เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ห้องตรวจหมายเลข 5นักเล่าเรื่อง
รมควันฆ่าตัวตายจะไปสบายจริงๆ?
  •      "อาทิตย์หน้าม้าจะกลับไปเชงเม้งที่บ้านนะ อยู่คนเดียวได้ใช่มั้ย" แม่ถามด้วยสายตาเป็นห่วงหลังจากที่กดซื้อตั๋วเครื่องบินกลับบ้านที่ต่างจังหวัด 
    ฉันบอกแม่อย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะว่ายังไงก็จะไม่กลับบ้านก่อนปิดเทอมเด็ดขาด ถึงอย่างนั้นแม่ก็มาอยู่เฝ้าฉันตลอดไปไม่ได้ ไหนจะธุระตรุษจีน เชงเม้งอะไรต่อมิอะไรมั่วไปหมด จะไม่กลับไปไหว้ก็ไม่ได้เดี๋ยวอากงอาม่าจะไม่ได้กินเป็ดกินไก่ หลังจากฉันรู้กำหนดการของแม่ความคิดฆ่าตัวตายของฉันยังทำงานผิดปกติอยู่ มันไม่ได้มีความริดฆ่าตัวตายหรือทำร้ายตัวเองอย่างที่น่าจะเป็นเหมือนทุกทีที่อยู่คนเดียว ช่วงนี้ฉันมีงานอดิเรกใหม่คือวาดรูปทำ theme line ขายเล่นๆคลายเครียด นักบำบัดเองก็เห็นด้วยว่าควรหากิจกรรมใหม่ๆทำบ้าง เพื่อเป็นการเบี่ยงเบนความสนใจไปจากความคิดที่บิดเบือนของฉัน (thought distortion) 
         "อยู่ได้ดิ อาหารก็ซื้อเซเว่นเอา ไม่เห็นเป็นไรเลย"
         "แล้วยานี่ต้องกินทุกมื้อห้ามขาดนะ อย่ากินเกินด้วย" ที่จริงความคิดกินยาเกินขนาดของฉันได้ถูกพับเก็บไปนานแล้วหลังจากที่มีอาการไตวายเฉียบพลันเมื่อคราวก่อน
    และแล้ววันนั้นก็มาถึง วันที่แม่ต้องกลับบ้านไปทำเชงเม้งที่บ้านต่างจังหวัด กว่าจะได้ตั๋วราคาถูกกลับมากรุงเทพอีกครั้งก็อีกตั้ง 10 วันให้หลัง ชีวิตในแต่ละวันของฉันคือตื่นเช้ามาดื่มกาแฟ ดูข่าว เปิดยูทูปฟังเพลงแล้วนั่งวาดรูปไปพลาง ถึงเวลากินข้าวก็ลงไปซื้อที่ชั้นล่างของคอนโด บ้างครั้งก็ซักผ้าและทำคามสะอาดคอนโดบ้างถ้าฉันเห็นว่ามันชักจะสกปรกเกินไปแล้ว ส่วนเรื่องยาก็กินควบมื้อบ้างถ้ามื้อก่อนหน้าถูกลืมอย่างช่วยไม่ได้ การทำบำบัด CBT ก็ทำปกติเหมือนที่ทำทุกอาทิตย์
         "ฉันคิดว่าตัวเองและคนที่เป็นโรคซึมเศร้าเป็น Toxic ของคนในสังคมค่ะ" ฉันร้องไห้และบอกนักบำบัดอย่างนั้น นี่คือความคิดที่บิดเบือน (thought distortion) อย่างหนึ่งที่มักจะเกิดขึ้นในสมองของฉัน คือการ labelling ตัวเองว่าเป็นคนอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นภาระบ้าง เป็นคนโง่บ้าง และล่าสุดเป็นตัว toxic ต่อคนในสังคม เพราะฉันบังเอิญไปเห็นทวิตหนึ่งในโซเชี่ยลมาบรรยายถึงความยากลำบากในการรับมือคนเป็นโรคซึมเศร้า เพราะฉะนั้นคนที่เป็นโรคซึมเศร้าก็เป็นตัว Toxic ของคนในสังคมสินะ
         "เราจำเป็นต้องแคร์ความรู้สึกของคนในโซเชี่ยลมากมายขนาดนั้นเลยหรอ คุณเคยถามคนรอบตัวรึยังว่าคุณคือตัว Toxic สำหรับเค้ารึเปล่า" ที่นักบำบัดพูดมามันก็จริง การบ้านในครั้งนั้นของฉันจึงเป็นการไปถามคนรอบตัวว่า 'ฉันเป็นตัว toxic สำหรับคุณหรือไม่ พร้อมเหตุผลประกอบ?' 
    ส่วนใหญ่การบ้านจากการบำบัด CBT ฉันจะทำไม่เคยขาด การบ้านในครั้งนี้ก็เช่นกัน ฉันจะถามคน 7 คนรอบตัวของฉัน แบ่งเป็น เพื่อนที่ป่วยจิตเวช, เพื่อนที่เคยป่วยจิตเวชแต่หายแล้ว, เพื่อนที่ไม่ได้ป่วยจิตเวช, หมอที่ฉันรู้จัก, หมอที่รักษาฉันอยู่, แม่ และน้า 
    แน่นอนว่าฉันคาดหวังให้คำตอบของคำถามต้องตอบว่า "ไม่หรอก เธอไม่ได้เป็น toxic เลย" แต่ๆๆๆ!!! เมื่อฉันถามเพื่อนที่ไม่ได้เป็นโรคจิตเวชของฉัน เค้ากลับตอบว่า 'เป็น toxic เพราะเวลาคุยกับฉันต้องใช้สมองคิดเยอะมากๆๆๆๆ บางครั้งเมื่อหาเหตุผลไม่ได้ว่าฉันมีความคิดนั้นๆได้ยังไง เค้าก็จะ fade ตัวเองออกมา' ตู้ม!!! ความคิดฆ่าตัวตายในสมองทำงานขึ้นมากระทันหัน วันนั้นฉันร้องไห้จะเป็นจะตายอยู่ทั้งวัน มือกดสั่งเตาปิ้งย่างขนาดพกพาและถ่านมาส่งที่ห้อง ตลอด 2 วันที่รอของฉันร้องไห้ทั้งวันทั้งคืน ยาและอาหารนี่ไม่ต้องพูดถึง ฉันไม่ได้กินเข้าไปเลย อารมณ์และความรู้สึกของฉันเลยดิ่งลงเหวสุดๆ
    วันที่เตาปิ้งย่างและถ่านมาส่ง ฉันรีบแะของออกและประกอบชิ้นส่วนอย่างถนัดมือ ที่จริงแล้วนี่ไม่ใช่การรมควันครั้งแรกของฉัน แต่ครั้งนั้นฉันจำได้ว่ามันร้อนและหายใจลำบาก ฉันไม่มีความอดทนมากพอที่จะรอให้ตัวเองขาดอากาศหายใจตาย ฉันถึงได้อยู่มานั่งเขียนบันทึกอยู่ทุกวันนี้ แต่ครั้งนี้ล่ะฉันจะกินยาช่วยนอนให้มากที่สุดเท่าที่จะกินได้ ฉันจะหลับระหว่างรอให้ตัวเองสูด CO เข้าไปเต็มปอดและหมดลมหายใจลงไปช้าๆ
    ก่อนที่ฉันจะรมควันตัวเองในห้องน้ำคอนโดฉันซัดยาคลายกังวลที่มีฤทธิ์ทำให้ง่วงนอนเข้าไปเกือบ 20 เม็ด และยาช่วยนอนอีกเกือบ 10 เม็ด ฉันปิดช่องระบายอากาศในห้องน้ำ ล็อกประตูแน่นหนา แบกเตาปิ้งย่างที่ประกอบแล้วพร้อมถ่านและไฟแช็กเข้าไปในห้อง คราวนี้ฉันจุดเทียนหอมประกอบด้วยเพื่อทำให้ในห้องน้ำมีกลิ่นหอมและทำให้ฉันอดทนอยู่ในนั้นได้นานยิ่งขึ้น การจุดไฟให้ถ่านติดไฟนั้นยังเป็นอุปสรรคอันใหญ่หลวงของฉัน ถึงแม้จะเคยเห็นแม่จุดเตาปิ้งย่างช่วงปาร์ตี้ปีใหม่ที่บ้านน้าทุกปีก็ตาม ขี้ใต้หมดลงอย่างรวดเร็ว ถ่านของฉันก็ยังไม่ติดไฟ ฉันจึงต้องใช้เทียนหอมเป็นเชื้อไฟแทน นั่นแหละถึงจะได้ผล 
    ห้องเริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ เหงื่อแตกเต็มตัวเหมือนอยู่ในซาวน่า กลิ่นถ่านสดใหม่คละคลุ้งปนไปกับกลิ่นเทียนหอมวานิลลา เศษถ่านไหม้ไฟฟุ้งไปทั่วห้องน้ำ ยาที่กินเข้าไปไม่ออกฤทธิ์อย่างที่ฉันคาดไว้ ฉันนอนไม่หลับ และยังไอโครกครากเพราะสำลักควันในห้องน้ำ 15 นาทีผ่านไปคอฉันแห้งเป็นผง ลืนน้ำลายลำบาก และรู้สึกเหมือนมีใครมาอุดจมูกไม่ให้ฉันหายใจ นี่รึเปล่านะเวลาที่คนเรากำลังจะตาย 30 นาทีผ่านไป ฉันยังหายใจฮึดฮัดอย่างยากลำบากและแน่นอนว่ายังไม่ตาย 45 นาทีผ่านไปปากคอฉันแห้งยิ่งกว่าเก่า ฉันต้องหายใจทางปากและสูดเอาเถ้าถ่านเข้าไปจำนวนมาก เกือบ 1 ชั่วโมงผ่านไปฉันทนไม่ไหวและโทรไปขอความช่วยเหลือจากนักบำบัด CBT ของฉัน
         "ก่อนอื่นออกมาจากห้องก่อนนะ" หลังจากฉันออกมาจากห้องน้ำตามคำแนะนของนักบำบัดแล้ว เค้ายังพยายามพูดเกลี้ยกล่อมฉันอีกหลายอย่างว่าฉันไม่สมควรเลยที่จะไปแลกชีวิตกับคำตอบเดียวของเพื่อนคนนั้น อากาศนอกห้องช่างสดชื่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังรู้สึกหายใจลำบาก คอแห้งเป็นทะเลทราย กลืนน้ำลายลำบากมาก และนอนอยู่เฉยๆไม่ได้เพราะรู้สึกเหมือนโดนใครมาบีบจมูกไม่ให้ฉันหายใจอยู่ทั้งคืน 
    คราวนี้ฉันตัดสินใจไม่ไปห้องฉุกเฉินเพราะไม่อยากให้แม่บินฉุกเฉินขึ้นมาที่กรุงเทพอีก เช้าวันต่อมาหลังจากที่ฉันนอนหายใจเฮือกๆอยู่บนเตียงทั้งคืน ร่างกายก็เริ่มประท้วงว่าฉันทรมานร่างกายตัวเองมากเกินไปแล้ว เสียงฉันหาย อาการทอนซิลอักเสบถามหา และเวียนหัวทั้งวัน 2 วันหลังจากเหตุการณ์นั้นฉันจึงรู้สึกดีขึ้น
    สรุปว่าการรมควันครั้งที่ 2 ของฉันก็ล้มเหลวอีกเช่นเคย ที่เหลืออยู่ก็เป็นการกระโดดตึกแล้วสินะ การรมควันไม่ได้ไปสบายอย่างที่ใครหลายๆคนเข้าใจเลย ฉันอิจฉาคนที่ฆ่าตัวตายสำเร็จจริงๆ

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in