เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
My First Storyngaomake
The Moral Resurrection
  • สวัสดีค่ะผู้อ่าน
    เรื่องนี้เป็นเรื่องสั้นที่เราเขียนฆ่าเวลาตอนนอนไม่หลับ ไม่ได้ผ่านการทำรีเสิร์ซข้อมูลให้ถี่ถ้วน สถานที่ทั้งหมดนำมาจากความทรงจำในหัวเราที่เคยรู้จัก ได้ยิน ดังนั้นหากข้อมูลต่าง ๆ ในเรื่องมีความผิดพลาด ตกหล่น ผู้เขียนก็ต้องขออภัยอย่างสูงมา ณ ที่นี้
    เป็นเรื่องที่บอกอะไรไม่ได้จริง ๆ กลัวสปอลย์ แต่พอจะบอกได้ว่า
    'เป็นเรื่องราวของแคสซี่ หญิงสาวที่ตัดขาดจากครอบครัว และมีน้องสาวที่อยู่ในสภาพเจ้าหญิงนิทราพวกภาวะสมองตาย แต่จู่ ๆ วันหนึ่งเธอก็ได้รับโทรศัพท์จากทางบ้าน ว่าหาวิธีทำให้น้องสาวกลับมามีชีวิตอีกครั้งแล้วโดยนักบวชปริศนาคนหนึ่ง'
    อยากให้อ่านให้'จบ'นะคะ ตอนจบอาจจะมีเซอร์ไพรส์(หรือเปล่า) รออยู่ก็ได้ อิอิ 
    ขอบคุณค่ะ 
    Ngaomake

    จริง ๆ แล้วเราจัดย่อหน้าไว้นะคะ แต่พอวางแล้วหาย ไม่รู้ทำไม แงง 

                                                                       ******************

    ความเงียบเหงาของวูล์ฟ แทรปทวีเพ่ิ่มขึ้นเมื่อใกล้ช่วงฤดูหนาว

    แม้หิมะยังไม่ตก แต่อากาศด้านนอกก็เย็นเฉียบ กระจกรอบคันรถเก๋งจึงกลายเป็นฝ้าหนาจนต้องใช้ที่ปัดน้ำฝนช่วย เสียงครืดคราดของมันกอปรกับเสียงเพลงจากวิทยุตัวเก่าพอจะช่วยคลายความง่วงจากการขับรถบึ่งตรงมายังที่นี่ได้ ฉันหาวหวอดอยู่คนเดียว พลางคิดถึงเหตุผลที่ตัวเองต้องออกเดินทางเสียแต่เช้ามืดจากบัลติมอร์

    ฉันเคยอาศัยอยู่ในวูล์ฟ แทรปร่วมกับน้องสาวหัวอ่อนที่ชื่อเจนและพ่อแม่ ฉันกับพวกท่านไม่ถูกกันตั้งแต่เด็ก ๆ ในสายตาของครอบครัวด้วยเหตุผลบางประการ สำหรับพวกเขา ฉันเป็นเพียงลูกชังเท่านั้น เจนสิเป็นลูกรัก แต่ฉันไม่แคร์หรอก เพราะเมื่อเรียนจบ ฉันก็ย้ายไปยังบัลติมอร์ ตัดขาดจากครอบครัวโดนสมบูรณ์ หางานทำและใช้ชีวิตอยู่คนเดียวจนถึงปัจจุบัน กระทั่งเดือนก่อน…ฉันได้รับข่าวจากทางบ้านครั้งแรก แม่แจ้งว่าเจนเกิดอุบัติเหตุอย่างรุนแรง สมองของเธอตายและมีชีวิตอยู่ด้วยเครื่องช่วยหายใจเท่านั้น ทางเทคนิคแล้วคือเสียชีวิตนั่นแหละ …ฉันจึงเดินทางกลับมาดูน้อง และแม้เราจะไม่ผูกพันกันนักแต่ฉันก็โศกเศร้า ตระหนักได้ว่าน้องสาวได้จากไปแล้ว สิ่งเดียวที่ทำได้คือยอมรับและทำใจ …แต่ไม่ใช่กับพ่อแม่ พวกท่านไม่ยอมรับว่าเสียเจนไปแล้วจริง ๆ และบอกว่าจะดูแลเจนที่นอนเป็นเจ้าหญิงนิทราไว้จนกว่าจะหาวิธี ‘พาเจนกลับมา’ ให้ได้ ตอนแรกฉันคิดว่าคงเพราะความโศกเศร้า ทว่าไม่ว่าแพทย์ชันสูตร ตำรวจ และฉันจะพยายามโน้มน้าวอย่างไร พวกท่านก็จะยังยืนยันคำเดิม ซึ่งฉันเห็นว่าอธิบายต่อไปก็ดูจะป่วยการ จึงเดินทางกลับบัลติมอร์ และหวังว่ากาลเวลาจะทำให้พ่อแม่เปลี่ยนใจและยอมถอดเครื่องหายใจออกในที่สุด

    แต่ปรากฎว่าฉันคิดผิด

    เพราะเมื่อวันก่อน จู่ ๆ แม่ก็โทร.มาหาด้วยน้ำเสียงปิติ ท่านบอกว่าค้นพบนักบวชที่สามารถพาวิญญาณของเจนกลับมาได้จริง ๆ โดยไม่คิดเงินแม้แต่แดงเดียว และไม่ว่าจะขัดค้านอย่างไร หัวเด็ดตีนขาด แม่ก็ยังยืนยันคำเดิมว่าจะพานักบวชคนนั้นมาที่บ้านให้ได้ และแจ้งอย่างกะทันหันให้ฉันมาร่วมพิธีด้วย สุดท้ายฉันจึงเหลือตัวเลือกเดียว คือการมาร่วมพิธีเท่านั้น …แน่นอนว่าฉันไม่เชื่อหรอก บ้าหรือเปล่า คนที่สมองตายไปแล้ว อย่างไรก็ถือว่าเป็นเพียงร่างไม่มีชีวิต นักบวชนั่นต้องเป็นพวกต้มตุ๋นแน่ ๆ เอาเถอะ…คิดเสียว่าอย่างน้อยการกลับวูล์ฟ แทรปอีกรอบ อาจจะทำให้ฉันได้จับพวกอาชญากรเข้าตารางก็ได้

    ขณะที่รถเคลื่อนด้วยความเชื่องช้าเพราะฝ้า ฉันก็เหลือบเห็นผู้ชายคนหนึ่งกำลังเดินอยู่ริมทางตรงหน้า เขาไม่ได้แบกเป้แต่ดูก็รู้ว่าไม่ใช่คนท้องถิ่นแน่ ที่สำคัญ ไม่เคยมีใครมาเดินเตร็ดเตร่กลางถนนสายนี้หรอก อีกเป็นไมล์กว่าจะถึงวูล์ฟ แทรป บางทีเขาอาจจะหลงทางก็ได้ …เมื่อคิดได้ดังนั้น ฉันจึงค่อย ๆ เหยียบคันเร่งเพื่อเข้าไปใกล้เข้าไปใกล้ แล้วหมุนกระจกลง

    “ขอโทษนะคะ มีอะไรให้ช่วยไหม?” ฉันร้องถาม อีกฝ่ายหันมามองฉันด้วยท่าทางประหลาดใจเล็กน้อย กระชับพาร์กาแบบไม่มีฮู้ด หน้าตาเขาดูไม่คุ้นจริง ๆ

    “เอ่อ…พอดีผมกำลังจะเข้าไปในตัวเมืองน่ะครับ แต่รถที่เช่ามาเกิดน้ำมันหมดเสียได้” เขาตอบ ฉันคิดตาม จึงพอเห็นภาพรถเก๋งคันหนึ่งจอดอยู่ริมทางเมื่อสิบนาทีก่อนได้ คงเป็นรถของเขา

    “อ๋อ ฉันกำลังเข้าเมืองพอดีค่ะ คุณจะไปด้วยกันไหม?”

    เขามองซ้ายขวาเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็พยักหน้า แล้วเข้ามาในรถ จากนั้นฉันก็เริ่มเหยียบคันเร่งอีกครั้ง

    หลังจากออกรถมาได้ครู่หนึ่ง เขาก็ถอนหายใจเบา ๆ กับตัวเอง ฉันจึงแอบลอบมองเขาเล็กน้อย เขาเป็นชายหนุ่มอายุราว ๆ ยี่สิบปลาย ๆ ไม่ก็ต้นสามสิบ ผมสีน้ำตาลอ่อนของเขาอยู่ในสภาพเหมือนพยายามหวีแล้วแต่ยังกระเซิงอยู่ ไรหนวดเคราพอขึ้นให้เห็น แต่สิ่งที่สังเกตได้อย่างชัดเจนเลย คือความเศร้าโศกบนใบหน้าของเขา ...เมื่ออีกฝ่ายทำท่าเหมือนจะรู้ตัว ฉันก็แสร้งทำเป็นเสมองไปทางอื่นแทน

    “บ้านของคุณอยู่ในวูล์ฟ แทรปหรือครับ?”

    “ใช่ค่ะ กำลังจะกลับบ้านพอดี” ฉันตอบ แล้วถามเขากลับบ้าง “แล้วคุณล่ะคะ? มาทำอะไรที่นี่ล่ะ”

    “เอ่อ...” เขาอ้ำอึ้งแถมยังเกาจมูก แสดงท่าทางว่าลังเลใจอย่างชัดเจน

    “ถ้าคุณไม่สะดวกที่จะบอกก็ไม่เป็นไรนะคะ ฉันต้องขอโทษที่ละล้าบละล้วงด้วย”

    “อ๋อ ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ...คือผมไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไรดี” เขายิ้มเฝื่อน “…พอดีผมได้ยินว่ามีครอบครัวนึงกำลังจะทำพิธีเชิญวิญญาณของคนตายกลับเข้าร่างน่ะครับ มันฟังดูเหลือเชื่อนะ แต่ผมเคยได้ยินกิตติมศักดิ์ของนักบวชของคนนี้มาเยอะ และต้องการความช่วยเหลือเช่นเดียวกัน เลยตั้งใจจะเดินทางมาเพื่อขอครอบครัวนั้นเข้าไปดูพิธีให้เห็นกับตาเลยน่ะครับว่าเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า…”


    ******************************


    ทันทีที่เคาะประตูบ้าน แม่ของฉันก็เปิดต้อนรับทันทีเหมือนคอยอยู่แล้ว ท่านดูต่างจากเมื่อตอนที่เจนเสียใหม่ ๆ โดยสิ้นเชิง แม้จะมีคราบของความโศกเศร้าทิ้งไว้อยู่บ้าง แต่ใบหน้าตอนนี้กลับเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มยินดี รอยยิ้มนั้นยิ่งกว้างขึ้นเมื่อเห็นหน้าฉันทั้ง ๆ ที่ปกติเราไม่ค่อยลงรอยกันเสียด้วยซ้ำ นั่นยิ่งทำให้รู้สึกกระอั่กกระอ่วนเข้าไปใหญ่

    “แคสซี่ นักบวชกำลังรอลูกอยู่เลยรู้ไหม…” ท่านกำลังจะพูดต่อ แต่ก็หยุดไว้เมื่อเห็นว่าฉันไม่ได้มาคนเดียว …ผู้ชายที่ฉันรับมาจากทางข้างกำลังยืนอยู่ข้างฉัน เขามองหน้าแม่แล้วแค่นยิ้ม ก่อนจะเริ่มแนะนำตัวอย่างสุภาพ

    “สวัสดีครับ ผมชื่อลูคัส เจมส์ ผมขอท้าวความก่อนว่าเมื่อเดือนก่อน ลูกสาวของผมประสบอุบัติเหตุจนเป็นเจ้าหญิงนิทรา ปัจจุบันเธอมีชีวิตอยู่เพราะเครื่องช่วยหายใจเท่านั้น ถือว่าตายไปแล้วในทางการแพทย์…” น้ำเสียงของเขาเจ็บปวดเมื่อพูดถึงตรงนี้ พร้อมกับส่งรูปถ่ายซึ่งเคยให้ฉันดูแล้วตอนอธิบายให้ฟังบนรถแก่แม่ “ทุกคนบอกให้ผมถอดใจ แต่ผมไม่อาจยอมรับการเสียลูกสาวไปได้ ผมจึงออกตามหาวิธีที่จะรักษาให้ลูกสาวของผมกลับมา จนกระทั่งเมื่อหลายวันก่อน …ผมได้ยินข่าวว่าครอบครัวของคุณกำลังจะจัดพิธีเชิญวิญญาณลูกสาวของคุณกลับมา ผมรู้ว่าต้องเป็นการเสียมารยาทครั้งใหญ่ที่ไม่ได้แจ้งให้ทราบล่วงหน้า …แต่ผมอยากมาพิสูจน์ให้เห็นกับตาว่านักบวชคนนั้นสามารถนำวิญญาณคนตายกลับมาได้จริงไหม เพื่อผมจะได้ขอให้นักบวชผู้นี้ช่วยนำวิญญาณลูกสาวของผมกลับมาได้บ้าง”

    ตอนแรกที่ได้ยินเขาพูดนั้น แน่นอนว่าฉันอยากปฏิเสธ แต่ฉันก็เชื่อว่าสุดท้ายเขาก็คงหาทางมาที่บ้านและโน้มน้าวให้แม่หรือพ่อฟังจนได้อยู่ดี

    แม่มองรูปถ่ายลูคัสกับลูกอย่างเห็นใจโดยแท้จริง แต่เมื่อเงยหน้าขึ้น ท่านกลับมีสีหน้าลังเล ฉันภาวนาในใจให้แม่ปฏิเสธเขาซะ อย่างน้อยก็ให้ความเป็นส่วนตัวกับเจนหน่อยเถอะ

    “…สักครู่นะจ๊ะ” แล้วแม่ก็ปิดประตูลงชั่วคราว ท่านหายไปอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกลับมาอีกครั้ง แม่ส่งรูปคืนให้ลูคัส แต่คำตอบของแม่ทำให้ฉันต้องผิดหวัง “ท่านนักบวชอนุญาตให้คุณเข้ามาร่วมพิธีได้จ้ะ แต่ขอให้สำรวมเท่านั้น เชิญจ้ะ” เมื่อแม่พูดดังนั้น ฉันคงขัดอะไรไม่ได้ จึงปล่อยให้ลูคัสเข้าไปในบ้านด้วยความจำใจ จังหวะที่ชายคนนั้นเดินเข้าบ้าน แม่ก็เอ่ยกับเขาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ฉันเข้าใจเธอดีว่ามันรู้สึกอย่างไรน่ะ การสูญเสียแก้วตาดวงใจไป ลูกสาวของฉันก็อยู่ในสภาพเจ้าหญิงนิทราแบบคุณ แต่ไม่นานหรอก…เจนก็จะได้กลับมาหาพวกเราแล้ว ลูกสาวของคุณก็เช่นกัน…”


    **********************************


    ประตูห้องนอนของเจนถูกเปิดรอไว้อยู่แล้ว พ่อยืนอยู่ข้างประตู แล้วฉันได้เห็นนักบวชคนนั้นเสียที เขาสวมชุดสีดำปลอด แต่แตกต่างจากบาทหลวงของคริสศาสนาอย่างสิ้นเชิง …หรือว่าเขาจะเป็นแค่นักเทศน์? ไม่ก็เป็นนักบวชลัทธิอื่นกระมัง แต่สิ่งทำให้ฉันรู้สึกแปลกประหลาด ก็คือการที่เพิ่งเอะใจว่าไม้กางเขนที่ติดในบ้านนั้นหายไปไหนหมดกันนะ โดยเฉพาะไม้กางเขนอันใหญ่ที่เคยติดอยู่ตรงผนังในห้องนี้เพื่อปกปักษ์รักษาเจนก็เช่นกัน หรือจะเป็นเพราะนักบวชคนนี้สั่งหรือเปล่า?

    “นี่แหละเจ้าค่ะ ชายผู้ที่ได้สูญเสียลูกสาวไปเช่นลูก” แม่มีทีท่านบน้อมอย่างมากขณะพูด นักบวชคนนั้นพยักหน้าอย่างเชื่องช้าแล้วคลี่ยิ้ม เขาดูไม่ต่างจากบาทหลวงทั่วไปจริง ๆ หากไม่นับเครื่องแบบที่สวมอยู่

    ลูคัสโค้งน้อย ๆ เป็นการเคารพ นักบวชคนนั้นจึงเอ่ยขึ้น “เมื่อลูกมาที่นี่เพื่อต้องการพิสูจน์ พ่อก็จะแสดงให้ลูกเห็นว่า …ที่เจนและลูกสาวของลูกสูญเสียไป หาใช่สมองหรืออวัยวะใด แต่คือจิตวิญญาณต่างหาก และพ่อจะนำมันกลับมาให้เอง” ก่อนจะเหลือบมองมาทางนี้ สายตานั้นทำให้ฉันขนลุก “และสำหรับผู้ที่ไม่เชื่อ ขอให้จงดูเถิด”

    เมื่อพูดจบ นักบวชก็เดินเข้าไปยังเตียงคนไข้ ฉันมองไปยังน้องสาวของตัวเองด้วยความเวทนา เจนยังคงเหมือนเดิมกับเมื่อหลายเดือนก่อนไม่มีผิด เธอหลับตาพริ้ม ร่างกายแน่นิ่งไม่ขยับเขยื้อน ต่างแค่ตอนนี้ เธอสวมชุดเดรสสีเทาตัวเก่ง คลุมด้วยเสื้อไหมพรมที่เจนเคยชอบใส่จนเป็นขุย ที่รูจมูกมีอุปกรณ์ช่วยหายใจสวมอยู่ สายของมันระโยงไปยังเครื่องมือทางการแพทย์ข้างเตียง …เขามองหน้าน้องสาวของฉันนิ่ง ๆ ก่อนจะประทับสองนิ้วลงบนหน้าผากของเธอแล้วเริ่มสวดอะไรบางอย่างเป็นภาษาที่ฟังไม่ออก พ่อแม่ของฉันต่างกุมมือไว้ที่อก จ้องมองร่างของเจนด้วยความหวังเต็มเปี่ยม ลูคัสยืนอยู่ข้างหลังฉัน เขามองเหตุการณ์อย่างตั้งใจ

    …ชั่วอึดใจหนึ่งเท่านั้น จู่ ๆ เตียงคนไข้ก็เกิดสั่นขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่ภายหลัง ฉันถึงมารู้ได้ว่าไม่ใช่เตียง แต่เป็นร่างของเจนต่างหากที่กำลังสั่น ฉันตกใจและกลัวน้องจะเป็นอะไรขึ้นมาจึงรีบถลาเข้าไป ทว่าถูกแม่รั้งไว้เสียก่อน

    “เชื่อมั่นในตัวนักบวช เจนกำลังกลับเข้าร่างแน่ ๆ จ้ะ” ถึงจะพูดด้วยความเชื่อมั่นขนาดนั้น แต่มือกลับสั่นเครือ …และปรากฏว่าเมื่อผ่านไปได้แค่พริบตาเดียว จู่ ๆ ก็มีกลิ่นเหม็นฉุนคลุ้งไปทั่วคล้ายกับกลิ่นของหัวไม้ขีดไฟไม่มีผิด เจนเองก็เริ่มมีปฏิกริยาอีกครั้ง ร่างน้องสาวของฉันกำลังบิดเหมือนคนที่กำลังเจ็บปวดทรมาน ก่อนที่เธอจะกรีดร้องด้วยเสียงแหลมแสบหู …เห็นดังนั้น นักบวชจึงกดหน้าผากของเจนอย่างแรงเพื่อไม่ได้ดิ้น ก่อนจะโน้มตัวลงกระซิบบางอย่างที่ข้างหู

    หลังจากที่นักบวชยืดตัวกลับและถอยหลัง เราทั้งสี่ก็ได้เห็นจริง ๆ ว่าเจนกำลังมองมาทางเรา เธอลืมตา ดวงตาสีฟ้าอ่อนนั้นกำลังจ้องมาทางนี้จริง ๆ …เป็นไปได้อย่างไรกัน และเมื่อเห็นพวกเรา เธอก็ค่อย ๆ ดันตัวขึ้นนั่ง

    ริมฝีปากที่แห้งผากจากการขาดการใช้งานมานานนับเดือนขยับช้า ๆ “…แม่ พ่อ แคสซี่”

    เมื่อได้ยินเสียงใสของลูกสาว แม่ก็ปล่อยโฮออกมาในทันที ก่อนถลาตัวเข้าหาเจนด้วยความคิดถึง เธอกอดร่างบนเตียงไว้แน่น แต่พ่อของฉันยังคงยืนที่เดิม ส่วนฉันนั้นไม่รู้จะทำตัวอย่างไรเพราะกำลังอึ้งและไม่อยากขัดแม่ จึงยืนอยู่เฉย ๆ

    “ปาฏิหาริย์จริง ๆ ” ลูคัสอุทาน เขาเองก็คงกำลังตกตะลึงไม่แพ้กันจึงเอาแต่ยืนนิ่งอยู่ข้าง ๆ

    นักบวชเดินมาหาพ่ออย่างช้า ๆ ขณะเดิน เขาทำสีหน้าบางอย่างเหมือนสื่อเป็นนัยถึงพ่อ “พ่อได้พาวิญญาณของเจนกลับมาแล้ว หลังจากนี้ สัญญาต้องเป็นสัญญานะ” ในเวลาเดียวกัน แม่ก็ประคองเจนลงจากเตียง

    “ครับ…”

    นักบวชยิ้ม เขาสืบเท้ามาหาลูคัสด้วยความเยือกเย็น “เราไปคุยเรื่องของลูกสาวของลูกเถอะ ไหนลูกลองเล่ามาซิว่าอาการของเธอเป็นยังไง…” แล้วแตะที่ไหล่ของลูคัส

    ฝ่ายที่ถูกถามยิ้ม เตรียมจะอ้าปากตอบ แต่ทันใดนั้น นักบวชกลับออกแรงที่มือซึ่งสัมผัสไหล่ไว้แล้วผลักร่างของผู้ชายคนนั้นกระแทกเข้ากำแพงเต็มแรง ก่อนใช้มืออีกข้างตะปบเข้าที่ไหล่อีกฝั่ง

    “สงสัยพ่อจะลืมบอก ว่าการดูพิธีนี้น่ะ มันมีค่าแลกเปลี่ยนบางอย่างด้วย” ฉันมองตาแข็ง มั่นใจว่าเห็นความเปลี่ยนแปลงของร่างกายนักบวช เสียงกระดูกเปลี่ยนรูปฟังดูน่ากลัว มือของเขาใหญ่ขึ้นและเล็บงอกยาว กรามยื่นลงด้านล่าง …ลูคัสจ้องตาเขาตอบด้วยสีหน้าสับสนและหวาดกลัว “…นั่นคือการที่แกจะถูกพ่อกินวิญญาณไงล่ะ”

    สิ้นเสียงพูด นักบวชก็อ้าปาก โชว์ฟันแหลมคมสีขาวเหมือนกับสัตว์ประหลาดไม่มีผิด …ฉันรู้ดีว่าควรหนี แต่กลับพบว่าตัวเองถูกพ่อล็อคตัวไว้ ฉันมองท่านด้วยความไม่เข้าใจ ท่านมองตอบด้วยสีหน้ายากจะคาดเดาอารมณ์ …นักบวชจ้องตาลูคัส ตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน ลูคัสจ้องกลับ เขาอ้าปากตามอย่างเกร็ง ๆ

    “อ๊ากกกกกกกกกก” เขาร้องตะโกน แขนขาพยายามสะบัดให้หลุดจากการถูกควบคุมแต่ไม่เป็นผล นักบวชเลื่อนมือไปที่ลำคอของลูคัสก่อนจะยกตัวเขาขึ้น ทั้งคู่มองตาซึ่งกันและกัน …แล้วฉันก็เห็น เหมือนอะไรบางอย่างถูกดึงออกจากปากของลูคัสและเข้าไปในปากของนักบวชแทน ชายหนุ่มดิ้นทุรนทุราย ร้องไม่หยุด เสียงร้องนั้นฟังดูทรมานเป็นอย่างยิ่ง ฉันรู้สึกกลัวสุดขีด พยายามสะบัดแขนแต่พ่อยังคงบีบมันไว้แน่น

    “พ่อจะทำอะไร???” ฉันร้องถามเสียงหลง ยิ่งพยายามสะบัด พ่อยิ่งรั้งฉันไว้

    “แคสซี่ พ่อขอโทษ…” พูดจบ พ่อก็ลากฉันไปที่เตียงของเจนด้วยความทุลักทุเล ฉันส่ายหน้าแรง ๆ อย่างไม่เข้าใจสถานการณ์ ฉันจึงหันไปมองแม่ แต่ปรากฏว่าแม่ก็กำลังมองฉันด้วยความลำบากใจเหมือนกัน เธอเข้ามาช่วยพ่อลากฉันอีกแรง

    แม้จะลำบาก แต่ในที่สุดพ่อแม่ก็จับฉันนอนลงบนเตียงสำเร็จ ฉันพยายามดิ้นสุดแรงเกิด ทั้งร้องขอความช่วยเหลือ แต่ทั้งคู่กดฉันไว้แรงเหลือเกิน พ่อจับแขนฉันติดกับขอบเตียงเหล็กแล้วพันมันด้วยเชือกไว้แน่น

    “ปล่อยหนูนะ หนูไม่เข้าใจ พ่อแม่จะทำอะไร???” ฉันเริ่มร้องไห้โดยไม่ได้ตั้งใจ แม่พาเจนมายืนข้างฉัน ทั้งสามมองลงมานิ่ง ๆ

    “แม่ขอโทษนนะจ๊ะ แต่นี่เป็นวิธีเดียวที่จะทำให้เจนกลับมา” แม่พูดเสียงเย็นยะเยือก ท่านยิ้ม “เจนน่ะยังสมควรใช้ชีวิตต่อไปอีกนาน ลูกคงยอมสละให้น้องได้ใช่ไหมจ๊ะ…ขอบคุณจริง ๆ นะแคสซี่”

    เจนมองหน้าฉันด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ …ไม่สิ ไร้วิญญาณมากกว่า เธอพยายามแค่นยิ้มอย่างหลอก ๆ เอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา กลิ่นกำมะถันแรง ๆ ลอยเตะจมูก “ขอบคุณนะแคสซี่” ฉันสังเกตเห็นมุมปากที่กระตุกเยือก

    ฉันไม่ยอมแพ้และพยายามดิ้นต่อไป ขณะนั้นก็หันมองไปที่นักบวชและลูคัส …ควันนั่นเข้ามาในตัวของนักบวชจนหมดแล้ว อีกฝ่ายที่ถูกบีบคอเริ่มกระตุกแรง ๆ ตาของเขาเหลือกจนเห็นแค่ตาขาว ก่อนที่ร่างนั้นจะแน่นิ่งไป นักบวชจึงทิ้งเขาลง ลูคัสทรุดลงไปกองบนพื้น ตาสองข้างยังเบิกโพล่งน่ากลัว เขาตายแล้ว…

    “โชคดีจริง ๆ ที่ไอ้โง่นี่มาขอดู ข้าถึงได้กินวิญญาณสองตนในคราวเดียว” เขาหัวเราะ แล้วหันกลับมามองฉันช้า ๆ ใบหน้านั้นน่าสยดสยองมาก ผิวเริ่มหลุดลอกจนเห็นเนื้อสีเขียว ๆ ด้านในติดกับกระดูกกราม “ที่มนุษย์เรียกว่าอะไรนะ? อ๋อ…ยิงปืนนัดเดียว ได้นกสองตัวใช่ไหม” เขาเดินมาหาฉันอย่างใจเย็น ทั้งยังกลั้วเสียงหัวเราะในลำคอ พ่อแม่โค้งให้เขา ก่อนจะรีบพาเจนออกจากห้องโดยไม่เหลียวมามองฉันแม้แต่น้อย

    “ไม่!!!!!!! พ่อ!!! แม่!!! อย่าปล่อยหนูไว้!!!!” ฉันกรีดร้อง แต่พวกท่านลับตาไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงเจ้านักบวชคนนี้ รู้ตัวอีกทีเขาก็เดินมาดึงเตียงแล้ว “…แกเป็นตัวอะไรกันแน่…แกจะทำอะไรฉัน!!”

    “เอาทีละคำถามนะ” เขาตอบ ขณะค่อย ๆ ขึ้นมาบนเตียง คร่อมฉันไว้ “หนึ่ง ข้าเป็นปรปักษ์ของสิ่งที่พ่อแม่ของพวกเธอเคยบูชาไง” ก่อนจะโน้มตัวลงมาหาฉันแล้วทำจมูกฟุดฟิด “น่าอร่อย” เขายิ้มอีกรอบ “สอง ก็ทำแบบเดียวกับข้าทำกับไอ้โง่นั่นไง สาวน้อย”

    สิ้นคำตอบ เขาตะปบไหล่ทั้งสองข้างของฉันไว้แน่นแล้วอ้าปากขึ้นอย่างช้า ๆ อีกครั้ง กลิ่นแบบเดียวกับที่ออกจากปากเจนคลุ้งจนแสบสมูก ฉันเริ่มกรีดร้อง พยายามดิ้นสุดแรงแต่ไม่เป็นผลอะไรเลย แรงของนักบวชยิ่งกว่าพ่อแม่หลายสิบเท่า ฉันหลับตาปี๋ “ไม่!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”


    จู่ ๆ นับบวชก็หยุดลง ฉันจึงค่อย ๆ ลืมตาขึ้น จึงเห็นใบหน้าอันบิดเบี้ยวของเขา มันทำท่าเหมือนจะอาเจียน ไอเหมือนมีอะไรติดคอ จนในที่สุด…ควันสีหม่นเหมือนเมื่อครู่ก็ทะลักออกมาจากปากมัน แล้วค่อย ๆ ไหลกลับไปใน…ปาก ของลูคัสซึ่งนอนนิ่งบนพื้น

    เราทั้งคู่ต่างมองตามไปที่ลูคัส แล้วเปลือกตาของลูคัสก็ปิดลง ก่อนจะเปิดรอบ แต่คราวนี้ตาดำลงมายังตำแหน่งปกติแล้ว เขาขยับเขยื้อนตัวอย่างช้า ๆ …ชายที่น่าจะตายไปแล้วไอโขลกอย่างรุนแรง จนจะลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล เขามองมาที่นักบวชซึ่งกำลังช็อกอย่างรุนแรง แต่สีหน้าของอีกฝ่ายกลับไม่ตกใจตาม ซ้ำยังมองด้วยสีหน้าปกติ …บุคลิกของเขาเปลี่ยนไปจากลูคัสที่ฉันรู้จักเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนอย่างสิ้นเชิง

    ลูคัสจิ๊ปากด้วยความไม่พอใจ “โธ่เว้ย คิดว่าวิธีนี้จะได้ผลเสียอีก สุดท้ายก็คว้าน้ำเหลวอีกตามเคย”

    “กะ…แกเป็นตัวอะไรกันแน่!!!!!???? ทำไมวิญญาณของแกถึงได้… ฉันกินมันไปแล้วนี่!!!! แกต้องตายแล้ว!!!!” นักบวชดูจะสับสนจริง ๆ เขาเลิกสนใจในตัวฉันไปเลย จริง ๆ ฉันก็ไม่ต่างกันหรอก แต่เพราะเห็นโอกาสนั้นพอดี ฉันจึงเสี่ยงดันแขนไปเสียดสีกับเล็บคม ๆ ของเจ้านั่น มันพอจะทำให้เชือกบางลงได้จริง

    “ฉันก็เป็นปรปักษ์ของคนที่สั่งแกมาที่นี่ไง” พูดจบ ลูคัสก็พุ่งตัวเข้าใส่นักบวชทันที ทั้งสองกลิ้งลงไปอุตลุดบนพื้น ก่อนที่นักบวชจะเป็นฝ่ายทรงตัวได้ก่อน เขาคว้าคอของลูคัสแล้วดันตัวกระแทกเข้ากับกำแพงข้างหลังจนร้าว แต่อีกฝ่ายไม่ยอมเหมือนเคย พยายามสู้ตอบ…เขาล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง ก่อนจะกำบางอย่างเอาไว้แล้วต่อยหน้านักบวช

    “อ๊าก!!!!” มันปล่อยมือ ควันพวยพุ่งออกตำแหน่งที่โดนต่อยใบหน้า มันมีรอยไหม้เกิดขึ้นดูน่ากลัว คราวนี้ลูคัสได้โอกาสสะบัดสิ่งนั้นใส่หน้าของอีกฝ่ายเต็ม ๆ มันคือผงอะไรบางอย่างสีขาว

    รอบนี้ลูคัสเป็นฝ่ายกระชากตัวอีกฝ่ายไว้แทน เขารัดคอของนักบวชที่กำลังเจ็บปวดไว้แน่น อีกฝ่ายพยายามดิ้นให้หลุด ชายคนนั้นรีบหยิบอะไรบางอย่างในเสื้อพาร์กาออกมา เป็นสร้อยที่มีจี้บางอย่างห้อยไว้ เขารีบสวมมันให้นักบวชแล้วกลั้นหายใจเหมือนรอดูผล เขาคงคิดว่าเจ้านักบวชจะสิ้นฤทธิ์กระมัง…ขณะเดียวกัน ฉันก็ปลดเชือกที่รัดแขนฝั่งหนึ่งไว้ได้สำเร็จ

    แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เจ้าตัวประหลาดนั่นกลับคว้าแขนของลูคัสจากด้านหน้าไว้แทน เพราะอีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัวจึงไม่ได้ขัดขืน นักบวชบิดแขนนั้นเต็มแรงและเร็วจนมันบิดไปด้านหลัง ลูคัสร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด เขาปล่อยแขนอีกข้างที่รัดคอโดยง่ายดาย ฉันเห็นดังนั้นจึงรีบพยายามปลดปมของเชือกแขนอีกข้างให้เร็วที่สุดทั้ง ๆ ที่ตัวกำลังสั่น

    “ดูท่าแกจะโดนต้มมาว่ะ เพราะฉันไม่ร้อนเลยสักนิด” หน้าขอนักบวชเป็นแผลเหวอะหวะ มันมองลูคัสด้วยความเคียดแค้น “ของแบบนี้มันต้องดูให้ดี รู้ไหม” เขาจับไหล่ลูคัสฟาดลงบนโต๊ะจนมันแยกเป็นสองส่วน แล้วคว้าเศษไม้แหลม ๆ ปักลงบนไหล่ของคู่ต่อสู้จนทะลุ ชายหนุ่มคำรามลั่น แต่ไม่ยอมแพ้ เขายกมือข้างที่ยังใช้การได้ขึ้นบีบหน้าอีกฝ่ายแล้วกด ผงสีขาวที่ยังติดบนปลายนิ้วพอจะสร้างความทรมานให้ได้พอสมควร ฟังจากเสียงร้อง

    สำเร็จ…ฉันสะบัดแขนทั้งสองข้างออกด้วยความหวาดกลัวแล้วมองหน้าลูคัสด้วยความทำอะไรไม่ถูก ชายคนนั้นมองเขม็งตอบเช่นกันแล้วตะคอก “รีบหนีไปสิ ไป!!!!!!!!!!!!!!!”

    ฉันจึงทำตามโดยอัตโนมัติ ขณะนั้นลูคัสพยายามบีบหน้าอีกฝ่ายแรงขึ้นเหมือนพยายามช่วยรั้งให้ฉันหนีไปได้ ...ฉันวิ่งออกจากบ้านด้วยสภาพเละเทะ เสื้อผ้าบางส่วนขาด เท้าที่สวมเพียงถุงเท้าวิ่งบนพื้นดินที่เย็นเชียบ แต่ฉันขอแค่ได้หนีออกจากที่นี่ให้ไกลที่สุดเท่านั้น…

    เมื่อวิ่งมาได้สักพัก ฉันได้ยินเสียงอะไรหล่นตุบจากด้านหลังจึงเหลียวมอง พบร่างของชายที่ช่วยฉันไว้นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น คอและแขนของเขาบิดผิดรูป เลือดไหลเต็มเสื้อพาร์กา ตาเบิกโพล่งเช่นเดิม นั่นเขาตายแล้วใช่ไหม…ตายอีกรอบน่ะ …แล้วมันล่ะ…? ฉันเหลือบไปที่บ้านของพ่อแม่อีกรอบ พบว่าหน้าต่างแตกกระจาย ที่สำคัญคือนักบวชคนนั้นกำลังยืนอยู่ มันมองที่ฉันด้วยดวงตาสีแดงก่ำ …ยิ่งเห็นดังนั้น ฉันจึงรีบวิ่งต่อไปให้เร็วเท่าที่จะเร็วได้ ทำไมตอนนี้มันถึงไม่มีคนเลยล่ะ…ขอร้อง ใครก็ได้ช่วยฉันทีเถอะ

    ไม่รู้ว่าไกลจากบ้านแค่ไหน ฉันเริ่มวิ่งช้าลงก่อนจะหยุดเพราะรู้สึกเย็นปอดจนทรมาน เท้าสองข้างชาหนึบ ฉันโน้มตัวจับเข่าไว้ พยายามหายใจช้า ๆ และตั้งสติแล้วเหลียวมองด้านหลังอีกครั้ง…ก็พบว่าตัวเองวิ่งจนมาถึงถนนใหญ่ และที่สำคัญคือไม่มีวี่แววของใครเลย


    ขณะที่กำลังโล่งใจ ฉันก็รู้สึกได้ถึงเสียงลมพัด และกลิ่นกำมะถัน เมื่อฉันหันกลับไปมอง…นักบวชกำลังยืนอยู่ด้านหลัง มันมองฉันด้วยความสมเพช ใบหน้าของมันน่าเกลียดสิ้นดี สภาพเละเทะไม่ต่างจากลูคัสเท่าไรด้วยซ้ำ

    “ทำไม…?”

    “ทำไมถึงตามเธอมาได้เร็วขนาดนี้น่ะเรอะสาวน้อย” เขายิ้ม แต่คราวนี้ริมฝีปากหายไปจนดูไม่เหมือนเดิม “ปีศาจน่ะมีอะไรหลายอย่างที่เธอยังไม่รู้นะ ฉันเองก็ยังมีหลายอย่างที่ยังไม่รู้ …ไอ้บ้านั่นมันตัวอะไรกันแน่วะ วิญญาณถึงกลับไปเข้าร่าง หน็อย ทำมาเป็นคนน่าสงสาร จริง ๆ ก็คงเป็นพวกลิ่วล้อของพวกคริสจักรนั่นแหละ เฮ้อ แต่ก็เอาเถอะ…ตอนนี้มันซี้ไปแล้วจริง ๆ แล้วล่ะ เธอคงเห็นใช่ไหม ต้องหักคอมันแหนะถึงจะยอมหมดฤทธิ์ เล่นเอาเหนื่อยเป็นบ้า” มันพล่ามกับตัวเองยาวด้วยความหงุดหงิด แล้วถ่มของเหลวสีดำลงบนพื้น แล้วพุ่งเข้ามาบีบคอของฉันโดยไม่ทันให้ตั้งตัว

    มันยกตัวฉันขึ้นอย่างง่ายดาย “รู้สึกอย่างไรล่ะที่โดนพ่อแม่ขายวิญญาณให้เพื่อแลกกับน้องสาวน่ะ โธ่ เธอคงจะเป็นลูกชังสินะ ถึงได้โดนมองเป็นแค่หมาหัวเน่าน่ะ”

    ฉันไม่ได้ตอบ เพราะว่าตอบไม่ได้ มือของมันบีบจนหลอดลมของฉันตีบตัน ความรู้สึกขาดอากาศหายใจมันทรมานแบบนี้นี่เอง

    “มันไม่เจ็บหรอก เดี๋ยวเธอก็จะได้ไปดีแล้ว” มันเริ่มอ้าปากช้า ๆ เตรียมจะดูดวิญญาณฉันอีกรอบ

    จังหวะที่กำลังจนมุม จู่ ๆ ฉันก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าก่อนจะลงจากรถเพื่อไปหาแม่…ลูคัสได้ให้ถุงใส่ผงสีขาวกับฉันไว้แล้วบอกว่าไว้ใช้ป้องกันตัว ตอนแรกฉันไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร ตอนนี้ก็เช่นกัน แต่มันต้องเป็นผงเดียวกับที่เขาใช้สู้กับเจ้านี่แน่ ๆ ฉันจึงรีบล้วงมือเข้าในกระเป๋ากางเกงแล้วยัดถุงผงสีขาวนั่นใส่ปากของนักบวช

    ปฏิกริยาของมันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมากแม้จะถูกเก็บไว้ในถุงพลาสติก นักบวชปล่อยร่างฉันกระแทกพื้นทันที มันบีบคอตัวเองด้วยความทรมาน ทั้งใบหน้าและลำคอมีควันพวยพุ่งและเริ่มมีกลิ่นไหม้ เนื้อสีเขียวของมันเหลวและไหลหยดลงบนพื้นเหมือนเวลาโดนน้ำกรด ฉันรีบหายใจเข้าไปเต็มที่แล้วถอยตัวจากมัน

    มันมองมาที่ฉันด้วยความโกรธสุดขีด พยายามเปล่งเสียงแต่มีเพียงเสียงลมเสียดสีออกจากปาก …ในตอนนั้นที่กำลังทำอะไรไม่ถูก ฉันก็ได้ยินเสียงฝ่าเท้ากระแทกพื้นถี่ ๆ มาจากด้านหลัง และเจ้าของเสียงนั้น…ทำให้ฉันช็อกสุดขีด

    ลูคัสยืนอยู่ข้างฉันซึ่งกำลังทรุดนั่งบนพื้นและจ้องไปที่เขาอย่างไม่วางตา เสื้อผ้าของเขาเปื้อนไปด้วยเลือดของตัวเอง แต่เนื้อตัวและกระดูกกลับมาเข้าที่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขามองเจ้านักบวชที่กำลังทุกข์ทรมานจากถุงผงสีขาวแล้วมองฉัน “ทำดีมาก” เขาพูด ก่อนจะเดินเข้าไปหามัน นักบวชมองเขาด้วยสีหน้าบิดเบี้ยว ตาแดงก่ำ

    “แก….เป็นตัว….อะไร” มันอาการดีขึ้นจึงเริ่มพูดรู้เรื่อง แต่ลูคัสยังคงเดินอ้อยอิ่งเข้าไปหามัน เขามองศัตรูที่เพิ่งหักคอเขาไปด้วยความเย็นชา

    “ถ้าอยากรู้นัก” เพราะสวมพาร์กาคลุมทับมาตลอด จึงไม่เห็นว่าใส่อะไรอยู่ด้านใน ลูคัสปลอดสร้อยสีดำออกจากลำคอ ก่อนจะดึงล็อกเก็ตทรงรีออกมาเก็บไว้ เหลือเพียงไม้กางเขน “ก็ไปถามหัวหน้าแกในนรกนู่น!”

    แล้วลูคัสก็กระชากคอเสื้อขาด ๆ ของเจ้านักบวช ยัดสร้อยไม้กางเขนลงไปในคอ พร้อมกับเริ่มท่องอะไรบางอย่างเป็นภาษาที่ฟังไม่รู้เรื่อง …นักบวชเริ่มกรีดร้องสุดเสียง ตัวของมันสั่นเหมือนเจ้าเข้า ดิ้นทุรนทุรายด้วยความทรมานยิ่งกว่าตอนโดนผงสีขาวนั่นเป็นร้อยเท่า แต่ไม่ว่ามันจะพยายามข่วนหรือขัดขืนอย่างไร ลูคัสก็ไม่ยอมหยุด เขาหลับตาแล้วท่องต่อไปด้วยเสียงที่ดังขึ้นเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับเสียงของนักบวช เสียงมันแหลมผิดมนุษย์จนฉันต้องเอามือปิดหู

    ในที่สุด นักบวชก็หยุดดิ้น ตัวของมันค่อย ๆ กลายเป็นสีดำเหมือนกับท่อนไม้ที่ถูกเผาด้วยความร้อนสูง และเมื่อลูคัสหยุดท่อง ร่างของมันก็แหลกสลายกลายเป็นขี้เถ้า ร่วงโรยบนพื้นแล้วหายไปเสียดื้อ ๆ ไม่เหลือซากแม้แต่เศษเสี้ยวเดียว

    ลูคัสหอบหายใจถี่ ๆ ด้วยความเหนื่อย เมื่อมั่นใจว่าเจ้านักบวชสูญสิ้นไปแล้วแน่ ๆ เขาก็ตรวจสอบความเสียหายของไม้กางเขน ก่อนจะร้อยล็อกเก็ตสีเงินที่เก็บไว้ แล้วสวมกลับเข้าที่ลำคอ

    เราสองคนไม่ได้พูดอะไรกันอยู่พักหนึ่ง กระทั่งฉันเริ่มตั้งสติได้และลุกขึ้นยืน เขาก็หันกลับมามองฉันด้วยสีหน้าปกติมาก คราวนี้ตามเนื้อตัวของเขายังมีรอยข่วน

    “มันไปแล้ว คุณไม่เป็นไรใช่ไหม? ถ้าไม่อยากมีปัญหาก็รีบกลับบัลติมอร์ซะ ก่อนที่จะมีใครมาเห็นเข้าน่ะ” พูดจบเขาก็เดินสวนฉันไปเหมือนบทสนทนาเมื่อครู่เป็นแค่การทักทายประเภทเดียวกับ ‘วันนี้อากาศดี เหมาะกับการเดินเล่น’ อย่างนั้นเลย

    “เดี๋ยวก่อน…คุณจะไปดื้อ ๆ แบบนี้หรือ ฉันยังไม่รู้เรื่องอะไรสักอย่างเลย …สรุปเมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้น แล้ว...นักบวชนั่นเป็นตัวอะไร…” ฉันเงยมองหน้าเขาซึ่งกำลังมองฉันอยู่ก่อนหน้าแล้ว “…แล้วเมื่อกี้ ฉันก็มั่นใจว่าเห็นคุณ…”

    “ตายไปแล้ว… คอหักร้อยแปดสิบองศาเลยใช่ไหม” ลูคัสแทรก ตอนแรกเขาทำท่าเหมือนจะไม่บอกฉันแล้วเดินต่อไป แต่เมื่อใคร่ครวญแล้ว เขาก็เปลี่ยนใจ แล้วหมุนเท้ากลับมายืนประจันหน้ากับฉัน เขาจ้องตาแล้วเริ่มเอ่ยด้วยเสียงจริงจัง “…ฟังนะ ผมรู้ว่าคุณสับสนมาก และนี่มีผลต่อชีวิตของคุณอย่างยิ่ง แต่เรื่องพวกนี้ รู้น้อยเท่าไหร่ยิ่งดี…” โทนเสียงนิ่ง ๆ ของเขาทำให้ใจฉันเริ่มสงบลง “คุณเป็นคริสต์ใช่ไหม ดังนั้น...เอาง่าย ๆ คือเจ้านักบวชเมื่อกี้คือปีศาจจากนรกที่ถูกส่งมา มันปลอมตัวอยู่ในคราบผู้มีพลังพิเศษที่สามารถเรียกวิญญาณของผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะสมองตายกลับมาได้ แต่จริง ๆ แล้ว สิ่งที่อยู่ในร่างของน้องสาวคุณ คือปีศาจลูกน้องมันอีกที เพราะวิญญาณของเจ้าของร่างจริง ๆ นั้นได้ออกไปตั้งแต่มีภาวะสมองตายไปแล้ว ส่วนมันก็แค่แสร้งทำเป็นเจ้าของร่างจริง ๆ โดยข้อแลกเปลี่ยนของมัน ก็คือวิญญาณของคนหนึ่งคน …ส่วนใหญ่ลูกค้าของมันคือคนที่สิ้นหวังสุด ๆ ที่ยอมทำแบบนั้น ซึ่งมีเยอะซะด้วย …แล้วหลังจากที่มันทำพิธีปลอม ๆ และกินอาหารเสร็จ …เจ้าปีศาจลิ่วล้อของมันก็จะตามเก็บตกวิญญาณครอบครัวของญาติที่เหลือในภายหลังต่อไป”

    ฉันฟังอย่างตั้งใจสุด ๆ ถึงแม้เรื่องพวกนี้จะน่าเหลือเชื่อและดูไร้สาระสุด ๆ แต่หลังจากเหตุการณ์เมื่อครู่ …ฉันจึงทำใจยอมรับมันแต่โดยดี “งั้นก็แสดงว่า…เจ้าของร่างของเจนตอนนี้ ไม่ใช่เจน…แต่คือปีศาจหรือ…?” ซึ่งลูคัสพยักหน้า “…และแสดงว่า พ่อกับแม่ยอมขายวิญญาณฉันเพื่อแลกกับการให้น้องสาวมีชีวิตจริง ๆ ใช่ไหม”

    ลูคัสมองตาฉัน เขาไม่ได้ตอบอะไร ถึงจะเกลียดครอบครัวตัวเองเข้าไส้ แต่ไม่เคยคิดว่าพ่อแม่จะยอมขายวิญญาณลูกสาวที่ตัวเองเลี้ยงมากเพื่อให้ลูกรักอีกคนได้มีชีวิตอยู่แทน มันเป็นความรู้สึกเจ็บปวดจนบรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้จริง ๆ “…และที่ผมยอมเล่า ก็เพราะไม่อยากให้คุณคิดฟุ้งซ่านกับมันและพยายามหาคำตอบ ในตอนนี้เมื่อคุณรู้เรื่องทั้งหมด ผมอยากให้คุณเก็บมันไว้กับตัวคนเดียว หรือทางที่ดี จะลืมไปให้หมดก็ยิ่งดี ขอร้องอย่างเดียว ห้ามยุ่งกับมันเด็ดขาด กลับบ้านซะ แคสซี่” เขาคลี่ยิ้มเศร้า ๆ ให้ เมื่อเห็นว่าฉันไม่ได้พูดอะไร เขาก็หมุนตัวกลับ แล้วเริ่มเดินต่อไป

    ฉันร้องถาม “นั่นคุณจะไปไหนน่ะ!?”

    “ก็ไปล่าน้องสาวคุณไง เธอยังลอยนวลอยู่กับพ่อแม่ของคุณอยู่ไม่ไกลจากที่นี่” เขาตอบ แล้วซุกมือลงไปในพาร์กาที่ขาดวิ่น

    ฉันเงียบไปอึดใจ ก่อนตัดสินใจร้องบอกเป็นประโยคสุดท้ายในตอนที่อีกฝ่ายเดินไปไกลแล้ว “ขอบคุณนะ ลูคัส!!!”

    แต่นั่นทำให้เขาหยุดเดิน …ลูคัสเอี้ยวตัวมองฉันอยู่ไกล ๆ แล้วตะโกนตอบ “ผมไม่ใช่ลูคัสหรอก! ลืมเรื่องของผมไปด้วย ผมก็เป็นคนธรรมดาเหมือนกับคุณนี่แหละ!!!”


    แล้วเสียงฝีเท้าก็ห่างไปไกลเรื่อย ๆ โดยที่เราไม่ได้กล่าวคำลาให้กัน พูดให้ถูกคือฉันยังแทบจับต้นชนปลายเรื่องราวไม่ได้ด้วยซ้ำ ทำได้แต่เพียงยืนนิ่งบนพื้นที่เย็นเชียบ …ยังมีเรื่องอีกตั้งมากมายที่ยังไม่รู้และเข้าใจ เช่นเรื่องที่ทำไมลูคัส…ไม่สิ ผู้ชายคนนั้นยังมีชีวิตอยู่ได้ แต่เค้นไปก็คงไม่ได้คำตอบอะไรหรอก เรื่องที่ลูกสาวป่วยก็คงเป็นเพียงสิ่งที่อุปโลกน์ขึ้นเพื่อเข้าถึงพิธีของเจ้าปีศาจนั่นเท่านั้น รวมถึงเรื่องรถเสียนั่นด้วย อาจจะเป็นการตบตาเพื่อถือโอกาสได้คุยกับฉันก็ได้

    และหลังจากทบทวนอยู่นาน ฉันจึงตัดสินใจได้ว่าแม้จะยังสับสนและเจ็บปวด แต่ฉันก็คงทำได้เพียงทิ้งเรื่องทั้งหมดนี่ไว้ในเบื้องหลัง แม้ในใจยังแอบกระหวัดคิดถึงชายปริศนาคนนั้นที่ปรากฎตัวขึ้นปกป้องฉันและกำจัดปีศาจก็ตาม

    เมื่อคิดได้ดังนั้น ฉันก็เริ่มก้าวเดินอีกครั้ง โดยคิดถึงตำแหน่งที่จอดรถเก๋งของตัวเองไว้เป็นอันดับแรก


    ***************************


    ร่างสูงในพาร์กาที่ขาดวิ่นหยุดลงตรงรถเก๋งคันหนึ่งซึ่งจอดซ่อนไว้ไม่ไกลจากบ้านของครอบครัวแคสซี่นัก ส่วนไอ้รถเก๋งอีกคันที่จอดทิ้งไว้ของหลอกที่นำมาจอดเพื่อตบตาแคสซี่เท่านั้น ส่วนในตอนนี้ เขากำลังลองเดาว่าถ้าตัวเองเป็นพ่อแม่ของหล่อน หลังจากนี้คงตั้งใจจะไปสร้างชีวิตใหม่ที่ไกลจากที่นี่ ที่สำคัญคือเขาแอบเห็นว่าในรถสเตชั่นวากอนของพวกเขานั้นมีข้าวของแพ็คเตรียมไว้แล้ว ดังนั้นถนนออกนอกเมืองคงเป็นเส้นทางที่น่าจะใช่ที่สุด ถ้ารีบบึ่งไปก็มีโอกาสจะตามทันก่อนที่พวกนั้นจะออกจากเมือง

    ชายหนุ่มเปิดประตูรถออกเพื่อเช็คข้าวของว่าครบพอที่จะไปต่อกรกับปีศาจรายต่อไปหรือไม่ ถึงจะเป็นลิ่วล้ออีกที แต่ก็ประมาทไม่ได้ ไม่งั้นคงลงเอยแบบเดียวกับที่เจอในวันนี้ เขาไม่อยากให้ตัวเองตายเป็นรอบที่สามอีก …เมื่อตรวจสอบเรียบร้อย เขาก็เผลอใช้นิ้วลูบที่ล็อกเก็ตเงินและไม้กางเขนตรงคอด้วยความทะนุถนอม

    รอก่อนนะเอลี่ สักวันนึง พ่อจะไปหาลูกให้ได้

    จังหวะนั้นเอง จู่ ๆ ผู้ที่กำลังเหม่อก็รู้สึกเจ็บแปลบที่ต้นแขนขึ้นมา เขารีบถกแขนเสื้อออก แล้วก็พบว่า ที่แขนซ้ายนั้นมีรอยคล้ายกับถูกของมีคมกรีดลึกบนหนังขึ้นมาเอง มันเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษเขียนเป็นประโยค


    ยอมแพ้ตอนนี้ยังไม่สายนะ แมตตี้


    ชายหนุ่มมองแผลนั้นด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ เขาไม่ได้สนใจที่จะห้ามเลือดแผลนั่นด้วยซ้ำ …อึดใจหนึ่ง เจ้าของรถเก๋งก็ถอดพาร์กาขาด ๆ ชุ่มเลือดและกลิ่นกำมะถันแล้วเขวี้ยงเข้าไปที่หลังรถ เหลือเพียงเสื้อเชิ้ตสีกรมท่าในสภาพที่ย่ำแย่ไม่ต่างกันเท่าไร เมื่อเข้าไปนั่งฝั่งรถขับในตัวรถแล้ว เขาก็หยิบสมุดโน๊ตที่วางตรงคอนโซลมาเปิด มันเต็มไปด้วยประโยคเขียนเป็นข้อ ๆ แต่กลับถูกขีดทิ้งหมด จนเปิดมาถึงท้ายเล่ม มีเนื้อหาคร่าว ๆ ประมาณว่า...

    ...ยิงตัวตายด้วยไรเฟิลเข้าที่คาง

    ...เสพยาเกินขนาดตาย

    ...ถูกปีศาจกินวิญญาณตาย 

    ชายหนุ่มก็ใช้ปากกาลูกลื่นขีดฆ่าประโยคสุดท้ายด้วยความผิดหวังอีกครั้ง เขาเก็บสมุดคืนที่ และวางมือทั้งสองลงบนพวงมาลัย มองตรงไปข้างหน้าอย่างสงบนิ่ง

    “วันใดวันหนึ่ง เราได้เจอกันในนรกแน่ …พ่อตา”

    แล้วรถเก๋งก็ถูกสตาร์ทขึ้น ก่อนจะเคลื่อนตัวออกไปด้วยความเร็ว เหลือไว้เพียงบรรยากาศของวูล์ฟ แทรปที่เงียบเหงา ทั่วท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท แสดงถึงภาวะการเข้าสู่รัตติกาลโดยสมบูรณ์


    *******************








Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in