เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
The Lonely city : LONDONmonpropremonde
The Lonely city : LONDON
  •    ต้องขออภัยเป็นลำดับแรกหากผู้ใดก็ตามที่ได้พลัดหลงเข้ามายังที่แห่งนี้ด้วยความเข้าใจว่ามันคือบันทึกการเดินทางหรือคู่มือนำเที่ยวในเมืองลอนดอน เมื่อทั้งหมดที่ก่อร่างสร้างตัวอยู่ตรงหน้าเป็นเพียงตะกอนที่ตกค้างมาจากการสั่งสมของความคิดอันเร่งสีและความเข้มขึ้นราวกับได้รับกระตุ้นจากการเดินทางไปยังต่างแดนรวมถึงหนังสือเล่มหนึ่งที่มีความเชื่อมโยงต่อเมืองดังกล่าว จึงก่อให้เกิดตัวหนังสือเหล่านี้ขึ้นมาเพียงเท่านั้น จึงใคร่ขอให้ท่านทั้งหลายที่เข้ามาด้วยความเข้าใจผิดยอมรามือจากไปด้วยไม่ต้องการให้เสียเวลากับตะกอนความคิดอันวุ่นวายที่ฟุ้งเฟ้อของคนคนหนึ่ง เว้นเสียแต่สิ่งที่คุณมองหาอาจเป็นเพียงการสะดับซึมซับในสิ่งที่ไม่สามารถทำความเข้าใจได้ทั้งหมดของคนแปลกหน้าคนหนึ่ง ก็ขอให้อยู่ด้วยกันที่นี่และหวังว่าจะอยู่ด้วยกันจนจบในบันทึกอันไม่เป็นรูปลักษณ์ฉบับนี้

       สำหรับปี 2018 เป็นปีที่ไม่อาจบอกได้ว่าดีหรือร้ายด้วยความที่ปฏิทินเวลาเพิ่งเคลื่อนเข้าสู่เดือนที่สามไปหมาดๆ และยังไม่ถึงไตรมาสหนึ่งของปีดิบดีเสียด้วยซ้ำ กระนั้นแล้วความรู้สึกและความนึกคิดถึงหลายสิ่งหลายอย่างในตัวเรากลับยิ่งเข้มข้นมากขึ้นทุกที ราวกับว่ามันเป็นตะกอนความนึกคิดที่ตกค้างสั่งสมมาจากเมื่อปลายปีที่แล้ว และได้ถูกเหมารวมเข้ากับปี2018นี้ไปโดยปริยายจนน่ารู้สึกเห็นใจกับการใส่ร้ายป้ายสีให้ปี2018ที่ไม่ได้ตั้งใจนี้ไม่น้อย กระนั้นแล้วความรู้สึกของเราไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถกะเกณฑ์แบ่งได้ด้วยความถูกต้องที่มีมาตรวัดโดยสมบูรณ์เท่าใดนัก และนั่นทำให้เรารู้สึกขอโทษต่อตัวเองและความดีงามของปี2018 ทั้งที่ได้เกิดขึ้นมาแล้วหรืออาจจะเกิดขึ้นในวันข้างหน้าจากใจจริง

       เป็นเรื่องน่าขำขันที่คนอย่างเราคลิกเข้าไปอ่านดวงรายวันจากหน้าข่าวในแอพพลิเคชั่นชื่อดังอย่าง LINE ในช่วงปลายปีก่อน และคำพยากรณ์ในนั้นบ่งชี้ไปว่าจะได้เดินทางไกลอย่างไม่คาดฝัน ซึ่งในเวลาต่อมาใครจะรู้ว่าการเดินทางไกลก็ได้มาเยี่ยมหาเราอย่างคำพยากรณ์ที่ไร้การเจาะจงในตัวบุคคลนั้นจริงจนน่าหัวเราะ


    •    หากมีใครสักคนบอกกับเราว่าจะได้มีโอกาสเดินทางไปลอนดอน เมืองที่ไม่เคยทั้งคาดฝันหรือทั้งฝันถึงในช่วงเวลาก่อนหน้า เราคงจะหัวเราะใส่หน้าเขาไปพร้อมกับความคิดสบประมาทมากมายในหัว และในลำดับถัดมา เรื่องที่น่าขำยิ่งกว่าก็เกิดขึ้น เมื่อภาระหน้าที่ของเราชี้ทางให้เราไปยังสถานที่แห่งนั้นในกาลถัดมา ไม่นานนักเมื่อเทียบจากระยะห่างของวันที่เราอ่านคำพยากรณ์ไร้สาระกับวันที่ต้องเดินทางไปจริงๆ 
    •    มันเป็นความรู้สึกแปลกใหม่ในตอนนั้น ไม่ใช่ทั้งผิดหวังหรือดีใจ ไม่ใช่ทั้งตื่นเต้นและเฉยชา ยากจะบอกว่านั่นเป็นความรู้สึกประเภทใดเมื่อตัวเราไม่เคยมีความคิดเห็นทั้งทางบวกและลบใดๆต่อเมืองนี้มาก่อน
  •    ภาระหน้าที่ของเรา ส่งเราออกไปไกลแถวชายขอบของลอนดอน สถานที่ที่ต้องนั่งบัส (bus) เพื่อจะไปขึ้นทูบ (tube) ก่อนจึงจะเดินทางไปยังใจกลางเมืองของลอนดอนได้ เราได้มีโอกาสใช้วันเวลาในสถานที่แห่งนั้นอยู่ร่วม 4 วัน และพบว่าที่ที่ห่างไกลแห่งนั้น ไม่ได้ย่ำแย่กับความรู้สึกของเรามากเท่าระยะทางบนแผนที่สักเท่าไหร่ 
       มันเงียบสงบและเรียบง่าย เมื่อดวงอาทิตย์ลับหายไปกับขอบฟ้าและราตรีร่วงหล่นลงมาปกคลุมผืนดิน ความเงียบสงัดจะโอบกอดเราเอาไว้ มีเพียงเสียงรถแล่นผ่านเป็นระยะๆ และน้อยครั้งเหลือเกินที่จะได้ยินเสียงผู้คนที่เดินผ่านลอดเข้าบานหน้าต่างมาในห้อง สิ่งเหล่านั้นให้ความรู้สึกถึงกลางคืนอันหนาวเหน็บอย่างแท้จริง เป็นกลางคืนที่ทั้งมืดมิดและดึกสงัดจนคืนแรกที่เราอาศัยอยู่ที่นั่นถึงกับต้องเปิดโป๊ะไฟข้างเตียงเป็นเพื่อนจนถึงเช้ามืด แต่ถึงจะเป็นความเงียบและความมืดมิดอันแสนสงัดจนรู้สึกแปลกไป เราก็ยังชอบในความมืดในเวลาที่ต้องมืดแบบนั้นของมัน ความเงียบที่เงียบจนคล้ายกับจะได้ยินเพียงเสียงลมหายใจของตัวเอง ในช่วงเวลาแบบนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวขังเราเอาไว้ให้จับจดอยู่แต่กับห้วงลมหายใจของตัวเองอย่างแท้จริง
       เราสะดุ้งตื่นเป็นพักๆ ไล่มาตั้งแต่ตีสองไปจนถึงตีสี่ สุดท้ายทนไม่ไหวก็เลยดีดตัวขึ้นจากเตียงในช่วงตีห้า สิ่งแรกที่เราทำคือการแง้มบานมู่ลี่ที่คลี่ปกแสงสว่างจากภายนอกของบานหน้าต่าง ภาพที่เห็นคือหิมะขาวสะอาดกำลังโรยตัวลงมาจากบนฟ้าสู่หลังคาบ้านสีน้ำตาลเข้มอ่อนที่รายล้อมที่พักของเรา ไม่ต่างจากเม็ดเกลือที่หล่นลงบนชิ้นเนื้อสเต็กสุกเกรียม
        เราลุกขึ้นไปอาบน้ำ รู้สึกมีความสุขเล็กๆกับสถานที่แปลกใหม่ก่อนจะหยิบกล้องฟิล์มแล้ววิ่งออกจากบ้านเพื่อไปเดินเล่น เด็กตัวเล็กๆเดินไปโรงเรียน คลุมฮู้ดปิดทั้งหัวหนีความหนาวเย็นที่ร่วงลงมาหนักขึ้นเรื่อยๆ บ้านเมืองสีสะอาดดูน่ารักและเหมาะกับความรู้สึกสดใส แต่ในขณะเดียวกันเมื่อท้องฟ้าที่เป็นสีฟ้าถูกเมฆก้อนเขื่องกินพื้นที่ไปเกินครึ่งจนแม้แต่แสงอาทิตย์เองก็ยังส่องลอดลงมาสู่พื้นลำบาก บ้านเมืองที่เคยน่ารักเหล่านั้นก็ให้ความรู้สึกหมองหม่นขึ้นมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ในเวลาเดียวกัน 


       ชีวิตที่ห่างไกลจากความคึกครื้นและแสงสีเสียงของความเป็นเมืองนั้นแสนเรียบง่าย อาจเพราะความตั้งใจของเราไม่ได้จับจดอยู่กับการท่องเที่ยวมากจนเกินไปนัก รวมถึงเป็นวันแรกๆที่มาถึงของการเดินทาง สิ่งที่เราทำในช่วงสี่วันแรกจึงมีเพียงการนั่งบัสชมเมืองเล็กๆแห่งนี้ไปโดยรอบกับเดินไปซื้อของที่ Tesco และร้านสะดวกซื้อใกล้บ้าน กลับมาทำอาหารง่ายๆกินกันที่บ้านพักแต่เพียงเท่านั้น ซึ่งเราไม่รู้เลยว่าความสะดวกกาย เบาสบายในหัวใจกับสิ่งเรียบง่ายเหล่านั้นจะอยู่กับเราไม่นาน หรือไม่ก็อาจเป็นโชคร้ายของตัวเราเองที่ไม่สามารถพบเจอมันได้ในใจกลางเมืองลอนดอน





  •    หลังจากเสร็จภาระหน้าที่ ก็ถึงเวลาที่จะศึกษาใคร่ครวญสิ่งต่างๆอย่างจับจดกับมันจริงๆสักที เช้าของวันที่ห้า เราเดินทางเข้าไป(ใกล้)ใจกลางเมืองลอนดอนมากขึ้นอีกนิด เริ่มจากรถบัสแล้วต่อด้วยทูบจนถึงที่พักใหม่ เป็นไปตามคาดทั้งจากคำเล่าจากปากของเพื่อนและภาพความเป็นเมืองในหัว ที่พักอาศัยในลอนดอนแม้จะห่างจากย่านที่ผู้อยู่อาศัยในลอนดอนจริงๆจะเรียกมันว่า ‘ใกล้’ ก็ตาม กระนั้นแล้วก็ยังทั้งเล็กและคับแคบเมื่อเทียบกับอพาร์ทเม้นสองห้องนอน หนึ่งห้องรับแขก หนึ่งห้องน้ำ และหนึ่งห้องครัวในราคาที่เท่ากันหลังเดิม ณ ชายขอบลอนดอนแห่งนั้น 


       อย่างไรก็ตาม ในความไม่ ‘ใกล้’ ในสายตาของผู้อาศัยอยู่จริงในลอนดอนคนอื่นๆ ก็ไม่ได้สร้างความรู้สึกยากลำบากต่อตัวเราแต่อย่างใดในตลอดระยะเวลาที่อาศัยอยู่ที่นั่น การเดินทางด้วยทูบไม่ได้เป็นอะไรที่เหนื่อยยาก เช่นกันกับการเดินทางเข้าไปในส่วนที่ใครเขาเรียกว่า ‘เมือง’ ก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกว่าไกลจากที่นั่นสักเท่าไหร่


       ไม่อาจบอกได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่าที่นี่เงียบสงบ เมื่อความเจริญที่ได้มาย่อมหมายถึงการที่เราต้องแลกด้วยอะไรบางอย่างไป และนั่นอาจรวมไปถึงความเงียบสงบในยามค่ำคืน รวมถึงค่าครองชีพ เช่น ค่าอาหารเป็นต้น


  •    จากคำบอกเล่าของเพื่อนที่อาศัยอยู่ที่นั่น อากาศในช่วงเวลาที่เราไปเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในนครลอนดอน หิมะที่ตกลงมาอย่างหนักจนมหาวิทยาลัยหลายแห่งต้องประกาศหยุดนับสัปดาห์ในช่วงเวลาที่อากาศควรจะอุ่นขึ้นแล้วทำเอาเมืองแห่งนี้ปั่นป่วนไปหมด ตั้งแต่เวลาเปิด-ปิดของรวงร้าน ช็อบแบรนด์เนม ตลาด รวมไปถึงตารางเวลาของทูบที่คลาดเคลื่อนกลาดเกลื่อนจากกำหนดการไปอยู่หลายสาย เริ่มตั้งแต่ในวันแรกหลังจากที่ดร็อปกระเป๋าเอาไว้ที่ห้องเป็นที่เรียบร้อย Borough Market ก็ต้อนรับเราด้วยการปิดเร็วกว่ากำหนดการในโปสเตอร์ เมื่อเราไปถึง ที่นั่นจึงต้อนรับด้วยความรกร้างว่างเปล่า จะมีก็แต่ร้านกาแฟอันเป็นที่นิยมของนักศึกษาทั้งหลายซึ่งตั้งอยู่ในตึก ที่ต้อนรับเราด้วยกาแฟอุ่นๆท่ามกลางหิมะที่เริ่มโรยตัวลงมาอีกครั้ง


       แม้จะเสียดายอยู่หน่อยๆ แต่การเดินเล่นโดยในพื้นที่รกร้างร้านค้าโดยรอบก็ถือว่าไม่ใช่อะไรที่เลวร้ายนัก รวมไปถึง Covent Garden ในวันเฉอะแฉะด้วย






  •    หากไม่นับรวมวันเวลาที่เราได้ใช้มันไปกับเพื่อนที่ไปเรียนต่ออยู่ที่นั่น กลิ่นอายและบรรยากาศของลอนดอนนั้นให้ความรู้สึกเปลี่ยวเหงาและชวนว้าเหว่ไม่น้อย มันไม่ใช่ความรู้สึกประเภทเดียวกันกับความเหงาของการไร้คู่ แต่เป็นความแปลกแยก โดดเดี่ยวและต่างคนต่างไปคนละทิศทาง อาจเพราะว่าตัวเราเองเป็นคนต่างถิ่นและรูปลักษณ์ภายนอกของผู้คนที่ไม่ใช่คนเอเชียนั้นให้ความรู้สึกแปลกตา ที่อาจทำให้เกิดคำถามว่าสิ่งเหล่านั้นรึเปล่าที่ทำให้ตัวเรารู้สึกแปลกแยก สำหรับตัวเรา เมื่อภาษาไร้ซึ่งกำแพงกั้น ความแปลกแยกของรูปพรรณนั้นส่งผลน้อยยิ่งกว่าการอยู่ในประเทศแถบเอเชียแต่ไม่สามารถสื่อสารกับใครได้เสียอีก

       เราเริ่มจาก Hyde park สวนสาธารณะที่ใครต่อใครแนะนำและต่างลงความเห็นออกไปในทิศทางเดียวกันว่าสวย เราไม่รู้ว่า Hyde park ในสายตาคนอื่นหรือภาพถ่ายของมันไม่ว่าจะจากช่างภาพฝีมือสมัครเล่นไปจนถึงช่างภาพมืออาชีพเป็นอย่างไร ด้วยความที่เราไม่เคยศึกษาหรือแม้แต่จะได้เสาะหาถึงสถานที่ต่างๆในลอนดอนมาก่อน เนื่องจากไม่คาดคิดว่าอะไรบางอย่างจะหอบพาเรามาอยู่ที่นี่ในเร็ววันนี้ เมื่อเพื่อนได้เริ่มเอ่ยถึงสถานที่ต่างๆพร้อมคำบรรยายถึงพื้นที่โดยรอบ เราจึงทึกทักเอาเองและตัดสินใจมุ่งตรงไปยังสถานที่แห่งนั้นอย่างไม่คิดสนใจสภาพอากาศที่น่าหดหู่สำหรับการท่องเที่ยว Hyde park แรกพบที่ปรากฏขึ้นต่อสายตาของเราจึงไม่ใช่สวนสาธารณะกลางเมืองที่มีสีเขียวชะอุ่มกับลำธารใส แต่เป็นสวนสีขาวที่มีแต่ความหนาวเหน็บโรยตัวอยู่ในทุกพื้นที่ ทุกครั้งที่ก้าวเท้าออกไป ในหัวของเราจะชั่งน้ำหนักว่าควรก้าวต่อไปหรือหันหลังกลับ กับพื้นที่ที่มีแต่สีขาวโพลนตรงหน้าและไม่รู้ว่ากว้างใหญ่ไพศาลเพียงใด ยังไม่บวกรวมเข้ากับกระแสลมและหิมะที่ทิ้งตัวลงมาแกล้งกันเป็นพักๆ และท้ายที่สุดอากาศอุ่นๆในร้านค้าหรือที่พักก็พ่ายแพ้ให้กับภาพที่ควรจะต้องไปเห็นด้วยสองตาของตัวเองจริงๆ ทำให้เราเลือกก้าวเดินออกไปพร้อมสัญญาในใจกับตัวเองว่าจะไม่หยุดจนกว่าจะเห็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่ตามคำบอกเล่าของเพื่อนหลายๆคน


       ด้วยความที่สภาพอากาศไม่ได้เป็นมิตรต่อการเดินเล่นในที่โล่งแจ้งเท่าใดนัก ทำให้ผู้คนใน Hyde park น้อยเสียยิ่งกว่าน้อย แต่นั่นก็อาจถือเป็นโอกาสดีที่เราจะซึมซับสิ่งต่างๆรอบตัวได้อย่างเต็มที่โดยปราศจากการรบกวนของผู้อื่น รวมไปถึงซึมซับตะกอนในใจของตนเองในทุกย่างก้าวที่ความเหน็บหนาวเกาะกินเข้ามาอาจเป็นข้อดีสำหรับความแปรปรวนของสภาพอากาศนี้ที่ผสานตัวลงได้อย่างดิบดีกับนครลอนดอนสำหรับตัวเรา เราจับจดอยู่กับตัวเอง คิดและไตร่ตรองถึงหลายๆสิ่งที่ตกค้างในตัวเอง ทุกขณะที่สองเท้าของเราจมไปในหิมะ ความคิดถึงเหตุการณ์ในอดีตรวมไปถึงปัจจุบันก็ค่อยๆซึมออกมาไม่ต่างกับความเปียกชื้นที่แตะเข้ามาถึงถุงเท้า


       มือของเราเร่งสีแดงมากขึ้นเรื่อยๆในทุกๆครั้งที่เราหยิบจับกล้องฟิล์มสลับกับการเปลี่ยนเลนส์ไปมาครั้งแล้วครั้งเล่า คิดเอาว่ามันอาจจะหลุดออกมาในตอนที่ความชากัดลึกลงไปมากกว่าความเจ็บปวดจนไม่รู้สึกอะไรอีกต่อไปแล้ว กระนั้นความคิดที่จะหยุดมันและเดินหันหลังจากไปก็มีน้อยกว่าความคิดที่อยากซึมซับสิ่งต่างๆตรงหน้ารวมไปถึงตะกอนที่ตกค้างข้างใน
       เราเห็นฝูงนกแล้วก็ยิ้มออกมา เห็นครอบครัวหนึ่งเดินผ่านแล้วก็ยิ้มตามออกมาด้วย อดคิดไม่ได้ว่าถ้ามีใครสักคนที่ไม่ได้หมายถึงใครก็ตามมาอยู่ด้วยกันที่นี่ เพื่อนสักคนที่สนิท คนในครอบครัว คนในความฝัน ใดๆก็ตาม ถ้าสองเท้าของเขามาอยู่กับเราที่นี่ เรื่องราวพวกนี้จะหันไปในทางทิศไหนกันนะ แม่จะต้องยอมแพ้ตั้งแต่ก้าวแรกที่เราเดินมาถึงที่นี่แล้วแน่ๆ ป๊าคงจะส่ายหัวและขอตัวหลบอยู่ที่บาร์ริมถนน ถ้าเป็นเพื่อนที่ตัวผอมแห้งก็คงบ่นงุ้งงิ้งๆแต่สุดท้ายก็จะเดินมาด้วยกันอยู่ดี หรือถ้าเป็นเพื่อนในกลุ่มก็คงจะคิดอะไรแผลงๆมาเล่นกันแน่ๆ  
       สิ่งเหล่านั้นพาเราหวนย้อนไปถึงอดีตที่ก้าวผ่านและอนาคตซึ่งมีทิศทางและเค้าลางมาจากปัจจุบันที่มุ่งไป และนั่นยิ่งทำให้เรารู้สึกโดดเดี่ยว ก็สาเหตุที่เราอยู่ที่นี่ อยู่ตรงนี้ ไม่ใช่เพราะมันเป็นที่ทางที่เราต้องเดินมาอันเนื่องมาจากภาระหน้าที่หรอกหรือ และสาเหตุที่ไม่มีใครอยู่ที่นี่ ไม่ใช่เพราะทุกคนมีเส้นทางที่จะต้องก้าวเดินไปของตัวเองอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง ไม่ว่าจะรัก จะยึดติดหรือผูกใจเอาไว้มากมายแค่ไหน สุดท้ายเราก็จะจมลงในความโดดเดี่ยวที่มีเพียงความทรงจำของอดีตโชยกลิ่นมาในบางคราเพียงเท่านั้น ทุกคนมีทางเลือกที่จะต้องไป ชีวิตที่ต้องเป็นของตัวเอง ความรัก ความฝันที่แตกต่าง อนาคตที่อาจจะไม่มีเราอยู่ด้วยในสักวันหนึ่งขึ้นอยู่กับความไม่แน่นอนในแผนการ ท้ายที่สุดแล้ว เราก็จะหายไป หายไปจากการดำรงอยู่ในชีวิตของใครสักคน หรือไม่...หายไปตลอดกาล หากความทรงจำของเขาไม่มีที่พอสำหรับคนเก่าๆในอดีตทั้งหลายและอาจรวมถึงตัวเรา      

    แล้วเราก็จะหายไป แล้วทุกคนก็จะหายไป...

       เราคิดถึงแต่ถ้อยคำนี้อยู่ตลอดเวลาอย่างไร้เหตุผล เรารู้สึกเศร้าจากการเฝ้ามอง เศร้ากับอารมณ์ของตัวเองที่ไม่รู้ว่ามันเริ่มมาจากที่ตรงไหนกันแน่    
       เราเริ่มคิดถึงการตายบ่อยขึ้นกว่าเดิมตั้งแต่ช่วงปลายปี 2017  บ่อยขึ้นในที่นี้คือแทบจะในทุกๆวันที่มีโอกาสได้อยู่ในความเงียบ อาจเพราะหลายเหตุการณ์ในช่วงปลายปีนั้นพาเราวนเวียนอยู่แต่กับสิ่งเหล่านี้ ทั้งเหตุการณ์ไกลตัวมาจนถึงคนใกล้ตัว คิดในสองแง่มุม การจากไปของตนเอง และการจากไปของคนที่เรารัก   
       ในส่วนการจากไปของคนที่เรารักยังพอเป็นอะไรที่สามารถบรรยายออกมาในหมวดหมู่ความรู้สึกที่เขียนเป็นตัวหนังสือได้ มันเป็นความรู้สึกประเภทที่รู้ว่าความตายกำลังคืบคลานมาหาใครคนใดคนหนึ่งในทุกๆวินาทีที่เข็มวิกระดิกวนอยู่บนหน้าปัดนาฬิกา เราไม่ชอบความรู้สึกที่ทำได้เพียงเฝ้ามองต่อบางสิ่ง เฝ้ามองมันที่จะจมหายไปเพียงเมื่อวันเวลามาถึง ทุกคนล้วนแล้วจะต้องหายไป ร่างกายมนุษย์ไม่ใช่สิ่งที่จะคงอยู่ตลอดกาล แต่การเฝ้ามองความตายคืบคลานเข้ามารบกวนหัวใจของเราอยู่ตลอดจนไม่มีความสุขและนั่นทำให้เรารู้สึกเศร้า แม้จะมีภาษิตมากมายที่บอกให้มีความสุขอยู่ในปัจจุบัน อยู่กับ ณ ขณะนั้นแทนการพาตัวเองโลดแล่นไปยังสิ่งที่ยังมาไม่ถึง แต่ความคิดต่อสิ่งเหล่านี้เกาะกินหัวใจเราอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะในเวลาที่คนที่เรารักอยู่ตรงหน้า กำลังยิ้ม หัวเราะอยู่กับเรา นั่นยิ่งทำให้เรารู้สึกเศร้าขึ้นมากับทุกๆรอยยิ้มของเขา   
       และในส่วนมุมมองของเรา ยากเกินไปแม้เป็นในเวลานี้ที่จะเรียบเรียงออกมาเป็นถ้อยคำ

       เราไม่ชอบพบปะผู้คนที่จำเป็นต้องเริ่มต้นความสัมพันธ์ใหม่ แต่ชอบที่จะคุยกับคนแปลกหน้า เอาตัวไปอยู่ในฝูงชนในนามของผู้สังเกตการณ์ เฝ้ามอง และลอบเก็บรอยยิ้มหรือสีหน้าของพวกเขา ที่ๆเราไปจึงหนีไม่พ้นที่ซึ่งเต็มไปด้วยฝูงชนแปลกหน้าอย่าง National Gallery


       ทั้งที่ผู้คนจำนวนมากอัดแน่นอยู่ในสถานที่แห่งนั้น แต่ความสงบอันน่าประหลาดก็ยังเกิดขึ้นอย่างย้อนแย้งต่อจำนวนสัตว์สังคมในโถงใหญ่ ดูเหมือนว่าทุกคนจะอาศัยอยู่แต่ในโลกใบเล็กที่ตัวเองสร้างขึ้น ทั้งศิลปินที่ลอบเก็บงานศิลปะตรงหน้าลงไปในสมุดสเก็ชภาพผ่านฝีมือของตัวเองไปจนถึงใครหลายๆคนที่ยืนจ้องภาพๆหนึ่งนานนับนาทีโดยไม่กระดิกไปไหน นั่นเป็นเสน่ห์ที่เราอาจพบเห็นได้ในที่ที่ผู้คนมุ่งไปด้วยความตั้งใจและความสนใจอย่างแท้จริง มากกว่าการบังคับหรือไปเพราะใครๆเขาก็ทำกันอะไรแบบนั้น   
       เราชอบศิลปะ แต่ไม่อาจบอกว่าเป็นคนที่แตกฉานในการซึมซับอย่างลึกซึ้งถึงความหมายขนาดที่จะสามารถมองได้ออกถึงข้อความเชิงสัญลักษณ์ทั้งหลายที่แฝงอยู่ในภาพ ไปจนถึงการตีความของแต่ละเฉดสีที่เลือกใช้ และนั่นเองที่ทำให้ศิลปะมีเสน่ห์ในตัวมันเองสำหรับเรา เพราะการเพ่งจ้องของแต่ละคนต่อภาพหนึ่งภาพย่อมสามารถตีความหมายออกไปได้ไม่รู้กี่ร้อยพันอย่าง กับความรู้สึกของคนที่ยากเหลือเกินกับการจะหยั่งวัด แม้มีเกณฑ์ให้ใช้ในการมองเห็นภาพรวมมากขึ้น หลายต่อหลายอย่างมาช่วยในการตีกรอบ สำหรับคนทั่วไปที่ไม่ได้รู้เกณฑ์อันหลากหลายเหล่านั้นก็ย่อมจะตีความมันออกไปในรูปแบบของตัวเองอยู่ดี ฟังดูเป็นข้อแก้ตัวสำหรับคนโง่เขลาที่ไม่ยอมเปิดใจรับเอาทฤษฎีและความรู้เข้ามาในสมอง แต่สำหรับการเพ่งจ้องด้วยสมาธิต่อสิ่งๆหนึ่ง ความรู้สึก ณ ห้วงเวลานั้นเป็นของจริงสำหรับตัวเรามากกว่าการใช้เกณฑ์ใดๆมากะแบ่งเพื่อเลือกเฟ้นอารมณ์อันหลากหลายขึ้นมาและบอกว่านี่แหละคือสิ่งที่ควรจะเป็น   
       เราชอบผู้คน ชอบฝูงชนที่คล้ายกับจะเป็นคนละสิ่งกับตัวเรา และเราเป็นอิสระต่อสิ่งๆนั้น ยืนมองดูจากที่ห่างไกลเหมือนตัวเองเป็นแค่รูปปั้นที่จะไม่มีใครมองเห็น สังเกตพวกเขาและลอบยิ้มตามราวกับกำลังนั่งชมภาพยนตร์สักเรื่อง และเพราะเราเป็นอิสระต่อสิ่งๆนั้น เป็นเพียงคนแปลกหน้าที่มีโอกาสน้อยเต็มทีที่จะได้โคจรกลับมาพบ หลายๆครั้งที่อารมณ์อยู่ในระดับอันเป็นปกติ เราชอบยิ้มให้คนแปลกหน้าหากบังเอิญมีจังหวะได้สบตา จำได้ว่าเมื่อก่อนจ้องตาเขม็งกลับ แต่วันเวลาที่เปลี่ยนไปก็ช่วยกล่อมเกลาความคิดของแต่ละคนให้กลมกล่อมขึ้นได้กระมัง ไม่ใช่ว่าต้องการผูกมิตรหรือหวังให้มีชั่วโมงต้องมนต์คืนกลับมาให้แต่อย่างใด เพียงแต่ทุกวันนี้คนเราต่างแบกรับเรื่องราวต่างๆเอาไว้บนไหล่ของตัวเองมากมายเหลือเกิน และรอยยิ้มของคนแปลกหน้าที่เป็นเพียงสิ่งเล็กน้อยสิ่งหนึ่งซึ่งไม่ได้เสียหายหากจะหยิบยื่นให้ใครสักคน ในบางครั้งอาจทำให้ใครคนหนึ่งที่ได้รับไม่รู้สึกว่าวันของเขาเลวร้ายจนเกินไป

                                             ‘เพราะคนเราอยู่ได้ด้วยความเห็นอกเห็นใจ...’

    นี่เป็นหนึ่งในวลีจากการ์ตูนเรื่องโปรดที่มี impact อย่างมหาศาลต่อตัวเราตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้อ่าน ในบางครั้งความเย่อหยิ่งในตัว เกียรติและความภาคภูมิใจในตัวเองก็มักจะทำให้เราหลงลืมสิ่งเหล่านั้น ยิ่งถูกยกขึ้นสู่ที่สูง ได้รับคำสรรเสริญเยินยอ เราก็มักจะเผอเรอสิ่งเล็กๆน้อยๆที่ทำให้กันได้โดยไม่ลำบากเหล่านี้ไปเสมอ แม้ว่าหนึ่งรอยยิ้มคงไม่อาจเปลี่ยนแปลงสิ่งใด แต่เราคิดว่าโลกที่มีรอยยิ้มแม้จากเพียงคนแปลกหน้า ก็คงจะดีกว่าความถมึงทึงอันไร้ซึ่งประโยชน์อยู่วันยังค่ำ












  •    ออกจาก National Gallery หิมะก็ยิ่งเทลงมาหนักจนต้องหนีหลบเข้าร้านอาหารอีกร่วมพักใหญ่ๆ แน่นอนว่าหิมะที่โปรยปรายลงมาย่อมดูสวยดีสำหรับการถูกบันทึกเอาไว้เป็นภาพถ่าย แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสนุกแน่หากมองในมุมของผู้คนที่เดินฝ่าความหนาวเหน็บเหล่านั้น หากไม่นับรวมกระแสลมแรงที่มักแถมมากับหิมะ เราทั้งชอบและไม่ชอบหิมะในเวลาเดียวกัน ไม่ชอบที่มันทำให้ท้องถนนเฉอะแฉะ ทำให้ตลาดปิดเร็ว ทำให้หนาวจนขาขึ้นเลือดเป็นจ้ำเป็นจ้ำ แต่แน่นอนว่าความสวยและความรู้สึกสงบของมันย่อมทำให้เราพอใจ รวมไปถึงความเปลี่ยวเหงาจนต้องยกมือขึ้นมาลูบแขนของตัวเองเบาๆในหลายๆครั้ง เราชอบที่จะรู้สึกแบบนั้นหรือไม่ก็คงชินที่จะอาศัยร่วมกับมันมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ไม่ว่าด้วยสาเหตุใด ความปล่าวเปลี่ยวอาจไม่ใช่เรื่องเลวร้าย เพราะมันทำให้เราได้ใคร่ครวญ ได้นึกถึงในหลายๆสิ่งที่ตัวเราอาจเป็นผู้หลงลืม และแม้ว่าในบางครั้งจะนำมาพามาซึ่งความเศร้า แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่ต่ำช้าเลวทรามอยู่ดี


       ที่ที่เราเลือกเป็นจุดหมายถัดไปถือเป็นแลนด์มาร์กอีกแห่งหนึ่งของลอนดอน ซึ่งก็คงหนีไม่พ้น พลุกพล่านไปด้วยผู้คนแม้ในวันหิมะตกอีกเช่นเคย


       หมอกปกคลุมไปหมดตอนที่เราออกจากทูบ ณ สถานี Westminster สมกับฉายาที่เคยได้ยินมาว่าลอนดอนเป็นเมืองในหมอก มันทั้งสวยและให้ความรู้สึกทึมเทาอย่างถึงที่สุดในเวลาเดียวกัน แม้ว่ารูปที่ได้กลับมาจะเหมือนฝ้าและราจับเลนส์กล้องมากกว่า
       เราเดินเล่นอยู่ที่นั่นสักพัก แม้หอนาฬิกาบิกเบนจะถูกคลุมผ้าสีเทาเสียจนมิดเพื่อปิดซ่อม อยากซึมซับบรรยากาศสีเทาตรงหน้า สีเทาให้ความรู้สึกถึงความก้ำกึ่ง ไม่สามารถบอกว่าซ้ายหรือขวา ดำหรือขาว สวยหรือน่าเกลียด มันไม่ใช่อะไรทั้งนั้น เพียงแค่ความพร่าเบลอของเส้นแบ่งระหว่างสิ่งของตรงกันข้าม เราชอบสิ่งเหล่านั้นเป็นการส่วนตัว พูดให้ถูก ทั้งรักทั้งเกลียดอาจจะดีกว่า กับการไม่สามารถชี้ชัดลงไป และได้แต่ปล่อยให้ความพร่าเลือนปกคลุม มันไม่ได้ดี แต่ก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิด















  •    เราได้กลับไปที่ London Eye อีกครั้งในวันที่อากาศแจ่มใส รวมไปถึง Borough Market, Lodon Bridge และอีกหลายๆที่ น่าตลกดีที่การไปลอนดอนเก้าวันมีวันที่อากาศแจ่มใสอยู่เพียงแค่สองในช่วงที่อากาศควรจะอุ่นขึ้นแล้ว หากคิดเข้าข้างตัวเองหน่อย ก็คงพอบอกได้ว่านี่คงเป็นการต้อนรับกันของเมืองในหมอกให้สมกับสมยานามนั้น ต้อนรับการมาเยือนของผู้มีตะกอนในใจ ให้บรรยากาศเหล่านั้นตีมันขึ้นมาจนฟุ้ง


       ลอนดอนในวันสดใสให้ความรู้สึกที่แปลกแยกออกไปจากลอนดอนที่เต็มไปด้วยหมอกและหิมะค่อนข้างมาก คล้ายกับดวงอาทิตย์ที่หอบเอาแสงแดดกลับลงมาบนพื้นโลกผ่านเมฆทึบหนาคืนสีสันอื่นๆนอกจากสีขาวให้กับบ้านเมือง รวงร้าน ตึกสูงรวมไปถึงตลาด
        เราได้มีโอกาสพูดคุยกับคนคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ที่นั่น เขาบอกกับเราว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่น่าอิจฉา มีผลไม้และพืชพรรณมากมาย มีแสงแดดที่ให้ความรู้สึกอุ่น (จนร้อน) และนั่นเป็นอะไรที่สวยงามมาก ประเทศของเขามีดวงอาทิตย์ แต่เป็นดวงอาทิตย์ที่ให้ได้เพียงแสงแดด ไม่ใช่ความร้อนหรือความอบอุ่น เพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆที่ได้มาอยู่ที่นี่ ส่วนหนึ่งของเราเข้าใจในความหมายนั้นดีขึ้นอีกนิด อย่างน้อยก็ในตอนที่ได้เห็นผู้คนบนท้องถนนที่เพิ่มจำนวนขึ้นมากกว่าในวันที่หิมะตก 


        ก่อนการเดินทางในครั้งนี้ เราได้บังเอิญเริ่มอ่านหนังสือเรื่องหนึ่ง และอ่านมันจบพอดิบพอดีในช่วงที่เราเดินทางกลับมา ตั้งแต่หน้าแรกจนหน้าสุดท้าย ไม่ว่าจะเป็นคำนำสำนักพิมพ์หรือคำนำนักเขียนก็ตามและนั่นทำให้ตะกอนในตัวที่ลอยฟุ้งอยู่ในตัวเราเริ่มร่วงตกลงมาอีกครั้ง (แม้จะเพียงจำนวนหนึ่ง) หลังจากที่มันเอาแต่ลอยสะเปะสะปะไปมาอยู่ในตัวเรามาสักระยะใหญ่ๆ


       แม้หนังสือเล่มดังกล่าวจะชื่อว่า ‘ลอนดอนกับความลับในรอยจูบ’ กระนั้นแล้วเนื้อเรื่องในเล่มทั้งหมดที่ดำเนินไปกลับไม่ได้มีอยู่แต่เพียงในนครลอดอน เพียงแต่การเริ่มต้นของตัวละครที่เป็นตัวเดินเรื่องและเรื่องราวที่มาที่ไปของสาระที่เขียนถูกผูกโยงเข้ากับสถานที่แห่งนี้เพียงเท่านั้น
        เป็นการพบพานและการลาจาก การหายไปตลอดกาล การพลัดพราก หรือการถูกแช่แข็งเอาไว้ มีชีวิตอยู่เป็นนิรันดร์ในสถานที่ที่ชื่อว่าความทรงจำ อันเป็นสิ่งที่เราใคร่ครวญอย่างหนักในการเดินทางครั้งนี้ การเดินทางที่เป้นไปอย่างโดดเดี่ยว และทำให้นึกถึงผู้คนมากมายที่เดินสวนกันไปมาได้เพียงเฉพาะในความทรงจำเท่านั้น อาจเพราะหนังที่ดูบนเครื่องด้วยที่เป็นแรงขับดันให้เรายิ่งทิ้งตัวลงดิ่งอยู่กับหัวข้อเหล่านี้ลึกลงเรื่อยๆ การ์ตูนของบริษัทยักษ์ใหญ่ที่เด็กดูได้ผู้ใหญ่ดูดี การมีชีวิตอยู่ที่ไม่ได้ขึ้นอยู่เพียงร่างกายหรือเป็นลมหายใจ แต่การตายจากที่แท้จริง มาจากการลืมเลือนไปจากความทรงจำของใครก็ตาม 

                                                          ฉันจำทุกคนที่จากไปเสมอ...

       ตัวละครตัวหนึ่งจากบริษัทเดียวกันเคยบอกเอาไว้ และนั่นเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ฝังใจเราอย่างไร้เหตุผล เราไม่ชอบการพบปะหรือผูกสัมพันธ์ขึ้นใหม่ และในทางตรงกันข้าม นับวัน ตัวเราเองยิ่งดำดิ่งอยู่แต่กับคนในอดีต คนที่ไม่มีทางเป็นปัจจุบันได้ ไปจนถึงคนที่น้อยครั้งเหลือเกินจะได้มีโอกาสพบหน้า
       เรารักและหวงแหนโลกใบน้อยใบนั้น กอดมันเอาไว้เป็นสิ่งที่มีคุณค่าและความหมายในตัวเรา ตัวเราที่ประกอบขึ้นเป็นปัจจุบันนี้ถูกหล่อหลอมโดยแท่นพิมพ์ที่มาจากการปั้นของพวกเขา เราไม่สามารถเป็นตัวเราเองแบบที่เป็นอยู่ได้หากปราศจากคนเหล่านั้น และนั่นทำให้เรากอดรัดพวกเขาเอาไว้แน่นเหลือเกิน แน่นจนบางครั้งตัวเองรู้สึกเจ็บ เจ็บกับเรื่องเล็กน้อยที่มาจากการผูกมัดอันแน่นเกินไปของตัวเอง เรารู้และเข้าใจความเจ็บปวดที่เกิดจากการกอดรัดประเภทนี้ดี แต่การจะนำความเข้าใจมาประยุกต์ให้รับกันได้กับความรู้สึกไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนจะสามารถรับมือกับมันได้ และเช่นกัน เราเป็นคนประเภทนั้น คนที่ไม่สามารถทำอะไรกับมันได้เลยนอกจากรับรู้ถึงความเจ็บปวดเงียบๆเพียงอย่างเดียว

       อย่างไรก็ตาม แม้ลอนดอนอาจไม่ใช่เมืองที่ทำให้หัวใจของเราลอยฟ่องไปกับความสุขจนรู้สึกเหมือนฝัน มันกลับเป็นสถานที่อันดีเยี่ยมให้เราได้ตกตะกอนในตัวเองและมีโอกาสได้เรียบเรียงส่วนหนึ่งออกมาเป็นความรู้สึก ความมัวหมองของมันขับส่วนที่ลอยฟุ้งในตัวเราให้ยิ่งเด่นชัด ความเปล่าเปลี่ยวทำให้เราตระหนักถึงบุคคลที่มีค่า ความแปลกหน้าทำให้เรามองเห็นถึงหลายความอาทรที่ซ่อนอยู่ เราไม่รู้ว่าตัวเองจะมีโอกาสได้กลับไปยังสถานที่แห่งนี้อีกหรือไม่ แต่หากได้กลับไป เราหวังว่าตัวเองในตอนนั้นจะไปด้วยความรู้สึกที่ดีกว่าในตอนนี้ จะได้ใคร่ครวญในมุมมองที่ต่างออกไป หรือไปด้วยพลังบวกที่มากกว่าความรู้สึกต่างๆที่ยากต่อการอธิบายเช่นในครั้งนี้ ขอบคุณในโชคชะตา ภาระหน้าที่ และบทสนทนาเล็กน้อยกับคนแปลกหน้า ขอบคุณหนังสือ ‘ลอนดอนกับความลับในรอยจูบ’ ที่ทำให้เราได้ตระหนักถึงสิ่งต่างๆมากขึ้นและได้ไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนในหลายสิ่ง ขอบคุณคนสำคัญทุกทุกคนที่ยังมีชีวิตอยู่ ทั้งในชีวิตจริงของเรา และในความทรงจำ





















Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in