เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ห้องตรวจหมายเลข 5นักเล่าเรื่อง
ตื่นขึ้นจากความตายอีกครั้ง
  •      "เจ็บจังเลย" ฉันคิดในใจและมองไปที่ข้อมืออันมีเลือดไหลซึมจนหยดแหมะลงบนพื้น ในมือขวาของฉันมีใบมีดผ่าตัดเบอร์ 11 เปื้อนเลือดคาอยู่ ฉันมองมือซ้ายและมือขวาสลับกัน แปลกมากที่มีความคิดนั้นผุดขึ้นมาในสมอง ก็ความเจ็บไม่ใช่หรอคือสิ่งที่ฉันต้องการในเวลานี้ ความเจ็บไม่ใช่หรอที่สามารถมาแทนความทุกข์ทนในใจของฉันได้ ความเจ็บแปลบไหลเสียดแทงตั้งแต่ข้อมือขึ้นไปเจ้บจี๊ดที่สมอง ฉันเริ่มปวดหัวและร้องไห้หนักขึ้น
         ตื่นมาอีกทีก็ไม่รู้เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ รู้แต่เลือดที่หยดแหมะๆตอนนี้แห้งเกรอะกรังไปแล้ว ฉันใช้สำลีชุบน้ำเกลือล้างแผลล้างคราบเลือดออกจากข้อมือแล้วเก็บของมีคมทุกอย่างไปอยู่ในที่ของมัน ใบมีดใช้แล้วไปนอนอยู่ที่ก้นถังขยะอันตราย ส่วนใบมีดที่ยังไม่ได้ใ้ฉันเก็บไว้ที่เดียวกับเข็มฉีดยาและมีดพับในลิ้นชักข้างเตียงนอน ฉันเก็บทุกอย่างไว้ใกล้มือที่สุด เผื่อว่าวันไหนที่ต้องใช้มัน ไม่ว่าบามที่ต้องการความเจ็บปวดหรือยามมีโจรบุกเข้ามาในห้อง 
         "อยากออกไปสูดอากาศบริสุทธิข้างนอกจัง" ฉันหยิบกุญแจและเดินออกไปนอกห้อง ขึ้นลิฟท์ไปชั้นดาดฟ้า สีเขียวชะอุ่มของหญ้าที่คอนโดตกแต่งไว้สะดุดตา แสงแดดแผวร้อนจ้าแต่ฉันรู้สึกสดชื่นอย่างน่าประหลาด ฉันสูดหายใจฟอดใหญ่เข้าไปในปอด ถึงแม้จะแสบร้อนไปด้วยฝุ่น pm 2.5 แต่ฉันก็รู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่อีกครั้ง ฉันมีความคิดว่าอยากทำอะไรที่มีประโยชน์และเป็นการปูพื้นฐานไปสู่อนาคตที่ยืนยาว!!
         "อนาคตที่ยืนยาว!!" ฉันเนี่ยนะจะมีคำนั้นผุดเข้ามาในสมอง ฉันหามุมร่มๆของดาดฟ้าแล้วนั่งลง เปิดมือถือสไลด์เฟสบุ๊คไปเรื่อยๆ ข่าวการเปิดรับสมัครบุคคลภายนอกเข้าร่วมเรียนในวิชาภาษาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยชื่อดังมากๆแห่งหนึ่งผ่านเข้ามาสู่สายตา นี่แหละอนาคตอันใกล้ของฉัน ฉันเสิร์ชหารายละเอียดและข้อมูลการสมัครต่างๆในเว็บไซต์โดยที่ไม่รู้เลยว่าอีกประมาณ 1 เดือนหลังจากนั้นฉันจะมานั่งปวดหัวกับการเรียนวิชาที่ฉันไม่เคยเรียนมาก่อน
         อย่างไรก็ตามหลังจากที่ฉันสมัครเข้ารวมเรียนในฐานะบุคคลภายนอกไปแล้วฉันก็ไม่ลืมที่จะหาข้อมูลในการเรียนต่อปริญญาโท-เอกเสียด้วยเลย
         "วันนึงพอลูกโตขึ้น แม่อยากเห็นลูกมีคำว่า ดร. นำหน้าชื่อ และต่อไปก็จะเป็น ผศ. รศ. และ ศ. ตามลำดับ" ภาพของแม่ที่กำลังจูงมือฉันอยู่พูดกับฉัน ฉันจำได้ว่าวันนั้นเราเดินไปซื้อชาเย็นด้วยกันที่ตลาด พอขากลับเราเดินผ่านป้ายหาเสียงของดร.คนหนึ่ง และแม่ก็พูดขึ้นมาด้วยความอารมณ์ดี ตอนนั้นฉันยังเด็กนัก ยังไม่รู้ว่าการได้มาซึ่งคำนำหน้าทางวิชาการเหล่านั้นต้องทนทุกข์และฝ่าผจญความเครียดความเหนื่อยยากมากเท่าไหร่ ฉันจึงตอบรับคำของแม่ไปว่า "อืม"
         มาถึงวันนี้ถึงแม่จะละทิ้งความฝันอันนั้นไปแล้ว เพราะเห็นว่าฉันโดนโรคร้ายรุมเร้าเกินกว่าจะเรียนอะไรได้อีก ฉันเองก็เช่นกัน เคยถอดใจแล้วว่าชาตินี้คงทำตามความฝันของแม่ไม่ได้ แต่ในวันนี้ความหวังนั้นมันผุดพราวขึ้นมาในหัวสมองของฉันเหมือนฟืนที่มอดดับแล้วจู่ๆไฟก็ติดพรึ่บขึ้นมาซะอย่างนั้น อย่างน้อยก็ต้อง ดร. ฉันจะคว้ามันมาให้แม่ให้ได้
         "แล้วไม่อยากตายแล้วหรอ?" สมองซึ่งขาดสารเซโรโทนินของฉันถามขึ้น
         "ไม่ล่ะ ไม่ใช่ตอนนี้ ขอฉันใช้ชีวิตอยู่อีกซักหน่อย เรื่องตายค่อยว่ากัน" ฉันตอบสมองไปในใจ
         ชีวิตของฉันมันเหมือนจะดีขึ้น ดีขึ้น และดีขึ้น ฉันผู้ใช้เวลาคุยกับจิตแพทย์ในห้องนานเป็นชั่วโมง ในวันหนึ่งที่ฉันไปพบหมอ N ฉันเข้าไปนั่งยิ้มภายใต้หน้ากากผ้า แล้วบอกหมอว่า "อยากจะคุยกับหมอให้นานๆนะ แต่ไม่รู้จะคุยอะไรจริงๆ" "ก็ดีแล้วนี่ครับ หมอถือว่านั่นเป็นสัญญาณที่ดีนะ หมอดีใจนะที่เห็นรอยยิ้มของคุณ" หมอตอบกลับมาอย่างนั้น วันนั้นฉันเข้าไปพบหมอไม่ถึง 15 นาที
         "ฉันจะฆ่าตัวตายทันทีหลังเรียนจบ" ข้อความนี้มันเข้ามาในหัวของฉันอีกแล้ว เหมือนครั้งนั้นเมื่อจะเข้าเรียนปริญญาตรี ข้อความเดียวกันนี้ก็เข้ามาหลอกหลอนฉันอยู่ทุกวันเหมือนกัน ฉันตั้งใจเรียนเพื่อเอาเกียรตินิยมมาเป็นของขวัญให้แม่ เพื่อวันนึงที่ฉันตายไปแม่จะได้ยกโทษให้ ถึงแม้ว่าลูกคนนี้จะไม่ได้อยู่เลี้ยงดูแม่ยามแก่เฒ่า แต่อย่างน้อยตอนที่มันมีชีวิตอยู่ มันก็ยังตั้งใจเรียน น่าเสียดายที่ตอนนั้นฉันได้งานทำเสียก่อน ทำให้ฉันต้องสู้ชีวิตหลังเรียนจบเรื่อยมาจนมาเจอโรคย้ำคิดย้ำทำและโรคซึมเศร้า ฉันพยายามฆ่าตัวตายประมาณ 8 ครั้งเห็นจะได้ แต่ประตูนรกก็ไม่เปิดต้อนรับฉัน แต่คราวนี้ล่ะ มันต้องเปิดออก ฉันจะฆ่าตัวตายหลังเรียนจบจริงๆแล้วนะ
         หลังจากนั้นฉันใช้ชีวิตอยู่ด้วยความสบายใจ ไม่มีความคิดอยากฆ่าตัวตายเมื่อยังไม่ถึงเวลาที่ฉันวางแผนเอาไว้ ไม่มีความคิดทำร้ายตัวเองอีกต่อไปและเริ่มอายที่รอยแผลเก่าๆมันออกมาโชว์หราอยู่นอกร่มผ้า ฉันมักใส่เสื้อคาดิแกนแขนยาวปิดท่อนแขนเอาไว้ท่ามกลางอากาศร้อนเร่าในเมืองกรุง
         เวลาผันผ่านต่อไปเรื่อยๆ จนมาถึงช่วงการสมัครเรียนต่อ "ทางสาขาวิชารับสมัครไม่เกิน 5 คน" ข้อความนี้โชว์หราอยู่บนกระดาษบอกเงื่อนไขการรับสมัคร ความกลัวและกังวลวิ่งกันวุ่นในหัว 
         กลัว - ว่าความตายมันเดินเข้ามาใกล้ฉันเร็วกว่าที่คาดไว้
         กังวล - ว่าฉันจะสอบเข้าไม่ได้และต้องฆ่าตัวตายภายในปี 2565 นี้

         รายงานข่าวพบผู้เสียชีวิตกระโดดลงมาจากดาดฟ้าตึกสูง 29 ชั้นบนคอนโดชื่อดังแห่งหนึ่ง สืบทราบว่าเกิดจากความเครียดที่ไม่สามารถสอบเข้าศึกษาต่อได้ ด้านพ่อและแม่ของผู้ตายร่ำไห้บอกว่าลูกสาวป่วยเป็นโรคซึมเศร้าและรักษามานาน อาการเหมือนจะดีขึ้นแล้วจึงวางใจให้อยู่คนเดียวได้ ปกติผู้ตายเป็นคนอารมณ์ดีและเป็นที่รักของเพื่อนฝูง

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in