เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
FICTIONANJA
[OS] My sweet dinner [YULSIC]
  • One shot : My sweet dinner
    Paring : Kwon Yuri x Jung Jessica                   



                    

                       นิ้วเรียวยาวขยับไปมาเคาะลงบนพวงมาลัยรถอย่างเป็นจังหวะ เสียงทุ้มนุ่มของแฟรงค์ ซินาต้าในเพลงFly me to the moonดังคลอเบาๆอยู่ภายในรถ พร้อมกับความรู้สึกร้อนรนใจของผู้ที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัย 

                       
                       ความหมายของเนื้อเพลงแต่ละท่อนมีแต่จะเร่งเร้าให้กีรตินึกอยากจะเปิดประตูลงจากรถแล้ววิ่งจนสุดกำลังไปที่คอนโดของตัวเองเสียให้รู้แล้วรู้รอด หากใครถามว่าทำไมต้องรีบร้อนถึงเพียงนี้ คนเจ้าเหตุผลอย่างอาจารย์สาวก็คงจะหัวเราะเบาๆส่ายหัวนิดหน่อยแล้วตอบออกไปอย่างไร้เหตุผลว่า 

                       
                       'ก็แค่อยากวิ่งไปหาใครบางคนที่รออยู่ที่คอนโด แล้วรวบตัวมากอดให้สุดแรง' 


                     

                     

                       'เป็นโรคหัวใจหรือเปล่านะ?' เจสสิก้าได้แต่คิดกับตัวเองขณะที่มือเรียวเกาะกุมบริเวณหน้าอกของตัวเองเอาไว้ ก็หลังจากได้รับข้อความจากคนบางคนไอ้เจ้าหัวใจไม่รักดีก็มันก็เต้นตูมตามราวกับจะหลุดออกมานอกอก

                       
                        ปกติเธอไม่ใช่คนขี้เขินอะไรมากมาย ออกจะถนัดทำให้คนอื่นเขินซะมากกว่า แต่ไอ้การที่คนบางคนส่งข้อความมาบอกว่าจะให้รางวัล พร้อมกับคำถามที่อ่านแล้วแทบจะได้ยินเสียงเว้าวอนของอีกฝ่ายกระซิบลงข้างหูเนี่ยมันทำให้ต้นคอร้อนวูบวาบไปหมด ก็มีอย่างที่ไหนมาถามกันได้ว่า 


                         'จูบพี่ไม่หวานแล้วเหรอคะ?' 


                          คำถามแบบนี้มันไม่ต่างอะไรจากการเดินจูงมือเธอย้อนกลับไปในช่วงเวลาที่ทั้งสัมผัสและรสจูบของอีกฝ่ายนั้นยังแจ่มชัด ชัดเสียจนหญิงสาวต้องเผลอเม้มปากอย่างลืมตัวแล้วกลืนน้ำลายให้กับความทรงจำแสนหวานนั่น 


                        ว่าแต่แล้วรสชาติมันเป็นอย่างไรนะ? จะว่าหวานก็ไม่ใช่ สิ่งแรกที่วิ่งเข้ามาในหัวคือความอ่อนนุ่ม รสชาติเฝื่อนๆของลิปสติก ลมหายใจอุ่นๆกับจังหวะหัวใจที่เต้นอย่างสม่ำเสมอ แล้วก็คงเป็นกลิ่นน้ำหอมของอีกฝ่ายที่เธอแสนจะคุ้นเคย  ก็ไม่เห็นจะหวานเลยนี่นะ 


                       



                        ก้าวเดินแต่ละก้าวที่ผ่านไป กีรติรู้สึกเหมือนเธอกำลังเหยียบย่ำลงบนลูกโป่งใส่น้ำที่อ่อนยวบยาบ ในขณะที่สองมือถือแก้วกาแฟร้อนๆพร้อมกับความรู้สึกที่เหมือนกำลังจะจาม ช่างน่าอึดอัดเสียนี่กระไร แต่มันก็ประหลาดที่นี่เป็นความอึดอัดที่เธอแสนจะรื่นรมย์ หากจะบอกว่าเธอในตอนนี้เหมือนเด็กที่กำลังใจเต้นโครมครามรอเปิดของขวัญกล่องใหญ่ในวันคริสมาสต์ก็คงจะไม่ผิดอะไร


                        มือเรียวเเตะคีย์การ์ดที่หน้าประตูและเอื้อมไปคว้าลูกบิดผลักประตูให้เปิดออก คนที่อยู่ในห้องดีดตัวขึ้นจากโซฟาทันทีที่เห็นผู้มาใหม่ เจสสิก้ายกมือขึ้นแตะต้นคอตัวเอง ก่อนจะย้ายไปจับผมเผ้าราวกับว่าอยู่ๆเธอก็ไม่รู้ว่าควรจะวางมือไว้ตรงไหนดี กีรติได้แต่อมยิ้มให้กับท่าทางนั้น


                       อาจารย์หน้าคมสาวเท้าเข้าไปหาเจ้าเด็กอวดเก่งที่วันนี้ดูจะไม่เก่งเหมือนทุกที ที่เธอคิดเช่นนั้นก็เพราะคนตรงหน้าไม่เคยปล่อยโอกาสที่จะแทะโลมเธอทางสายตา แต่วันนี้เด็กอวดเก่งที่ว่ากลับเลือกที่จะเบนหน้าหนีไปอีกทางราวกับกลัวการที่จะต้องสบตากับเธอเสียอย่างนั้น


                       ดูท่าวันนี้ลูกแมวจอมดื้อจะกลายเป็นลูกแมวจ๋อยซะแล้ว


                       "เป็นอะไรคะ? หลบตาพี่อยู่นั่นแหละ" กีรติเลือกที่จะถามออกไปตรงๆ


                      "ไม่ได้หลบค่ะ พี่หิวไหมคะ?" ไม่ว่าเปล่า เจ้าเด็กอวดเก่งที่วันนี้ดูจะไม่เก่งเดินฉับๆเข้าไปในครัวอย่างรวดเร็ว พลางตะโกนถาม "เจทำอะไรให้ทานไหม?"

        
                       จากการที่ถูกอบรมสั่งสอนมาอย่างเข้มงวดในเรื่องมารยาททำให้กีรติเลือกที่จะเดินเข้าไปหาคนในครัวแทนการตะโกนตอบ อีกฝ่ายกำลังยืนเปิดตู้เย็นมองหาวัตถุดิบที่จะมาปรุงอาหาร อาจารย์สาวได้แต่ยิ้มออกมาเบาๆ  สงสัยจะเขินจนลืมไปแล้วว่าตัวเองทำอาหารไม่เป็น 


                       เเขนเรียวสีน้ำผึ้งสอดเข้าไปกอดเด็กดื้อของเธอไว้จากทางด้านหลัง ริมฝีปากอ่อนนุ่มจงใจเเตะลงเบาๆที่ใบหูของอีกฝ่าย ก่อนจะกระซิบเสียงหวาน 


                      "คุณไม่ต้องเปิดตู้เย็นหรอกค่ะ เพราะพี่มีเมนูในใจแล้ว" 







                      

                     ถ้าตอนนี้ขอพรกับพระเจ้าได้หนึ่งข้อ เจสสิก้าก็อยากจะขอให้กีรติเวอร์ชั่นพระอิฐพระปูนช่วยมาประทับลงร่างอีกฝ่ายทีเถอะ เพราะตอนนี้ใจเธอพังมาก!


                   เจสสิก้ามั่นใจว่าถ้าพวกแก๊งเพื่อนสาวมาเห็นเธอในตอนนี้คงต้องกรอกตามองบนแล้วพร้อมใจกันพูดว่า 'ดัดจริตนัก' ใส่หน้าเธอเป็นแน่ เพราะนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกของเธอกับกีรติ แต่เจสสิก้ากล้าวางหมดหน้าตักเลยว่าครั้งนี้ไม่เหมือนกับทุกครั้ง เพราะทุกครั้งพี่ไพรด์คนดีของเธอจะเริ่มต้นด้วยการมาอ้อมแอ้มถามเธอด้วยท่าทีแสนสุภาพที่ซ่อนความเขินอายไว้อย่างลงตัว ทุกอย่างมันมักจะละมุนละไมชวนให้อมยิ้มกับการกระทำของคนขี้เขินเสมอ


                   แต่...วันนี้มันหนังคนละม้วนเลย!

                    
                  ทำไมนะ ทำไมกัน ทำไมคนที่แค่จับมือก๋็เขินหูแดงหน้าแดงคนนั้นถึงได้กระทำการอุกอาจเช่นนี้ได้ เจสสิก้ายังคงไม่แน่ใจว่าการกระทำอะไรของเธอที่มันไปกระตุ้นให้อีกฝ่ายเดินส่งสายตาหวานเยิ้มพร้อมกับการกระซิบที่ชวนให้เข่าอ่อนยวบ  ไปกินดีหมีหัวใจเสือที่ไหนมาคะคุณอาจารย์!?


                   "ถ้ามีเมนูในใจอยู่แล้ว อย่างนั้นพี่ก็ทำเองเลยนะคะ" หญิงสาวว่าพร้อมกับหมุนออกจากอ้อมกอดของอีกคน ขืนอยู่นานกว่านี้หัวใจคงล้มเหลวกันพอดี 


                    ก็มันไม่ชินเอาซะเลยกับการถูกอีกฝ่ายรุกหนักแบบนี้


                   และไม่รู้ว่าชาติที่แล้วมือใหม่หัดใจกล้าตรงหน้าเกิดเป็นลิงหรืออย่างไร มือไม้ถึงได้ไวนัก มือเรียวนั่นคว้าข้อมือของเธอเอาไว้ และรอยยิ้มหวานเยิ้มนั่นก็คว้าหัวใจเธอเอาไว้ซะอยู่หมัด 


                  "จะรีบไปไหนล่ะคะ เมนูของพี่ต้องให้คุณช่วยนะคะ" ตายไปเลยๆๆๆ! เจสสิก้าได้แต่กรีดร้องและสบถซ้ำๆอยู่ในใจ สิ่งที่เธอทำจริงๆก็เพียงแค่ยืนทำตาโต และหญิงสาวคิดว่าเธอหยุดหายใจไปพักใหญ่



                   "เดี๋ยวนี้อ้อนเก่งนักนะคะ" หญิงสาวกล่าวเสียงดังทั้งที่เสียงน่ะสั่นหมดแล้ว


          
                   "ก็เพิ่งรู้ตัวว่าอ้อนเก่งตอนที่มีคุณให้อ้อนนี่แหละค่ะ"



                    เออ ตายไปเลย


                  
                   "ไม่ค่ะ! เจจะไปอาบน้ำ" เหมือนสติอันน้อยนิดวิ่งเข้าสู่สมอง ร่างบางสะบัดอย่างแรง และรีบวิ่งสุดกำลังเข้าไปในห้องน้ำ สาบานได้ว่าตอนที่วิ่งหนีเข้าห้องน้ำใจเธอบีบตัวแรงมาก กลัวเหลือเกินว่าอีกฝ่ายจะวิ่งตามมา น่ากลัวอย่างกับฉากในหนังสยองขวัญ


                  โชคดีที่อีกคนไม่ได้วิ่งตามอย่างที่เธอจินตนาการเพ้อเจ้อในหัว คนหน้าคมแค่ยืนหัวเราะอยู่ที่เดิม พลางพูดว่า "อาบน้ำก่อนก็ดีเหมือนกันค่ะ"


                  โว้ย!







                ไม่รู้ว่าชาติก่อนนี้มือใหม่หัดเลิกอวดเก่งเกิดเป็นแมวหรืออย่างไร ถึงได้หลบหลีกคล่องแคล่วนัก เผลอหน่อยเดียว มุดหายไปเข้าห้องน้ำซะแล้ว แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรสำหรับอาจารย์สาว ก็อย่างที่เธอบอกกับอีกฝ่ายไป อาบน้ำก่อนก็ดีเหมือนกัน



               จัดแจงพาตัวเองมาในห้องน้ำห้องเล็ก หลังจากที่พยายามหลอกล่อให้อีกฝ่ายเปิดประตูห้องน้ำให้เธอเข้าไปอาบด้วยแล้วแต่ไม่เป็นผลสำเร็จ ไม่รู้ว่าวันนี้เขินอะไรนักหนา ทั้งที่ปกติก็เห็นก๋ากั่นจะตายไป



               มือเรียวเท้าลงบนเคาน์เตอร์หน้ากระจก คนหน้าคมมองหน้าตัวเองในกระจกอย่างนึกขัน ก็เพราะทั้งหมดที่ทำลงไปเนี่ย เขินจนจะตายแล้วคุณ  ทำอย่างไรมันก็ไม่ชินเสียที ความเขินอายนี่เหมือนเป็นแขกประจำที่มักมาเยี่ยมเยียนเธออยู่บ่อยครั้งและไม่เคยคิดจะหายหน้าไปไหน แต่ที่ยังคงกระทำลงไปก็เพราะ มันมีบางอย่างที่สำคัญมากกว่าการเขินอาย  


                 ไอ้ความรู้สึกกระตือรือร้นในอกที่อยากให้อีกฝ่ายรู้ว่าเธอแสนจะรักใคร่แล้วก็ภูมิใจในตัวอีกฝ่ายมากแค่ไหนเนี่ยมันแทบจะระเบิดตัวเองออกมาอยู่แล้ว มันทุรนทุรายอยู่ในอกจนอยากจะตะโกนบอกแฟนหมาดๆของตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเธอได้ร่วงหล่นลงไปในดินแดนที่เรียกว่าความรักเข้าแล้ว ร่วงหล่นลงไปโดยอยากจะโอบกอดอีกฝ่ายเอาไว้ให้จมดิ่งลงไปด้วยกัน 







                  เจสสิก้าออกมาจากห้องน้ำพลางชะโงกมองหาคนที่ทำให้วันนี้ชีวิตของเธอตื่นเต้นเหมือนอยู่ในหนังระทึกขวัญ คอเรียวยาวชะโงกซ้ายขวา สงสัยคงไปอาบน้ำ เมื่อเห็นว่าทางสะดวกก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก พาตัวเองในชุดคลุมอาบน้ำเดินเข้าห้องนอน ตั้งใจไว้แล้วว่าจะเอาตัวรอดด้วยการแกล้งหลับให้รู้แล้วรู้รอดมันไป


                  แต่เหมือนคาถาของเธอจะไม่ศักดิ์สิทธิเอาซะเลย เพราะเมื่อเข้ามาถึงในห้องก็เจอกับคนหน้าคมนอนทอดตัวยาวเหยียดอยู่บนเตียงนอนขาวสะอาดเป็นที่เรียบร้อย ในมือถือหนังสือเล่มหนาอ่านฆ่าเวลาบอกให้รู้ว่าคงอาบน้ำเสร็จก่อนเธอจะมาถึงนานแล้ว



                ต้องทำใจดีสู้เสือเท่านั้น



                คนใจกล้าที่วันนี้ตกที่นั่งคนขี้ขลาดนั่งทาครีมอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งด้วยสีหน้าไม่รู้สึกรู้สา ทั้งที่สายตาก็คอยสอดส่องท่าทีของคนบนเตียงอยู่ไม่ขาด


                "เป็นอะไรคะ?" คนบนเตียงถามขึ้นโดยที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นจากหนังสือ


                "เป็นอะไร? ไม่ได้เป็นอะไรนี่คะ" 


                "ก็เห็นคุณชำเลืองมองพี่อยู่นานแล้ว" อาจารย์สาวยิ้มอ่อนพลางปิดหนังสือลง ทำเอาคนที่ถูกถามได้แต่นั่งตาค้างตัวแข็ง กลัวเหลือเกินว่า..


                 นั่นปะไร ผิดที่ไหนเล่า! คนหน้าคมลุกออกจากเตียงมายืนอยู่หลังเธอเสียแล้ว ก่อนจะค่อยๆโน้มตัวลงมา และเอื้อมไปหยิบครีมทาผิวที่วางอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้งพร้อมรอยยิ้มหวานกับสายตาหยาดเยิ้มที่มอบให้เธอผ่านทางกระจกบานใหญ่  ท้องมันปั่นป่วนวูบวาบไปหมดแล้ว


                "พี่ช่วยทาให้นะคะ" ถามอย่างไม่คิดจะรอคำตอบ กีรติก็บรรจงลูบไล้ครีมลงบนต้นแขนของเธออย่างแผ่วเบา ปลายนิ้วเรียวไล้ไปตามเรือนแขนอย่างอ้อยอิ่งราวกับจงใจจะทำให้เธอหายใจติดขัด ก่อนที่คนตัวสูงกว่าจะคุกเข่าลงไปกับพื้น เพื่อทาครีมให้กับขาของเธอ มืออุ่นนั่นค่อยๆบรรจงลูบจากข้อเท้าขึ้นมาที่น่อง และแหวกชุดคลุมออกเล็กน้อยเพื่อขยับมาที่ต้นขา



                เจสสิก้ารู้สึกได้ว่าเธอกำลังเข่าอ่อน และสูญเสียสติสัมปชัญญะให้กับสัมผัสอ่อนนุ่มที่ชวนให้วูบไหวของอีกฝ่ายเอาซะแล้ว ตอนนี้เธอไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว แต่กีรติก็หยุดอยู่แค่นั้น แค่เพียงการทาครีม คนหน้าคมลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ก่อนจะบอกเธอว่าทาครีมเสร็จแล้ว


                 กลับเป็นเธอเสียอีกที่ดึงรั้งอีกฝ่ายเอาไว้ ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วเขย่งตัวเข้าครอบครองริมฝีปากอ่อนนุ่มของคนตัวสูงกว่าอย่างเอาแต่ใจ








                  กีรติไม่นึกแปลกใจกับท่าทีของเด็กดื้อเท่าไหร่นัก อันที่จริงก็คาดเอาไว้แล้วว่ามันต้องลงเอยแบบนี้แน่ คนช่างวางแผนจึงเก็บเกี่ยวดอกผลอันหอมหวานที่ตัวเองหว่านเอาไว้อย่างเพลิดเพลิน สัมผัสริมฝีปากบางของคนตรงหน้าอย่างเนิบช้า ค่อยๆสัมผัสถึงความอ่อนนุ่มและไออุ่นของอีกฝ่าย ขยับไปบดเบียดแนบชิดราวกับตั้งใจจะสำรวจพื้นผิวทุกตารางนิ้วของริมฝีปากเรียวบางนั่น 



                  ปลายลิ้นเรียวค่อยๆสอดเข้าไปขณะจูบเหมือนนักสำรวจที่ไม่กริ่งเกรงต่อภยันอันตราย และก็ต้องชะงักเมื่อถูกอีกฝ่ายกัดเข้าเบาๆเหมือนลูกแมวขี้เล่น และกีรติก็คิดว่าเธอไม่ใช่คนดีนักเพราะเธอไม่อาจให้อภัยเจ้าลูกแมวไม่รักดีตัวนี้ได้ คนหน้าคมเลือกที่จะกัดริมฝีปากบางนั่นเบาๆเป็นการแก้แค้น


                  ช่างเป็นการแก้แค้นที่แสนเหี้ยมโหดเสียเหลือเกิน



                 ก่อนที่อาจารย์สาวจะเริ่มต้นการแก้แค้นครั้งใหม่ด้วยการช่วงชิงลมหายใจของอีกฝ่ายด้วยจูบที่หนักหน่วงและรุกเร้ามากขึ้นกว่าเดิม มือเรียวของอีกคนสอดเข้ามาในเรือนผมของเธออย่างต้องการหาที่ยึดเหนี่ยวจนมันยุ่งเหยิงไม่น้อย



                 

                

                เป็นเวลาไม่น้อยเลยกว่าที่ริมฝีปากทั้งสองจะผละออกจากกัน เพื่อสูดเอาอากาศเข้าปอด ก่อนจะดึงดูดเข้าหากันใหม่ราวกับเเม่เหล็กขั้วตรงข้าม ตามมาด้วยการจูบย้ำๆอีกหลายครั้งราวกับเสียดายเหลือเกินที่ต้องแยกออกจากกัน



               เจสสิก้าคล้องคอของอาจารย์สาวเอาไว้ก่อนจะต้องก้มหน้าหลบ เมื่อสบเข้ากับสายตาหยาดเยิ้มที่พยายามเลี่ยงมาตลอดเมื่อตอนหัวค่ำ อีกฝ่ายหัวเราะในลำคอ ก่อนจมูกโด่งรั้นนั่นจะฝังตัวลงบนแก้มของเธอย้ำๆหลายครั้ง ตามมาด้วยเสียงกระซิบแหบพร่าที่ข้างหู



               "นี่แค่รางวัลเรียกน้ำย่อยนะคะ คุณพร้อมจะทานเมนคอร์สหรือยังคะ?"



                 เอาล่ะ เจสสิก้าคิดว่ารสจูบที่ว่าหวานนั่นมันคงไม่ใช่รสชาติผิวเผินบนปลายลิ้นหรอก แต่คงเป็นความรู้สึกหวานอยู่กลางใจที่เธอกำลังเผชิญอยู่นี่แหละ มันหวานเสียจนอยากจะลิ้มลองอีก หวานเสียจนไม่สามารถสลัดออกจากความคิดได้ หวานเสียจนวันพรุ่งนี้เธอคงจะคิดถึงมันเป็นสิ่งแรกในตอนเช้าที่ตื่นนอน หวานเสียจนเธอคงยิ้มออกมาได้อย่างไม่อายใครแม้จะยืนอยู่คนเดียวกลางถนน




                หวานจนต้องยอมเป็นเมนูอาหารค่ำให้คุณอาจารย์เค้าเลย








Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
Areeya Thoautha (@fb2094402394132)
เขิน...... >////////<
คือแบบไม่คิดว่าพี่ไฟร์ดมีลุกแบบนี้ด้วย ละมุนละไมเหลือเกิน????
Kanomtarn Phimonnat (@fb1607246776049)
เขินแบบ... -/////-
แผ่นดินไหวแต่หนูไม่ไหว หวกสกสวหวฟวสกวกด่ฟสฟวดกว พี่ไพร์ดเหมือนมาชเมลโล่ที่ผ่านการให้ความร้อนอ่ะ จะนุ่มก็นุ่มแบบมีความแข็งน้อยๆอยู่ในตัวพร้อมกับรสชาติที่โดดเด่นกว่ามาชเมลโล่ปกติ #ใจเหลวไปหมด