เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ต้นไม้ย้ายกระถางK4M0L
หันหน้าหาแสง
  • หลังจากที่อัปเดตเรื่องราวก่อนหน้าไปคือช่วงเวลาประมาณ 1 เดือนที่เราได้ฝึกงาน หลังจากนั้นเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นนิดหน่อย(จริง ๆ ก็ใหญ่แหละ) เพราะเราต้องย้ายโรงเรียนไปอยู่ที่ใหม่ จากเดิมโรงเรียนเล็ก ๆ ที่อยู่ในซอย ตอนนี้ไปอยู่ในป่าใหญ่แล้ว มีที่ให้เรียนรู้และวิ่งเล่นกว้างขึ้นกว่าเดิม จากที่เราและเพื่อนวิ่งวนในสวนเล็ก ๆ ตอนนี้ไปวิ่งที่สนามใหญ่ ๆ แทนแล้ว 




    ช่วงแรกที่ย้ายมา เราและเพื่อนได้ไปช่วยครูที่โรงเรียนขนของ จัดของ และทำความสะอาดสถานที่ในโรงเรียน เพื่อให้พร้อมสำหรับการต้อนรับเด็ก ๆ แต่ก็มีบางสถานที่ที่ยังไม่พร้อมใช้งานและกำลังก่อสร้างอยู่ เพราะฉะนั้นจึงต้องคอยระวังเป็นพิเศษทั้งครูและเด็ก ๆ โดยก่อนหน้านี้เราเคยแวะมาที่โรงเรียนใหม่แล้ว แต่ตอนนั้นยังมีเฉพาะอาคารที่กำลังสร้างและกองไม้เต็มไปหมด พอทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทางและมีเด็ก ๆ เข้ามาอยู่ในโรงเรียน อยู่ดี ๆ มันก็รู้สึกเหมือนที่นี่มีชีวิตขึ้นมาเลย(ไม่รู้จะอธิบายยังไง หรืออาจจะเพราะตอนช่วยครูที่โรงเรียนจัดของ เราจะคิดเล่น ๆ ตลอดว่าตรงนี้เด็กคนนี้ต้องชอบแน่เลย หรือที่ตรงนั้นเด็กคนนั้นน่าจะมาอยู่บ่อย ๆ แล้วพอภาพในหัวมันเป็นแบบนั้นจริง ๆ เลยรู้สึกดีแปลก ๆ :)





    การทำงานที่โรงเรียนใหม่ค่อนข้างง่ายมากขึ้นกว่าเดิม เพราะมีครูคนก่อน ๆ กลับมาสอน ทำให้มีจำนวนครูเหมาะกับจำนวนเด็ก เราและเพื่อนเลยได้ช่วยสอนเป็นบางครั้งตามที่ครูแต่ละท่านต้องการ เพราะฉะนั้นเวลาที่อยู่โรงเรียนใหม่เราและเพื่อนเลยได้ทำสื่อและเล่านิทานเยอะมากขึ้น เช่น ระบายสีแผ่นปูนเป็นตัวเลข สระภาษาอังกฤษ และตัวภาษาไทย หรือการทำเครื่องดนตรีจากของเหลือใช้ ดังนั้นเวลาว่าง ๆ เราจึงจะเน้นทำสื่อมากกว่า


    ป๋องแป๋ง

    ระบายปูน



    หน้าที่ต่อมาคือการเล่านิทานก่อนเข้าเรียนสำหรับเด็กเล็กจะเล่าวันอังคารและวันพุธ โดยเล่าจากหนังสือเป็นส่วนใหญ่มีทั้งเด็กที่สนใจและไม่สนใจ แต่เราก็พยายามทำให้ดีที่สุด บางครั้งจึงต้องหาของมาล่อเด็ก ๆ บ้าง เช่น ชวนทำกิจกรรมหลังจากเล่าเสร็จ ตอนนั้นเราเล่าเรื่องเกี่ยวกับกระต่าย จึงสอนเด็ก ๆ พับกระดาษเป็นกระต่ายด้วยวิธีง่าย ๆ ทุกคนชอบมาก ๆ แถมอยากเอามาติดที่เสื้อด้วย และแอบกระซิบบอกเราว่าวันหลังสอนหนูอีกนะ




    วันพฤหัสบดีคือวันเล่านิทานปากเปล่าให้เด็กทั้งโรงเรียนฟัง เราและเพื่อนต้องเล่าเป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษทำให้บางครั้งสับสนในการใช้ภาษา จนเด็ก ๆ ต้องช่วยแก้(แสดงว่าตั้งใจฟังกันมาก555) เป็นกิจกรรมที่ทำให้เราได้เรียนรู้อะไรเยอะมาก ๆ เพราะมีทั้งเด็กที่ชอบและไม่ชอบนิทานที่เราเล่า บางคนก็บอกว่าไม่อยากฟัง ไม่ชอบเรื่องนี้ ไม่สนุก แต่ก่อนเราจะรับฟังแต่ก็พูดชักชวนจนเด็ก ๆ หันมาสนใจ แต่พอเวลาผ่านไป ยังมีเด็ก ๆ บางคนพูดเหมือนเดิม เราเลยกลับมาคิดทบทวนว่าหรือเขาไม่อยากฟังจริง ๆ เราจึงตัดสินใจยอมรับการตัดสินใจของเด็ก เพราะเราเชื่อว่าทุกคนก็มีจุดที่อยากแสดงความคิดและมีความมั่นใจในตัวเองเหมือนกัน(เราก็ควรเชื่อมั่นและเคารพเขาบ้าง เราคิดแบบนั้นนะ) เลยบอกเขาว่า โอเค ถ้าไม่อยากฟังก็ไม่ฟัง สามารถทำอะไรที่อยากทำได้เลย (ด้วยน้ำเสียงที่ปกติ)


    เราดำเนินหน้าที่ของเราไปเรื่อย ๆ แต่ระหว่างที่เราเล่าก็มีเด็กที่บอกไม่อยากฟังมานั่งฟังนะ แต่คนที่ยืนยันจะไม่ฟังและไม่ฟังเช่นกัน สุดท้ายเขาก็มาบอกว่าจริง ๆ แล้วอยากฟังนะ แต่ตอนนั้นเล่นสนุกเลยไม่อยากลุกไปไหน โอเคเราทำความเข้าใจและคุยกันได้เสมอ(ไม่รู้เหมือนกันว่าทำถูกหรือผิดยังไงหรือเปล่า แต่เราเชื่อว่าทุกความคิดหรือความเห็นต่าง ๆ เราคุยและบอกกันได้ เพราะเราก็อยากเปิดใจรับฟังทุกความเห็นจากเด็ก ๆ เช่นกัน)


    เล่านิทานเรื่อง the giving tree




    แม้ว่าบางครั้งจะดูมีปัญหาบ้าง แต่ทุกอย่างผ่านไปได้เสมอ การฝึกงานและการทำสิ่งต่าง ๆ ของเราเหมือนจะเป็นครั้งแรกไปแทบจะทุกอย่าง เพราะเราต้องรับมือกับอะไรใหม่ ๆ เสมอ และด้วยความสัตย์จริง(อีกแล้ว) เราไม่เคยโกรธกับคำพูดของเด็ก ๆ เลย เพราะลึก ๆ แล้วเรารู้อยู่แก่ใจว่า เขาไม่รู้ และการแสดงออกบางอย่างของเขา คือเขาไว้ใจที่จะทำแบบนั้นกับเรา และเขาอาจจะไม่รู้ตัวว่าดีหรือไม่ดี เพราะฉะนั้น "เราคุยกันได้" (เป็นความคิดที่ติดอยู่ในสมองเราแล้ว)






    อีกหนึ่งอย่างที่เราได้ทำร่วมกับเพื่อนคือการสอนตัวเลขเด็กเล็ก คือเลข 1-9 และนำมาสร้างเป็นสิ่งต่าง ๆ ตามจินตนาการ เราจะเรียนสัปดาห์ละ 3 ตัวเท่านั้น เด็ก ๆ ชอบมากเวลาตัวเลขกลายเป็นสิ่งที่เขาคาดไม่ถึง และตื่นเต้นอยากทำทุกครั้งที่เราเข้าไปสอน  แต่ก็มีเด็กบางคนที่เขาจะสนใจเฉพาะตัวเลขที่เขาชอบเท่านั้น(แต่จำได้หมดนะ) เราเลยต้องรับมือกับเด็กไม่เหมือนกัน เด็กที่สามารถทำเองได้ ก็จะปล่อยให้ทำเอง คนไหนที่ต้องเข้าไปช่วยเป็นพิเศษก็จะให้ออกแบบและคอยดูเขาเสมอ


    มีครั้งหนึ่งที่เรากำลังจะออกแบบเลข 7 เป็นสิ่งที่เราคิดไว้ อยู่ดี ๆ เด็กคนหนึ่งก็ตะโกนว่าอยากได้ช้าง ด้วยความที่เขาขอมาขนาดนั้น เลยต้องพยายามทำเลข7 เป็นช้างให้ได้ พอเขาเห็นช้างในแบบที่เขาต้องการ เขาจึงสนใจตัวอื่น ๆ ตาม ตอนนั้นรู้สึกภูมิใจในช้างของตัวเองมาก ๆ :)





    ช่วงเวลาที่เราอยู่ที่โรงเรียนใหม่ เราค่อนข้างทำอะไรหลากหลายมากขึ้น เพราะมีครูเยอะสำหรับการดูแลเด็ก ๆ แล้วบางครั้งเราเลยได้ไปช่วยทำอาหารในครัวตอนที่ว่าง เราอยากทำนะ สนุกดีตอนเด็ดผัก บางครั้งก็ไปปลูกต้นไม้ที่เหลือจากเด็ก ๆ ทำอย่างละนิดละหน่อย ช่วยครูคนอื่น ๆ หยิบจับนู่นนี่ แต่หน้าที่ที่ไม่เคยหายไปไหนคือการวิ่งเล่นกับเด็ก ยังต้องออกกำลังทุกวันตอนเที่ยง ถ้าวันไหนฝนตกทุกคนจะเล่นของเล่นในอาคาร อ่านหนังสือ คุยกับครู



    มีครั้งหนึ่งเราเคยไปนั่งเฝ้าเด็กเล่นน้ำฝน เขาทำทุกอย่างเป็นรูปแบบเดิม ๆ หัวเราะและยิ้มเล่นคนเดียว เตะน้ำให้กระจาย กระโดดไปมา พอเหนื่อยก็เดินมาหาเราให้พาไปล้างขา ตอนที่เรานั่งเฝ้าเขาเราคิดอะไรไปเรื่อย ๆ ชอบคิดว่าดีจังที่ตอนนี้เขามีความสุขกับน้ำฝน โตขึ้นก็อยากให้เขามีความสุขกับอะไรเล็ก ๆ พวกนี้(ทุก ๆ คนเลย) เพราะตอนเด็กเราก็เป็นแบบเขา รู้สึกแปลก ๆ ดีที่เด็กเล่นน้ำฝนคนนั้นโตมาเป็นเราและมองเด็กคนหนึ่งกำลังทำเหมือนที่เราเคยทำ(เหมือนคิดถึงตัวเองตอนเด็ก555) 


















                        _____________________________


    ช่วงที่อยู่โรงเรียนใหม่เป็นช่วงที่เราได้อยู่กับเด็กในสถานะคนที่ดูแลเขาตอนเล่นมากกว่าตอนเรียน มันทำให้เราเห็นอะไรที่แตกต่างจากตอนที่อยู่ห้องเรียนเยอะมาก ๆ (ไม่ได้ดีหรือแย่ไปกว่ากัน แค่แตกต่างเท่านั้น) เราได้รู้ว่าชีวิตไม่จำเป็นต้องเร่งรีบและผิดพลาดได้เสมอ 



    เด็ก ๆ ได้เรียนรู้จากเราที่โตและเจอโลกมานานกว่าเขา และเราพร้อมจะให้คำแนะนำเท่าที่ทำได้ กลับกันเราก็เรียนรู้จากเด็กที่โตกว่าเราในตอนที่เราอายุเท่าเขาเหมือนกัน ถึงเราจะโตกว่าเขาก็จริง แต่เขาและเราโตกันคนละยุคสมัยเพราะฉะนั้นเรามีอะไรให้เรียนรู้และแลกเปลี่ยนกันทุกครั้ง เราโตขึ้นจากเด็กตัวเล็ก ๆ และเราหวังว่าสิ่งเล็ก ๆ ในตัวเราจะช่วยให้เขาโตขึ้นอย่างแข็งแรงบ้างเหมือนกัน









เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
faiinormal (@faiinormal)
เราชอบท่อนที่บอกว่า 'มีความสุขกับอะไรเล็ก ๆ' บางทีถ้าฝนไม่ตกหนักเกินไป เราก็ยังยินดีที่ได้เล่นน้ำฝนนะ คิดถึงตอนเป็นเด็กเลย