของแอมโบรส ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายอยู่ในห้องหรือไม่ เขาไม่ได้เปิดกล้องวงจรปิดตลอดเวลา ที่ผมทราบเรื่องนี้เป็นเพราะมาร์กาเร็ตคอยจับตาดูอยู่ เป็นอีกครั้งที่ผมมอบหมายงานน่าเบื่อให้เธอ
    “คุณมาทำอะไรที่นี่”
    แอมโบรสแง้มประตูห้องโดยมีโซ่สีเงินกั้นอยู่ เรือนผมของเขายุ่งเหยิงบ่งบอกว่าเพิ่งตื่นนอน
    “ฉันต้องคุยกันเธอ”
    “ไปให้พ้น” เขาปิดประตูก่อนที่ผมจะได้แย้งอะไรแต่มีหรือที่ผมจะยอมแพ้ง่ายๆ ผมเคาะประตูอีกครั้ง เพิ่มน้ำหนักมากกว่าเดิมจนเกิดเสียงดัง
    “ฟังฉันก่อนแล้วหลังจากนี้ฉันจะไม่มาให้เธอเห็นหน้าอีก”
    ไม่มีเสียงใดเกิดขึ้นภายในห้อง แต่ผมรู้ว่าเขายังยืนอยู่หน้าประตู ลังเลที่จะให้ผมเข้าไป เสียงปลดโซ่และกลอนประตูเป็นเหมือนดั่งระฆังบ่งบอกถึงชัยชนะ แต่ผมจะรีบยินดีตอนนี้ไม่ได้
    “ขอบคุณ”
    ผมก้าวเท้าเข้าไปในห้อง นึกถึงครั้งแรกที่ได้เข้ามาในนี้ นึกถึงตำแหน่งของกล้องที่ซ่อนอยู่ในนี้
    “นั่งสิ”
    ผมเห็นแอมโบรสชัดๆ เป็นครั้งแรก เขาสวมเสื้อคอกลมสีเทากับกางเกงชั้นในสีดำเผยให้เห็นเรียวขาชวนมอง ขนหน้าแข้งของเขาเป็นสีอ่อนอดไม่ได้ที่จะคิดไปถึงส่วนอื่น
    “แล้ว?”
    เสียงทักของแอมโบรสดึงผมออกจากจินตนาการส่วนตัว สีหน้าของเขาไม่ได้แสดงความอึดอัดยามถูกผมมองแบบนั้น
    “ฉันต้องการให้เธอไปพบกับอีริค โกลด์”
    “ทำไมผมต้องทำแบบนั้นด้วย” แอมโบรสนั่งชันขาขึ้นข้างหนึ่ง ผมไม่รู้ว่าเขาติดนิสัยนั่งแบบนั้นหรือจงใจกันแน่แต่มันทำให้ผมไขว้เขวไปชั่วขณะ จู่ๆ ก็รู้สึกถึงความร้อนภายในห้อง
    “ฉันมีวิธีอื่นแต่ฉันไม่อยากทำ” ผมตอบ “คุณโกลด์แค่อยากให้เธอทำลายภาพพวกนั้นทิ้ง ในเมื่อเธอไม่ยอม ฉันก็จัดการให้พวกเธอได้ทำความเข้าใจกัน”
    “คุณรับงานมาแต่คุณปิดงานไม่ได้” สายตาซุกซนของเขามองผมพร้อมรอยยิ้ม
    “อย่าบังคับให้ฉันทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ”
    แอมโบรสยกขาลง โน้มตัวมาด้านหน้าเล็กน้อย เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความท้าทาย
    “คุณจะทำอะไร”
    ผมเฝ้าถามตัวเองแบบนั้นเช่นกัน เพราะถ้าเป็นคนอื่นผมคงไม่ลังเลเลยที่จะใช้กำลังหากเจรจาด้วยคำพูดไม่เป็นผล แต่แอมโบรสไม่ใช่คนอื่น
    ผมโน้มตัวไปข้างหน้าแบบเดียวกับที่เขาทำ
    “ฉันจะถอดเสื้อผ้าเธอแล้วสานต่อสิ่งที่เราทำค้างไว้ในวันนั้น”
    ช่วงเวลานั้นผมเห็นสีหน้าที่แท้จริงของเขา ความต้องการของเขา บางทีเราอาจเป็นกระจกที่สะท้อนความต้องการระหว่างกัน เขาลดการ์ดลง ผมลุกขึ้นยืน
    “แต่งตัวซะ ฉันจะพาเธอไปพบอีริค โกลด์”
    แอมโบรสลุกขึ้นยืน เผชิญหน้ากับผม “ผมจะทำตามที่คุณบอกแต่มีข้อแม้อย่างหนึ่ง”
    สามสิบนาทีต่อมาเราทั้งคู่อยู่บนท้องถนนท่ามกลางการจราจรคล่องตัว แอมโบรสไม่ได้พูดอะไรระหว่างทาง เพียงแค่นั่งมองออกไปนอกหน้าต่าง
    “เกี่ยวกับเรื่องนั้น...”
    “ผมจริงจัง” เขาแทรกขึ้นก่อนที่ผมจะพูดจบ
    “ทำไมล่ะ”
    คำถามสั้นๆ ของผมเป็นเรื่องที่ตอบยากสำหรับเขา ผมนึกถึงข้อแม้ของแอมโบรสที่ทำให้เขายอมมาพบอีริค โกลด์ เป็นข้อแม้ที่ผมไม่ต้องใช้เวลานานในการตอบตกลง แต่พอนั่งอยู่ในรถตามลำพังกับเขา ผมกลับลังเล
    “เพราะผมเอาแต่คิดถึงคุณ” คำตอบของแอมโบรสสะกิดบางอย่างในตัวผม “ผมไม่อยากนึกถึงคุณอีก เพราะฉะนั้นผมขอแค่ครั้งเดียว คุณจะได้ออกไปจากสมองผมเสียที”
    ความรู้สึกของผมหลังได้ยินคำตอบเป็นเรื่องที่ยากจะหาคำใดมาอธิบาย ยินดี? ผิดหวัง? ผมไม่ชอบอะไรที่มันซับซ้อนแต่ผู้ชายคนนี้เป็นแบบนั้น
    “แน่ใจเหรอว่าครั้งเดียวจะพอ” ผมหยอกเพราะถ้าไม่พูดอะไรออกไปบรรยากาศอึดอัดคงไม่จางหาย
    แอมโบรสสบถใส่ผมก่อนหันออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง จบบทสนทนาระหว่างกัน
    ไม่ถึงสามสิบนาทีผมก็ขับรถพาเขามาถึงสำนักงาน เรียกลิฟท์ขึ้นไปชั้นบน เราไม่ได้คุยอะไรกันอีกนับจากนั้น ผมเดินนำหน้า เขาเดินตามหลัง เสียงฝีเท้าของเขาดังเป็นจังหวะ หากเขากังวลก็ไม่ได้แสดงออกมาให้เห็น ผมเปิดประตูเข้าไปในห้อง เห็นมาร์กาเร็ตนั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะของตัวเองโดยมีเอลเลียตนอนอยู่บนตัก เสียงฝีเท้าของแอมโบรสเงียบไป อาจเป็นเพราะเขาเห็นเร็จจี้อยู่ในห้องด้วย
    ผมหันไปทางเขา เขามองหน้าผมโดยไม่พูดอะไร อาจกำลังต่อว่าตัวเองในใจที่ตกหลุมพรางของผม หรืออาจหัวเราะอยู่ในใจที่ผมหาสิ่งที่ต้องการไม่เจอ ไม่ว่าเป็นอย่างไหนมันก็ไม่สำคัญอีก หลังจากที่แอมโบรสเจออีริค โกลด์ ทุกอย่างก็จะจบ
    โกลด์ลุกขึ้นยืนทันทีที่เห็นผมเดินเข้าไปในห้องทำงาน เขากำลังจะอ้าปากต่อว่าแต่แล้วก็เปลี่ยนใจเมื่อเห็นผู้ชายที่เดินตามเข้ามา
    “เธอ...” เขาตวัดสายตามาทางผมแต่ก่อนที่จะได้พูดอะไรผมก็อธิบาย
    “พวกคุณต้องคุยกัน ผมจะรออยู่ข้างนอก”
    ผมเดินออกจากห้องพร้อมปิดประตูไล่หลัง ไม่ใช่ความคิดที่ดีนักที่ปล่อยให้คนอื่นอยู่ในห้องผมตามลำพังแต่อย่างน้อยของสำคัญต่างๆ ก็ไม่ได้อยู่ในนั้น
    “งานเสร็จแล้วสินะคะ” มาร์กาเร็ตพูดขึ้น
    “ไม่เหมือนกับที่คิดไว้ในตอนแรก จริงไหม” ต่อให้งานจบลงแต่ผมพบว่ามันคือความล้มเหลว สายตาของผมทอดมองไปยังหน้าต่างห้องทำงานของตัวเอง ผมออกแบบไม่ให้ใครมองเห็นด้านใน ไม่คิดว่าก่อนว่าผมจะเกลียดความคิดตัวเองได้มากขนาดนี้ ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นในนั้น
    “เรื่องการเงินที่ให้สืบ ไปถึงไหนแล้วล่ะ” ผมถามเพื่อดึงความสนใจของตัวเองไปที่อื่น มาร์กาเร็ตทำหน้าสงสัยเพราะเธอเพิ่งพูดว่างานเสร็จไปเมื่อกี้นี่เอง
    “เร็จจี้ตามเงินไปแล้วและพบเจ้าของบัญชีที่แอมโบรสโอนเข้าทุกเดือน” การเว้นจังหวะของเธอเตือนให้ผมเตรียมใจฟังในสิ่งที่จะได้ยิน “มันเป็นบัญชีของแอนเดอร์สัน มิลเลอร์ที่เปิดด้วยชื่อปลอม บอส เป็นไปได้ไหมว่าข่าวลือ”
    “ฉันไม่เชื่อข่าวลือ”
    “ถ้าข่าวลือไม่ใช่เรื่องจริง ทำไมลูกชายของแอนเดอร์สัน มิลเลอร์ต้องโอนเงินให้ทุกเดือนด้วยล่ะ อีกอย่างบริษัทต่างๆ ของเขา ต่อให้ยังเป็นชื่อของแอนเดอร์สันคนพ่อแต่ภายในไม่ใช่แบบนั้นแล้ว พวกเขาเป็นหนี้ พวกเขาล้มละลาย” เร็จจี้ยังคงพูดต่อ “เป็นไปได้ว่าเด็กคนนั้นตั้งใจใช้หนี้แทนพ่อ”
    “เปล่า เขาไม่ได้ตั้งใจทำแบบนั้น” ผมพูดออกไปโดยที่ไม่มีหลักฐานอะไรมาสนับสนุนนอกจากความรู้สึกของตัวเอง
    อีริค โกลด์เดินออกมาจากห้องทำให้บทสนทนาระหว่างผมกับลูกน้องจบลง ผมเดินไปหาเขาที่แสดงความไม่พอใจออกมา
    “อย่าคิดว่าจะได้เงินที่เหลือจากผม”
    “ผมไม่ต้องการเงินของคุณ เมย์”
    “ไม่ต้อง ผมออกไปเองได้”
    พอชายคนนั้นเดินจากไป มาร์กาเร็ตก็ส่งเสียงพึมพำ “งี่เง่าจริงๆ อยากให้ฉันไปฟ้องเมียตัวเองหรือไง”
    ผมปรามเธอทางสายตาแม้จะอยากเห็นด้วยก็ตาม
    ตอนที่ผมเดินกลับไปที่ห้องทำงานของตัวเอง แอมโบรสยังคงยืนอยู่ที่เดิมคล้ายคนที่กำลังตกอยู่ในห้วงความคิด
    “เธอพูดอะไรไปงั้นเหรอ”
    ไหล่ของเขาสะท้านเล็กน้อยก่อนจะส่ายศีรษะ “ไม่มีอะไรสำคัญ เขาแค่ได้ยินสิ่งที่ตัวเองควรได้ยิน” ดวงตาสีเขียวของเขาหยุดลงที่ผมก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ผมมีอะไรกับคุณได้หรือยัง”
    “ฉันจะไปส่งเธอที่บ้าน”
    มุมปากของเขากระตุกยิ้มเมื่อเข้าใจความหมายของผม
    คราวนี้แอมโบรสเป็นฝ่ายเดินนำหน้า ออกจากสำนักงานไปก่อน
    “เสร็จงานแล้วไว้เจอกันวันจันทร์” ผมหันไปบอกมาร์กาเร็ตกับเร็จจี้ยังคงนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ขอตัวเอง
    “บอสคะ แล้วเอลเลียต”
    “ฝากด้วย” เธอกลอกตาใส่แต่ผมคงโทษเธอไม่ได้ ผมเป็นคนเก็บเอลเลียตมาเลี้ยงแต่กลับไม่ได้ดูแลเขาเท่าที่ควร
    หลังจากกลับมาอยู่บนท้องถนน การจราจรในขากลับแตกต่างจากตอนมาอย่างสิ้นเชิงราวกับเป็นสัญญาณเตือนถึงสิ่งที่ผมจะทำ...ที่เราสองคนจะทำ หรือบางทีมันอาจเป็นโอกาสให้ผมถามถึงเรื่องเงินพวกนั้น
    แอมโบรสนั่งมองออกไปนอกหน้าต่างตลอดเวลา ผมไม่สามารถบอกได้เลยว่าเขาคิดอะไรอยู่
    นับเป็นอีกครั้งที่ผมเดินตามเขาขึ้นบันไดตึกแถวซอมซ่อไปยังชั้นสาม สู่ห้องพักที่มีกล้องวงจรปิดติดตั้งไว้ ผมไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่ามันเปิดอยู่หรือเปล่า แอมโบรสถอดเสื้อแจ็คเก็ตแขวนไว้ยังทางเข้า ถอดรองเท้า ถุงเท้าไว้หน้าประตู ผมทำตามเขาทุกอย่าง เดินเท้าเปล่าตามเขาขึ้นบันไดไปยังชั้นลอยซึ่งเป็นที่นอนของเขา ต่อให้เตียงนอนที่เขาใช้รับแขกมานับครั้งไม่ถ้วนจะดูเรียบร้อยน่าสัมผัสเพียงใด ส่วนหนึ่งในใจผมก็อดคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นบนเตียงนอนที่เห็นไม่ได้
    แอมโบรสถอดเสื้อผ้าของเขาออกทีละชิ้นโดยไม่พูดอะไร สายตาของผมหันไปทางชั้นวางของ บริเวณตำแหน่งที่มีกล้องซ่อนอยู่ ถ้าเขาบันทึกภาพเหล่านี้ไว้จริงมันก็ทำอะไรผมไม่ได้ เขาไม่สามารถใช้มันกลับมาทำร้ายผู้ชายตัวคนเดียวแบบผมได้
    ตลอดระยะเวลาการทำงานหลายปีที่ผ่านมาแน่นอนว่าต้องมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น การมีเพศสัมพันธ์กับลูกค้าหรือเป้าหมายไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ บ้างก็เป็นสาวโสด บ้างก็เป็นหม้าย บ้างก็มีสามีที่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับพวกเธอ ผมไม่ใช่คนดี ผมไม่ได้สนใจความถูกต้องเหล่านั้น มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นแค่ครั้งเดียว คืนเดียว แล้วจบไป ไม่มีข้อผูกมัด ไม่มีภาคต่อ ไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ นอกเหนือจากร่างกาย ผมโอเคกับความสัมพันธ์รูปแบบนี้ ไม่ต้องยึดติด ไม่ต้องกังวล เพราะผมเรียนรู้แล้วว่า ความสัมพันธ์ ทำร้ายคนได้มากขนาดไหน
    ไม่นาน ทั้งผมกับแอมโบรสก็อยู่ในสภาพเปลือยเปล่าบนเตียงนอน สัมผัสเรือนร่างระหว่างกันโดยไม่มีใครขีดเส้นกั้นขึ้นมา เขาละทิ้งทุกอย่างขณะที่อยู่ในอ้อมกอดของผม เหลือเพียงความปรารถนาที่ขับเคลื่อนเราทั้งคู่
    “ฉันมีเรื่องจะสารภาพ”
    แอมโบรสมองหน้าผมก่อนจะยกยิ้มอย่างเข้าใจ “ลิ้นชักชั้นที่สอง”
    ผมมองตามสายตาของเขาไปเห็นชั้นไม้วางของข้างเตียงนอน เมื่อดึงลิ้นชักออกก็พบสิ่งที่ตามหา ผมนึกถึงตอนที่เร็จจี้กับเฟอร์กัสมาที่นี่ ทั้งคู่คงเห็นของที่อยู่ในลิ้นชักพวกนี้
    “ถ้าเห็นอะไรน่าสนใจ คุณจะหยิบออกมาใช้ก็ได้นะ”
    นอกจากกล่องถุงยางอนามัยที่ยังไม่ถูกแกะกับเจลหล่อลื่นแล้วผมก็ไม่ได้แตะต้องสิ่งใดอีก
    “เธอต้องการของเล่นพวกนั้นมากกว่าฉันเหรอ”
    เขายกยิ้ม ทุกท่วงท่าและการกระทำของเขาล้วนแต่ชวนให้จับตามอง ผมไม่ได้สนสิ่งอื่นใดนอกจากความต้องการระหว่างกัน ไม่สนด้วยซ้ำว่าสร้อยคอของแอมโบรสจะมีจี้เป็นแฟลชไดรฟ์ เขาเชิญชวนผมด้วยเรียวขาที่แยกกว้างขึ้น เย้ายวนผมด้วยเสียงลมหายใจร้อนระอุ เราเติมเต็มกันและกันในแบบที่ผมไม่คิดว่าจะมีใครทำให้ผมได้อีก
    ในตอนนั้น ผมเข้าใจว่าทำไมใครหลายคนโหยหาเขา ต้องการกลับมาหาเขา แอมโบรสมอบสิ่งที่คนพวกนั้นต้องการ สิ่งที่ผมต้องการ สัมผัสของเขาทำให้ผมสงบ ทำให้ลืมได้ทุกสิ่งอย่าง ไม่ต้องคิดอะไร ไม่ต้องกังวลสิ่งใด ไม่มีความเจ็บปวด ไม่มีความผิดหวัง
    “เป็นของฉัน แอมโบรส ของฉันคนเดียว”
    ผมหลุดปากพูดออกไปก่อนที่ตัวเองจะเข้าใจความหมายเหล่านั้น ผมซ่อนใบหน้าของตัวเองระหว่างซอกคอและบ่าของเขา แอมโบรสลูบศีรษะผม สางมือไปตามเรือนผม ช้อนใบหน้าของผมให้หันมองเขาก่อนจะจูบผมในแบบที่ผมไม่มีวันปฏิเสธ เขาปลอบโยนผมโดยที่ไม่รู้ว่าก่อนว่ามันคือสิ่งที่ผมต้องการ เขาทำให้ผมได้รับรู้ถึงการเอาใจใส่ ให้ผมคิดว่าเขาใส่ใจ

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in