เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ห้องตรวจหมายเลข 5นักเล่าเรื่อง
ชายผู้พรากชีวิต
  • มีงานวิจัยและบทความหลายๆ แหล่งที่พูดถึงปัจจัยการเกิดโรคทางจิตเวช ไม่ว่าจะเป็นกรรมพันธุ์,สารสื่อประสาทในสมองผิดปกติ, การเผชิญความเครียด, การเผชิญความเปลี่ยนแปลง และปัญหาด้านความสัมพันธ์ก็เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคทางจิตเวชได้เช่นกัน

                ฉันมีเพื่อนสนิทผู้ชายอยู่คนหนึ่งรู้จักกันมาตั้งแต่ประถม 3และเป็นเพื่อนเล่นกันมาตลอดตั้งแต่วัยเล่นเป่ารถกระดาษไปยันวัยเล่นหุ้นเขาก็เป็นคนปกติธรรมดาอย่างเรา ๆ นี่แหละ ไม่ดีไปเสียหมด ไม่แย่ไปเสียหมดชีวิตเป็นสีเทา ๆ เราสองคนมีอะไรหลาย ๆ อย่างคล้ายกัน แต่มีสิ่งเดียวที่ต่างกันอย่างสุดขั้ว(ถ้าไม่นับเรื่องเพศ) นั่นคือ เขาเป็นคนมองโลกในแง่บวกอยู่เสมอแต่ฉันเป็นคนมองโลกในแง่ลบเมื่อต้องเผชิญกับปัญหาเดียวกันเขาและฉันจะมีความคิดแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

                โลกมันก็เป็นของมันอย่างนี้แหละ ดีบ้างร้ายบ้างก็ต้องเรียนรู้กันไปเขาคิดอย่างนี้

                ทำไมคนที่เจอเรื่องอะไรอย่างนี้ต้องเป็นฉันด้วยฉันเป็นคนผิดเองที่เกิดมา แต่ฉันกลับคิดอย่างนี้และเกิดจินตนาภาพด้านลบโทษตัวเองวนซ้ำๆ ในหัวไม่รู้จบไปหลายวัน

                มันจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อคนสองคนที่มีทัศนคติต่างขั้วกันมาเป็นเพื่อนกันบางคนอาจจะคิดว่าฉันได้ซึมซับโลกอันสวยงาม ได้แง่คิดในการใช้ชีวิตจากคนคิดบวกจนฉันหายเป็นปกติแต่ไม่เลย ภาวะย้ำคิดย้ำทำของฉันเป็นฝ่ายชนะทุกครั้งมันคอยพัดเอาความคิดด้านบวกที่ฉันรับรู้จากเขามาจนมลายหายไปและเป็นปกติที่คนเราไม่ว่าจะเป็นคนมองโลกในแง่บวกหรือมองโลกในแง่ลบจะต้องการอยู่ใกล้ๆ คนที่มองโลกในแง่บวกเสมอ เพื่อความสบายใจและไม่มีรัศมีความคิดลบดำมืดมาคอยปกคลุมโลกของเขานั่นจึงเป็นปัญหาเรื้อรังที่เราสะสมกันมานานนับสิบ ๆ ปีในความสัมพันธ์

                “ทำไมคิดลบได้ขนาดนี้หัดมองโลกในแง่บวกเสียบ้าง”

                “ใคร ๆ เขาก็ต้องเจอปัญหากันทั้งนั้นไม่ใช่เธอคนเดียวเสียหน่อย”

                “หัดมองคนอื่นที่เขาไม่มีโอกาสได้ใช้ชีวิตอย่างเธอบ้าง”

                ช่วงแรก ๆ คำพูดพวกนี้มันเหมือนเป็นคำพูดที่คอยสอนคอยเตือนถึงแม้น้ำแห่งจินตนาภาพชั่วร้ายจะท่วมในสมองของฉัน แต่ฉันก็พยายามซึมซับความคิดและทำตามที่เขาบอกมาตลอดเขาจึงเป็นเหมือนที่ปรึกษาในยามที่ฉันทุกข์และเครียด แต่นานวันเข้าคำพูดพวกนั้นมันไม่ได้ทำให้ฉันดีขึ้นและหวนกลับมาทำร้ายตัวฉันเอง

                ทำไมฉันถึงไม่มีความสุขฉันมีทุกอย่างทั้ง ๆ ที่คนอื่นเขาไม่มี

              ทำไมคนอื่นเขาใช้ชีวิตอยู่กับความทุกข์ได้แต่ฉันร้องไห้ไม่หยุด

              ฉันผิดเองที่เกิดมาและมีความคิดด้านลบขนาดนี้

                เขาไม่ได้มาทำหน้าที่ปิดรอยรั่วของกำแพงเขื่อนอย่างที่ฉันคิดไว้แต่ทำหน้าที่เปิดประตูปล่อยน้ำให้ไหลท่วมพื้นที่ที่มันท่วมอยู่แล้วต่างหากฉันยังไว้ใจเขาและให้เขาเป็นที่ปรึกษาทั้ง ๆ ที่ความเป็นเพื่อนของเรามันกระท่อนกระแท่นเต็มที

                “เป็นอะไรอีกเนี่ยทำไมเธอชอบดราม่าจัง อะไร ๆ ก็ร้องไห้” คำพูดนี้ทำฉันหน้าชาไปเลย

                ตอนนั้นฉันและเขายังไม่รู้จักโรค OCD ยังไม่รู้ว่าฉันกำลังจะกลายเป็นผู้ป่วยจิตเวชฉันจึงโยนความผิดทั้งหมดไปที่เขา เป็นเพราะเขาฉันจึงร้องไห้เป็นเพราะเขาฉันจึงเสียใจ ฉันยังไม่ตระหนักว่าสารเซโรโทนิน[1]ในสมองกำลังอยู่ในระดับที่ผิดปกติ

                ฉันยังทนฟังเขาพูดอยู่ทำไมอีกไม่ใช่เพราะคำพูดพวกนี้เหรอที่ทำให้ฉันรู้สึกแย่

                ฉันคิดได้อย่างนี้แล้วเริ่มตีตัวออกห่างจากเขาทันทีฉันปิดการติดต่อทุกอย่างจากเขาไม่ว่าจะเป็นในโลกจริงหรือโลกออนไลน์มันเหมือนการที่คนติดคาเฟอีนงดกินกาแฟแบบหักดิบ นอกจากจะเลิกเสพไม่ได้แล้วสุดท้ายผลเสียของการงดสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้จะย้อนกลับมาทำลายตัวของผู้เสพเอง

                ฉันคิดถึงเขา ไม่แน่ใจว่าในแง่ไหนความสัมพันธ์แบบเพื่อน หรือแท้จริงแล้วฉันคิดกับเขามากกว่านั้นและกำลังอกหักความรู้สึกมันเหมือนครึ่งหนึ่งของชีวิตหายไปในพริบตาประตูปล่อยน้ำจากเขื่อนที่เขาเปิดค้างไว้ แทนที่ฉันจะไปปิดมันแต่การตัดขาดแบบหักดิบอย่างนี้เปรียบเสมือนฉันยิ่งไปเปิดให้มันกว้างขึ้น จินตนาภาพอันเลวร้ายไหลทะลักท่วมสมองจนฉันนอนร้องไห้ทุกคืนถ้าโชคดีที่คืนใดฉันนอนหลับ คืนนั้นจะเป็นคืนที่ฉันฝันร้ายสุดชีวิต

                ไม่ต้องบอกก็พอจะรู้กันอยู่แล้วว่าปัญหาการนอนไม่หลับหรือนอนไม่เพียงพอจะส่งผลให้ในตอนกลางวันรู้สึกไม่สดชื่นขาดสมาธิ อ่อนเพลีย อารมณ์ไม่ร่าเริง และความสามารถทางสังคมลดลงผลกระทบที่ว่ามานี้เป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นเลยในวัยทำงาน และความซวยของฉันก็คือวันที่ฉันตัดขาดจากเขา คือวันที่ฉันเริ่มงานใหม่วันแรก

                ขอเล่าย้อนหลังไปสักเล็กน้อยก่อนว่าหลังจากกลับมาจากWorkand Travel แล้ว ฉันได้งานที่เกี่ยวข้องกับสาขาวิชาที่ฉันเกลียดมากที่สุดก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นงานที่ทำอยู่ปัจจุบันนี้ฉันเคยเป็นคนสอนภาษาไทยให้ชาวต่างชาติที่สถาบันสอนภาษาแห่งหนึ่งสิ่งที่ฉันเกลียดในโลกนี้มีอยู่ 2 อย่างด้วยกัน(ถ้าไม่นับแมลงสาบ) นั่นคือ การเป็นครู และภาษาไทยฉันจับสองสิ่งที่เกลียดที่สุดมายำรวมกันแล้วประกอบอาชีพนั้นอยู่ 9 เดือนเต็ม ๆ จนแทบจะมอบโล่แห่งความอดทนให้ตัวเอง

                ระหว่างที่ทำงานเป็นคนสอนภาษาไทยให้ชาวต่างชาติ(ฉันจะไม่ใช้คำว่าครูหรืออาจารย์) ฉันได้ใช้ความรู้ที่ได้รับมาจาก ชายผู้ช่วยชีวิตของฉันอย่างเต็มที่ฉันหวังเพียงว่าท่านจะดีใจและยินดีที่ลูกศิษย์ได้นำความรู้ของท่านมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตได้  ช่วงแรก ๆ ฉันก็ยังไม่รู้สึกรังเกียจตัวเองมากนักหรอกเพราะทุกครั้งที่ได้สอน ใบหน้าของอาจารย์ก็ลอยแทรกเข้ามาเสียงที่อาจารย์เคยสอนฉันก็วิ่งเข้ามาในสมองด้วย แต่เมื่อหลักสูตรการสอนทุกอย่างลงตัวแล้วไม่ว่าจะเปลี่ยนชั้นเรียนเปลี่ยนนักเรียนไปกี่คน ความรู้ก็วนลูปอยู่ที่กอเอ๋ยกอไก่อ่านออกเสียงยังไงอยู่ดีภาพและเสียงของอาจารย์เริ่มจางลงจนหายไปในที่สุด เหลือไว้เพียงจินตนาภาพอันเลวร้ายที่ท่วมท้นความรู้สึกรังเกียจตัวเองมันเริ่มพุ่งเข้ามาทันที

                โง่จริง ทำไมฉันเลือกทำงานนี้นะนึกว่าการเปลี่ยนงานมันง่ายนักเหรอ

                ฉันทนไม่ไหวอีกแล้วจนต้องหางานใหม่ทำงานที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเป็นผู้สอน ไม่เกี่ยวข้องกับภาษาไทยจนมาเจองานที่เปลี่ยนชีวิตฉัน

                ฉันทำงานเกี่ยวกับการขายตั๋วเครื่องบินในบริษัททัวร์เล็กๆ แห่งหนึ่ง ต้องใช้ภาษาอังกฤษในการทำงานและคุยกับเพื่อนร่วมงานถึง 90% แต่อย่าเรียกว่าคุยเลย เรียกว่า คนใบ้ จะดีกว่า ถ้ายังจำกันได้ตอนมอสามที่ฉันเริ่มก่อกำแพงกั้นตัวเองออกจากสังคมรอบข้างจนกระทั่งถึงวัยทำงานกำแพงนั้นก็แข็งแกร่ง สูงใหญ่ทนทานมากเกินกว่าที่ฉันจะออกปากพูดคุยกับใครได้นี่เป็นสิ่งที่พนักงานเก่าไม่ต้องการจากพนักงานใหม่

                เนื้องานใหม่ สังคมใหม่ ภาษาการสื่อสารใหม่ประจวบเหมาะกับการตัดขาดความสัมพันธ์จากเพื่อนเก่า สมองเน่า ๆ ก้อนเก่าและการนอนหลับไม่เพียงพอ ทำให้สมาธิของฉันหลุดลอย สติขาดสะบั้นฉันลืมทุกสิ่งอย่างที่พี่ที่ทำงานสอน สมองของฉันเต็มไปด้วยความคิดด้านลบและไม่มีพื้นที่เหลือไว้จดจำรายละเอียดงานใหม่ๆ อีกต่อไป

                งานเกี่ยวกับสายการบินเป็นงานที่ไม่ควรผิดพลาดเลยแม้เพียงเล็กน้อยไม่ว่าจะเป็นชื่อนามสกุลของผู้โดยสาร วันเดินทาง เส้นทางบิน เวลาบินและการส่งตั๋วให้ลูกค้าถ้าผิดแม้แต่นิดเดียวนั่นหมายถึงค่าใช้จ่ายที่ตามมาอย่างมหาศาล

                แต่ฉันกลับทำผิดทุกรูปแบบ!

                ทำไมคนอื่นเก่งจังเลย ฉันมันโง่เองฉันไม่เหมาะกับที่นี่ อาการย้ำคิดเริ่มทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ ยิ่งคิดมากยิ่งทำงานพลาดมาก บริษัทยิ่งเสียหายมาก

                “พี่บอกไปกี่ครั้งแล้วแกลืมอะไรนักหนาวะ” คำพูดจากพี่ที่สอนงานเป็นเหมือนเครื่องกระตุ้นให้ปล่อยความคิดด้านลบออกมาจากเขื่อนเร็วและแรงขึ้น

                การปรับตัวเป็นสิ่งสำคัญฉันรู้ดีหลังจากที่ฉันเริ่มทำใจเรื่องเพื่อนเก่าได้ระยะหนึ่ง (เหมือนอาการลงแดงของคนหักดิบคาเฟอีนมันดีขึ้น)ฉันก็เริ่มมีสติในการทำงาน พลาดน้อยลง ทำงานได้เร็วขึ้นและทำงานได้เพียงลำพังโดยไม่ต้องมีใครมาคอยบอกคอยเตือนนั่นเป็นสัญญาณที่ดีในการปรับตัวของฉัน

                “เราว่านะ พวกคนที่คิดฆ่าตัวตาย,คนซึมเศร้า, คนที่เป็นโรคทางจิตเวชอ่า มันเหมือนเป็นคนที่เอาเปรียบคนอื่นแค่บอกว่าตัวเองป่วยก็ทำให้คนอื่นเดือดร้อนได้โดยที่ไม่ต้องรับโทษอะไรเลยเหรอพูดนั่นพูดนี่ก็ไม่ได้ เดี๋ยวไปกระทบจิตใจเขาอีกเขาไม่คิดถึงครอบครัวเขาบ้างเลยเหรอ”

                วันหนึ่งขณะนั่งทำงานหน้าคอมฉันก็ได้ยินเสียงเพื่อนร่วมงานคุยกันถึงเรื่องคนเป็นโรคทางจิตเวชเพราะช่วงนั้นมีข่าวคุณลุงคนหนึ่งที่ฆ่าตัวตายสำเร็จหลังจากบ่มเพาะโรคจิตเวชเอาไว้นานถึง2 ปี ฉันยอมรับว่าฉันสะดุ้งเฮือกใหญ่เพราะฉันเองก็เคยคิดฆ่าตัวตายมาแล้วหลายครั้ง และฉันไม่อยากขึ้นชื่อว่าเป็นคนที่เอาเปรียบใครด้วยอาการป่วยทางจิตเวช

                วันนั้นฉันนั่งน้ำตาไหลเงียบ ๆ หน้าคอมตัวเองโชคดีที่คอมพิวเตอร์บนโต๊ะใหญ่พอที่จะบังใบหน้าของฉันได้มิดชิดแต่โชคร้ายที่ห้องทำงานเล็กเกินไปจนได้ยินเสียงคุยของเพื่อนร่วมงานชัดเจน

                ฉันคือคนที่เคยคิดฆ่าตัวตายฉันคือคนที่ได้ชื่อว่าเป็นคนเอาเปรียบสังคม

              ฉันคิดวนเวียนอยู่แค่นี้อยู่นานนับเดือนจินตนาภาพในหัวของฉันมักฉายภาพฉันยืนอยู่ท่ามกลางคนในสังคมมากมายทุกคนพร้อมกันชี้หน้าด่าฉันด้วยถ้อยคำที่โหดร้ายและเสียงดังบางคนไล่ฉันออกไปจากสังคม เสียงของเพื่อนร่วมงานคนนั้นมันดังที่สุด ชัดเจนที่สุดต่อมน้ำตาของฉันตอบสนองต่อภาพเคลื่อนไหวและเสียงที่โหดร้ายเหล่านั้นได้ดีมันไหลออกมาไม่หยุด ฉันต้องแกล้งทำเป็นหาวและขยี้ตาทั้งวันเพื่อไม่ให้ใครรู้ว่ากำลังร้องไห้อยู่

                ไม่เอาแล้ว ฉันทนไม่ไหวแล้ว ฉันต้องทำอะไรสักอย่าง

                ความคิดทนไม่ไหวแล้วของฉันมันปรากฏขึ้นมาอีกครั้งเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้แต่คราวนี้สิ่งที่ฉันตัดสินใจไม่ใช่การฆ่าตัวตายแต่เป็นการที่พาตัวเองไปพบจิตแพทย์ ฉันจะไม่ยอมแพ้ต่อคำครหาของเพื่อนร่วมงานคนที่เคยคิดฆ่าตัวตายไม่ได้เป็นคนที่เอาเปรียบใคร

                ฉันพกความมุ่งมั่นทั้งหมดนั้นค้นหาโรงพยาบาลที่มีจิตแพทย์ในอินเทอร์เน็ตแล้วจองคิวทันทีจำได้ว่าตอนที่โทรไปนัดคือเดือนกันยายน ฉันได้คิวเข้าพบหมอต้นเดือนพฤศจิกายนระหว่างสองเดือนนี้จิตใจฉันทั้งย่ำแย่ ทั้งหดหู่ ตื่นเต้น ไม่สบายใจ และยังต้องฟังคำพูดของเพื่อนร่วมงานในรูปแบบต่างๆ กัน ก็อย่างว่าคนเรากำหนดคำพูดและทัศนคติของคนอื่นไม่ได้สิ่งที่กำหนดได้คือทัศนคติของตัวเราเอง ซึ่งตอนนั้นมันจมอยู่ใต้ทะเลความคิดเสียแล้ว

                เคยเห็นคนยืนร้องไห้ในรถไฟฟ้าแบบไม่มีเหตุผลไหม?มองมาที่ฉันสิ



    [1] สารเซโรโทนิน(Serotonin) คือสารสื่อประสาทที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับสมองและการแสดงอารมณ์ต่างๆ

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in