เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ห้องตรวจหมายเลข 5นักเล่าเรื่อง
น้ำขุ่น
  • วันนี้ฉันตื่นเช้าไปพบหมออย่างเคยหน้าห้องตรวจหมายเลขห้ามีคนมารอใช้บริการเยอะมาก เพราะอาทิตย์หน้าและอีกหลาย ๆ อาทิตย์ถัดมาหมอจะไม่อยู่และติดวันหยุดนักขัตฤกษ์ที่คลินิกนอกเวลาราชการต้องหยุดเป็นปกติฉันสังเกตเห็นหลายคนมากับครอบครัว บางคนมากับพ่อแม่ บางคนมากับสามีหรือภรรยาถึงแม้พวกเขาจะมีเรื่องเครียดหรือมีอาการทางจิตเวชที่ดูเหมือนจะหนักกว่าฉันเสียอีกแต่พวกเขาก็ไม่เคยโดดเดี่ยว ครอบครัวพร้อมที่จะอยู่เคียงข้างพวกเขาเสมอความจริงฉันเองก็เหมือนกัน ถึงแม้ฉันจะไม่ได้มากับครอบครัวแต่ฉันรู้ดีว่าพวกเขาพร้อมที่จะช่วยเหลือฉันตลอดเวลาที่ร้องขอแต่แค่ในความรู้สึกแล้วน้ำแห่งจินตนาภาพชั่วร้ายมันบังคับให้ฉันรู้สึกโดดเดี่ยวมากกว่าก็เท่านั้นเอง

                ฉันหยิบเสื้อคลุมมาห่มตัวเองแล้วหลับไปข้างๆ ครอบครัวสุขสันต์พวกนั้นด้วยความอ่อนเพลีย ยานอนหลับที่หมอเพิ่มโดสมาให้นอกจากจะไม่แก้อาการตื่นตอนกลางคืนของฉันแล้วมันยังทำให้ฉันฝันร้ายเรื่องเดิม ๆ และตื่นขึ้นมากลางคืนอย่างน้อย 2-3 รอบอีกด้วย ส่งผลให้ตอนกลางวันและตอนทำงานฉันอ่อนเพลียมากไม่มีสมาธิทำงาน เพิ่มระดับคาเฟอีนในสมองด้วยกาแฟ 5 แก้วแล้วก็ยังไม่ตื่นการเปิดเปลือกตาของฉันมันยากขึ้นเหมือนมีใครเอาสก๊อตเทปมาติดมันเข้าด้วยกันไม่ให้เปิดขึ้นได้ฉันต้องใช้สมาธิกับการทำงานมากขึ้นกว่าเดิม 20 เท่า

                “เป็นยังไงบ้างครับอาการ”

                “นอนไม่หลับค่ะหมอฝันร้ายเรื่องเดิม ๆ ค่ะ เบื่อแล้ว”ฉันบรรยายเรื่องอาการนอนไม่หลับให้หมอฟังอย่างละเอียด

                “ผมมีทางเลือกให้คุณ2 ทาง หนึ่งคือเพิ่มโดสยาสองคือเปลี่ยนตัวยาใหม่”

                ฉันเลือกอย่างที่สองคือเปลี่ยนยาตัวใหม่จะว่าฉันชอบลองของใหม่ก็ได้ แต่การเพิ่มโดสยาไปเรื่อย ๆ ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็ไม่ได้รู้สึกดีกับยาตัวนั้นไม่ใช่คำตอบในทางจิตเวชสำหรับฉันการปรับยาในทางจิตเวชเป็นเรื่องปกติของผู้ป่วยแทบจะทุกคน ผู้ป่วยกว่าร้อยละ 95 ไม่ถูกกับยาที่ใช้ตั้งแต่ตัวแรก การปรับยานี้ไม่ใช่ใช้แต่กับยากลุ่มต้านเศร้าเท่านั้นแต่ยังรวมไปถึงยานอนหลับหรือยาคลายกังวลพวกนี้ด้วย สุดท้ายหมอเลยจัดยา Diazepamมาให้ 1 กระปุกเล็ก ๆ น่ารัก

                ยาDiazepam หรือบางคนคุ้นกับชื่อว่าValium คือ ยาที่จัดอยู่ในกลุ่มยาที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทที่ต้องสั่งโดยแพทย์เท่านั้นโดยมากใช้รักษาภาวะวิตกกังวล, ชัก, ย้ำคิดย้ำทำ และอาการถอนเหล้าเพราะฉะนั้นข้างขวดยาน่ารักของฉันจึงมีข้อบ่งใช้ว่า ไม่ควรดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ขณะที่ใช้ยานี้เมื่ออ่านได้อย่างนี้แล้ว ทะเลแห่งความคิดชั่วร้ายมันก็เริ่มคลั่งอีกครั้ง

                แล้วถ้าฉันซัดยานี้ทั้งกระปุกพร้อมยินโทนิกเย็นๆ สักแก้วล่ะ ฉันสะบัดความคิดนี้ออกไม่ได้เลยทั้งวัน

                กลับมาตอนพบหมอหลังจากที่พูดคุยกันไปอีกสองสามประโยคเรื่องนอนไม่หลับฉันก็เข้าสู่เรื่องทำร้ายตัวเองหลังจากที่มีดผ่าตัดของฉันโดนเอาไปทิ้งเสียแล้วตอนที่ครอบครัวรู้เรื่องฆ่าตัวตายฉันก็ไปซื้อปากกาเจาะเลือดมาเจาะแขนของตัวเองจนเป็นรอยช้ำจ้ำเลือดเต็มแขนไปหมดความจริงเรื่องนี้หมอเคยแนะนำว่าให้ไปหาลูกบอลบีบมือมาแล้วบีบมันหรือปามันออกไปจากตัว แต่ในเมื่อวิธีนี้มันไม่ได้ช่วยอะไรปากกาเจาะเลือดจึงกลายมาเป็นคำตอบแทนลูกบอลและมีดผ่าตัด

                “หมอมีคำแนะนำอะไรดีๆ เกี่ยวกับเรื่องทำร้ายตัวเองบ้างคะ”ทันทีที่พูดจบหมอเหลือบไปที่รอยจ้ำเลือดบนแขนของฉันฉันคิดไว้แล้วว่าหมอต้องสังเกตมานานแล้วแต่หมอเพียงรอให้ฉันเป็นคนเปิดประเด็นเท่านั้น

                “ตอนที่คุณทำร้ายตัวเองคุณรู้สึกยังไงครับ”

                “ก็รู้สึกว่าพอเห็นเลือดแล้วมันรู้สึกผ่อนคลายรู้สึกดี ยิ่งเป็นความเจ็บกับเห็นรอยจ้ำเลือดด้วยแล้ว มันยิ่งทำให้รู้ว่านี่คือสิ่งที่สมควรโดน เพราะทุกวันนี้ก็มีแต่คนพูดว่า เธอมันทำให้คนอื่นเป็นห่วง เธอมันไม่รักตัวเอง อะไรประมาณนี้น่ะค่ะ”

                “ผมว่าเขาคงพูดไปเพราะหวังดีนั่นแหละแต่เขาแค่ไม่เข้าใจความรู้สึกคุณ ต่อให้คุณเป็นโรคอะไรหรือมีความคิดร้ายแรงยังไงมันก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะมีใครสมควรโดนลงโทษด้วยความรุนแรงอย่างนี้”

                เพราะคำพูดหมอคำนี้แหละทำให้น้ำตาฉันร่วงอีกแล้วเหมือนหมอคือคนเดียวในโลกที่เข้าใจฉันท่ามกลางหมู่คนอีกหมื่นล้านคนบนโลกใบนี้ฉันรักตัวเองมากฉันรู้ดี และฉันก็รู้ด้วยว่าคนรอบข้างก็รักฉันมากเช่นเดียวกันแต่ทะเลความคิดชั่วร้ายมันสามารถก่อตัวเป็นคลื่นลูกใหญ่มาโจมตีสมองฉันได้ตลอดเวลาเท่านั้นเองฉันไม่สามารถควบคุมคลื่นยักษ์พวกนั้นได้เลย

    เขาไม่ได้หวังดีกับฉันจริง ๆ หรอกเขาแค่พูดอะไรสักอย่างออกมาเท่านั้นเอง

    ไม่มีใครรักฉันจริง ๆ หรอกเขาแค่บังเอิญเกิดมาเป็นคนรอบตัวฉัน

    ไอ้คำพูดที่ว่า มีอะไรพูดได้นะเว่ย เป็นคำพูดที่เขาโกหกจริง ๆ ไม่มีใครอยากฟังเรื่องด้านลบของคนอื่นนักหรอก

                “เอาอย่างนี้นะคุณลองไปต่อยมวยไหม” หมอพูดเมื่อเห็นฉันน้ำตาไหลและเริ่มเหม่อลอย

                “โอ้โห! หมอ ตอนนี้เวลาจะกินจะนอนยังไม่ค่อยมีเลยยังต้องไปหาที่ต่อยมวยอีกเหรอคะ หมอมีวิธีที่มันสะดวกกว่านี้ไหมคะ”

                “ทุกวิธีมันก็ต้องใช้เวลาหมดล่ะครับเพียงแต่มันดีกว่าการทำร้ายตัวเองอยู่แล้ว จริงไหม”

                “ก็จริงค่ะ”

                “เอ้อช่วงนี้งานยุ่งมากเหรอ”

                “ก็ยุ่งมากค่ะเครียดมากด้วย ทั้งวันไม่ได้ทำอะไรเลย สมาธิทำงานก็ไม่มี เพราะง่วงนอนมาก”

                “ความเครียดพวกนี้มันก็เหมือนน้ำขุ่นน่ะครับน้ำที่มันใสสะอาดอยู่ดี ๆ ถ้าเราเติมความเครียดเข้าไปมันก็เหมือนเราเติมน้ำขุ่นเข้าไปปนทำให้เรารู้สึกอึดอัดและไม่สบายใจ เมื่ออึดอัดคุณกลับระบายในทางที่ไม่ถูกต้องและทุกอย่างมันจะวนกลับมาที่เดิม” คมมากหมอ เลือดแทบไหล

                สรุปว่าวันนี้นอกจากได้ปรัชญาน้ำขุ่นจากหมอและยาหลายกล่องมาแล้วยังได้มิชชั่นใหม่ นั่นคือถ้าอึดอัดและอยากเห็นเลือดตัวเอง ลองเอาสีแดงมาระบายลงในกระดาษระบายไปจนกว่าจะพอใจ และเอางานอดิเรกเก่ามาทำ นั่นคือ ปักครอสติชที่ฉันปักค้างอยู่

    เมื่อออกมาจากห้องตรวจแล้วฉันพบว่ามีเรื่องอีกมากมายที่ฉันยังไม่ได้บอกหมอวิธีจิตบำบัดที่ใช้กระดาษเพื่อลดขนาดของภาพในหัวฉันมันไม่สำเร็จอีกต่อไปแล้วก่อนหน้านี้หมอเคยลองรักษาฉันด้วยวิธีจิตบำบัด นั่นคือให้ฉันเลือกภาพที่มันเลวร้ายน้อยที่สุดในหัวฉันมา 1ภาพ แล้วฉายมันลงบนกระดาษสีขาวที่หมอตีกรอบเอาไว้เมื่อทำได้แล้วหมอจะตีกรอบใหม่โดยลดขนาดลงเรื่อย ๆ จนมันเล็กมากและดูเหมือนภาพนั้นอยู่ไกลจากตัวฉันมากตอนที่ฉันลองทำวิธีนี้ต่อหน้าหมอฉันทำได้สำเร็จแต่เมื่อตอนกลับไปฝึกที่บ้านด้วยตัวเอง ภาพที่มันเล็กลง ๆ มันกลับใหญ่ขึ้นมาจนคับสายตาฉันไปหมดภาพที่เคยเลวร้ายระดับ 6 เต็ม 10 และมันควรจะลดลงต่ำกว่า5 เต็ม 10 หลังการบำบัดด้วยตัวเองมันกลับกลายเป็น 100 เต็ม 10 เพียงแค่ฉันกะพริบตา

    อีกเรื่องที่ฉันไม่ได้บอกหมอคือฉันชักจะกลัวตัวเองเข้าไปทุกทีเสียแล้ว ทุกเช้าตอนที่ฉันต้องรอรถไฟฟ้าเป็นคนแรกของแถวฉันต้องใช้ความพยายามมากในการห้ามไม่ให้เท้าก้าวลงไปในรางรถไฟรางไฟฟ้าสีเทาขนาดมหึมาดูเชื้อเชิญให้ฉันกระโดดลงไป ยิ่งตอนที่รถไฟใกล้เทียบชานชาลายิ่งเลวร้ายเข้าไปใหญ่

    ถ้าฉันกระโดดลงไปตอนนี้ร่างของฉันจะถูกบดจนตายไหมนะ

    เสียงในหัวของฉันมันยิ่งดังขึ้นทุกวัน ๆ ฉันกลืนน้ำลายเอื้อกใหญ่ทุกครั้งที่รถไฟฟ้าเข้าเทียบชานชาลาและต้องบังคับเท้าของตัวเองก้าวพ้นช่องว่างระหว่างพื้นชานชาลาและรถไฟฟ้าฉันรู้ดีว่าถ้าฉันเลือกตายด้วยวิธีนี้คนอีกเป็นร้อยเป็นพันจะต้องเดือดร้อนเพราะรถไฟฟ้าต้องหยุดวิ่งกะทันหันการตายของฉันจะถูกก่นด่าสาปแช่งเสียจนคนที่อยู่ข้างหลังแทบตรอมใจตาม

    น้ำแห่งจิตนาภาพชั่วร้ายพวกนี้มันเริ่มรู้แล้วว่าฉันค้นพบวิธีที่ใช้กำจัดมันได้มันเลยเริ่มกลายร่างไปเป็นอะไรที่ฉันรับมือยากขึ้นทุกวัน ๆ อย่างที่ฉันเคยบอกจากน้ำ 1 หยด กลายเป็นแอ่งน้ำ, ทะเล, มหาสมุทรและมหาสมุทรที่บ้าคลั่งเกินจะรับมือไหว

    หลังจากฉันกลับจากโรงพยาบาลฉันถึงรู้ว่าฉันรู้สึกหดหู่และโดดเดี่ยวมากมายเพียงใดในห้องของฉันมีเพียงความว่างเปล่า ห้องสีเขียวขี้ม้าสีทึม ๆ กับแสงไฟสีเหลืองสลัวๆ ไม่มีพ่อแม่คอยล้อมหน้าล้อมหลังเหมือนครอบครัวแสนสุขที่โรงพยาบาลฉันร้องไห้ออกมาอย่างสุดกลั้น นี่แหละคือคำตอบที่หมอถามว่า ช่วงนี้ความรู้สึกเป็นยังไงบ้าง

    ช่วง 2-3 ครั้งหลังที่ฉันไปพบหมอนี้ ฉันพบว่าเราคุยกันแบบสนิทใจมากขึ้น เล่นมุข ขำหัวเราะให้กับโชคชะตาอันเลวร้ายของตัวฉันเอง แต่ภายในแล้วฉันอยากร้องไห้ออกมาดัง ๆและบอกหมอไปว่า อย่าจับฉันแอทมิดนะหมอแต่ฉันไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกแล้ว

    มิชชั่นปักผ้าครอสติชทำให้ฉันเหม่อลอยและรู้สึกเหนื่อยล้ากับการใช้สมาธิอยู่ตลอดเวลาฉันอยากพักสมองบ้างหลังจากทำงานที่ยาวนานแสนนานใน 1สัปดาห์ น้ำตาของฉันไหลพรากด้วยความเศร้า

    ฉันไม่อยากอยู่อีกแล้ว ฉันอยากหลับไปตลอดกาลและไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย

    หลังมื้อเที่ยงฉันลองกินยา Apalife ตามที่หมอบอกหมอบอกฉันว่ายาตัวนี้อาจส่งผลให้ฉันฝันร้ายและตื่นตอนกลางคืนได้เลยเลื่อนเวลากินยาให้ฉันกินหลังอาหารกลางวันแทนที่จะเป็นก่อนนอนหลังจากฉันทดลองกินยาไปได้สักพักเปลือกตาของฉันก็หนักเหมือนแรงโน้มถ่วงของโลกมันเพิ่มขึ้น 10 เท่า สุดท้ายมิชชั่นปักผ้าก็ต้องวางลง แล้วไปนอนอยู่ดี

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in