เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Miscellaneous Thoughtskhuuun
Walk on the Wild Side: ฟังเรื่องราวของชาว LGBT ผ่าน Glam Rock ยุค 70
  • เนื่องจากช่วงนี้ติด Drag Queen เป็นพิเศษ บล็อกนี้เลยจะมาเล่าเรื่องราวของ Drag Queens และชาวเพศทางเลือกที่มีบทบาทสำคัญในวงการ Drag Queen และวงการ LGBT ให้อ่านกัน
    โดยจะพาไปสำรวจเรื่องราวของพวกเขาและเธอผ่านเพลง Walk on the Wild Side หนึ่งในเพลงฮิตตลอดกาลของ Lou Reed ศิลปินระดับตำนานผู้ล่วงลับ



    Walk on the Wild Side เป็นแทร็คลำดับที่ 5 ในอัลบั้ม Transformer ผลงานเดี่ยวอัลบั้มที่สองของ Lou Reed ด้วยผลงานการแต่งเพลงของ Reed กับการโปรดิวซ์ของ David Bowie และ Mick Ronson ทำให้ Transformer นำชื่อของเขาเข้าสู่กลุ่มผู้ฟังกระแสหลักและโด่งดังในระดับอินเตอร์ได้ในที่สุด
    จุดเริ่มต้นของเพลงนี้เกิดจากนิยายเรื่อง A Walk on the wild side ในปี 1956 ของ Nelson Algren โดยในตอนแรก Reed ได้ถูกขอให้ทำเพลงประกอบละครเวทีให้นิยายเรื่อง A Walk on the Wild Side แต่โปรเจคนั้นไม่สำเร็จเสียที Reed จึงนำเพลงไปพัฒนาเพิ่มเป็นเพื่อใส่ในอัลบั้มของตัวเอง
    ในส่วนของเนื้อเพลง Reed เขียนบอกเล่าเรื่องราวของผู้คนรอบตัวเขา ซึ่งหลักๆก็จะเกี่ยวข้องกับบุคคลใน Warhol’s Factory นั่นเอง


    Warhol’s Factory คืออะไร?

    The Factory เป็นสตูดิโอของศิลปินระดับโลก Andy Warhol ที่เจ้าตัวใช้เป็นที่สร้างสรรค์ผลงานศิลปะต่างๆไม่ว่าจะเป็นภาพวาด, ภาพพิมพ์, ภาพยนตร์ และงานปั้น รวมถึงยังเป็นที่สำหรับซ้อมทำเพลงของวงร็อคชื่อดังระดับตำนานอย่าง The Velvet Underground ด้วยเช่นกัน
    The Factory โด่งดังจากการจัดปาร์ตี้สุดแหวกแนว และยังจัดว่าเป็นที่แฮงค์เอ้าท์สุดฮิปของเหล่าศิลปิน (เช่น Mick Jagger, David Bowie, Lou Reed, Bob Dylan เป็นต้น) และซูเปอร์สตาร์ในสังกัดของวอร์ฮอล์ รวมถึงเหล่าผู้เสพแอมเฟตามีนทั้งหลายอีกด้วย (...)

    Walk on the Wild Side เล่าเรื่องราวของซูเปอร์สตาร์ 5 คนในสังกัดของแอนดี้ วอร์ฮอล์ ที่ทั้งหมดล้วนเคยใช้ชีวิตในโลกสีเทาเพื่อดิ้นรนมีชีวิตรอดท่ามกลางมหานครนิวยอร์ค ก่อนจะได้มาพบกับวอร์ฮอล์ ศิลปินที่ช่วยสร้างชื่อเสียงให้กับพวกเขาภายหลัง ผ่านเนื้อเพลงท่อนละหก-เจ็ดบรรทัด พร้อมกับทำนองนุ่มๆฟังสบายๆและค่อนข้างติดหู อีกครั้งแล้วที่ Lou Reed หลอกให้คุณฟังดนตรีสบายๆแต่เนื้อเพลงกลับแฝงไปด้วยเรื่องสีเทาๆอย่างเช่น ยาเสพติด การค้าประเวณี และการทำ oral sex (หลอกกันมาตั้งแต่ยุค Velvet Underground -_- )


    5 ตัวละครในเพลง walk on the wild side

    Holly came from Miami F L A
    Hitchhiked her way across the U S A
    Plucked her eyebrows on the way
    Shaved her legs and then he was a she
    She says "Hey babe, take a walk on the wild side,"
    Said "Hey honey, take a walk on the wild side."
    เนื้อเพลงในท่อนแรกกล่าวถึง Holly Woodlawn หญิงข้ามเพศชาวเปอโตริกันที่เติบโตในแถบชายฝั่งหาดไมอามี่ เธอออกจากบ้านมาตอนอายุแค่เพียง 15 ปี ฮอล์ลี่โบกรถข้ามรัฐมาเรื่อยๆจนกระทั่งถึงนิวยอร์ค แล้วเริ่มต้นชีวิตในเมืองหลวงด้วยการเป็นโสเภณี จนกระทั่งได้พบกับวอร์ฮอล์ที่ The Factory และบังเอิญไปสะดุดตา Paul Morrissey พาร์ทเนอร์ของวอร์ฮอล ที่กำลังถ่ายภาพยนตร์เรื่อง Chelsea Girls และ Flesh ฮอล์ลี่เริ่มสร้างชื่อเสียงจากการเป็นนักแสดงในหนังของวอร์ฮอล์ โดย Morrissey ได้ให้เธอแสดงคู่กับ Joe Dallesandro ในเรื่อง Trash (1970) และได้ร่วมเล่น Women in revolt (1971) กับ Candy Darling และ Jackie Curtis เธอเคยพิจารณาเรื่องการผ่าตัดแปลงเพศ แต่ภายหลังก็ตัดสินใจที่จะไม่ทำ ฮอล์ลี่เสียชีวิตตอนอายุ 69 ปีด้วยสาเหตุจากมะเร็งสมองและตับ

    Holly Woodlawn (1970)
    ฮอล์ลี่ วูดลอว์น ถือเป็นนักปฎิวัติคนสำคัญคนหนึ่งของวงการ LGBT เธอประกาศตัวว่าเป็นหญิงข้ามเพศและใช้ชีวิตอย่างเปิดเผยในยุค 60 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สิ่งที่เธอเป็นยังถูกผู้คนเหยียดหยาม ด่าทอ และมองว่าเป็นโรคที่ต้องรักษา ฮอล์ลี่คอยบุกเบิกเรื่องสิทธิความเท่าเทียมของ LGBT มาตลอดชีวิตของเธอ และสิ่งสุดท้ายที่เธอทิ้งไว้ก่อนจะจากโลกนี้ไปคือการจัดตั้งกองทุนรับบริจาค Holly Woodlawn Memorial Fund for Transgender Youth เพื่อช่วยเหลือเด็กวัยรุ่นข้ามเพศที่ตกอยู่ในความเสี่ยง เงินที่ได้จากการบริจาคจะเข้าสู่ Los Angeles LGBT Center โดยจะให้ความช่วยเหลือในระบบบริการด้านสุขภาพ ให้คำปรึกษาด้านอาชีพ และสนับสนุน Trans Pride


    Candy came from out on the Island
    In the backroom she was just everybody's darling
    But she never lost her head
    Even when she was giving head
    She says, hey baby, take a walk on the wild side
    Said, hey babe, take a walk on the wild side
    บุคคลคนที่สองที่ถูกกล่าวถึงในเพลงคือ Candy Darling อีกหนึ่งแดรกควีนและหญิงข้ามเพศรุ่นบุกเบิกที่โด่งดังในฐานะนักแสดงและซูเปอร์สตาร์ในสังกัดของแอนดี้ วอร์ฮอล์ นอกจากนี้เธอยังเป็นมิวส์ของ Lou Reed อีกด้วย Reed ได้แต่งเพลง Candy Says ไว้ตั้งแต่ยังอยู่ในวง Velvet Underground เป็นเพลงทำนองหม่นๆช้าๆที่พูดถึงความโดดเดี่ยว คับข้องใจ และความสับสนภายในจิตใจของแคนดี้ นอกจากนี้เธอยังถูกกล่าวถึงในเพลง Citadel ของ The Rolling Stones ด้วยเช่นกัน
    แคนดี้เริ่มต้นเส้นทางในสายซูเปอร์สตาร์โดยการอุปถัมภ์ของวอร์ฮอล์ เธอเป็นที่รู้จักจากภาพยนตร์เรื่องแรก Flesh (1968) และ Women in Revolt (1971) จากนั้นวอร์ฮอล์ก็หมดความสนใจในตัวเธอและตีตัวออกห่างอย่างเย็นชา แคนดี้เสียชีวิตตอนอายุเพียง 29 จากโรคมะเร็งในเม็ดเลือด ซึ่งเป็นผลมาจากการที่เธอฉีดฮอร์โมนเพศหญิงจำนวนมาก
    Candy Darling (1970)
    ในช่วงปลายยุค 60 วัฒนธรรมของแดรกควีนค่อยๆปรากฎออกมาให้เป็นที่รู้จักของสังคมอย่างช้าๆ ในปีที่แดรกควีนยังไม่เป็นที่ยอมรับของสังคมกระแสหลัก แคนดี้จัดว่าเป็นคนแรกๆที่นำวัฒนธรรมแดรกเข้าสู่ป๊อบคัลเจอร์ และยังเป็นหนึ่งในหญิงข้ามเพศรุ่นแรกๆที่เข้ารับการฉีดฮอร์โมนอีกด้วย

    แคนดี้ ดาร์ลิ่ง ได้เป็นแรงบันดาลใจให้กับแดรกควีนรุ่นหลังๆมากมาย เช่น Candy Warhol หนึ่งในแดรกควีนระดับท็อปจากประเทศไอร์แลนด์ ซึ่งชื่อในวงการและวิถีการแต่งแดรกของเธอก็ได้แรงบันดาลใจมาจากแคนดี้และวอร์ฮอล์นั่นเอง

    กระทั่งในวาระสุดท้ายของชีวิตของเธอยังเป็นที่จดจำ ช่างภาพ Peter Hujar ได้ถ่ายภาพแคนดี้ก่อนเสียชีวิตบนเตียงพร้อมดอกกุหลาบ ที่เป็นที่รู้จักกันในชื่อ "Candy Darling on her Deathbed" ซึ่งรูปอันโด่งดังนี้ได้กลายมาเป็นปกอัลบั้ม I Am a Bird Now ผลงานอัลบั้มที่สองของวง Antony and The Johnsons และนอกจากนี้ Sharon Needles แดรกควีนผู้ชนะจากรายการ Rupaul's Drag Race ในซีซั่น 4 ได้ ยังได้ tribute ให้เธอโดยการแต่งแดรกเป็นแคนดี้และนำซีนอันโด่งดังนั้นมาใส่ไว้ใน MV Andy Warhol is dead หนึ่งในผลงานจากอัลบั้ม Battle Axe ของเธอเอง

    Candy Darling (รูปจริง) และ Sharon Needles จาก MV Andy Warhol is dead
    นอกจากนี้ แคนดี้ ดาร์ลิ่งยังได้ปรากฎอยู่บนปกซิงเกิ้ลเพลง Sheila Take a Bow ของวง The Smiths อีกด้วย


    Little Joe never once gave it away
    Everybody had to pay and pay
    A hustle here and a hustle there
    New York City is the place where they said
    "Hey babe, take a walk on the wild side
    I said hey Joe, take a walk on the wild side
    ท่อนที่สาม Reed ได้กล่าวถึง Joe Dallesandro บุคคลที่โด่งดังที่สุดในบรรดาซูเปอร์สตาร์ของวอร์ฮอล์ทั้งหมด ในวัยเด็ก โจหนีออกจากศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพและได้มาเจอกับวอร์ฮอล์ผ่านทางการจัดหานายแบบถ่ายภาพเปลือย ชื่อเสียงของเขานั้นเริ่มจากเป็นนักแสดงในภาพยนตร์นอกกระแสของวอร์ฮอล์เรื่อง Flesh (1968) และค่อยๆข้ามไปสู่กระแสหลัก ภายหลังโจมีผลงานภาพยนตร์ร่วมกับดารามากมาย เช่น Johnny Depp, Bruce Willis และ Drew Barrymore โจได้ประกาศว่าเขาเป็นไบเซ็กชวลอย่างเปิดเผยและถูกยกให้เป็น Sex Symbol ในหมู่ชาวเกย์อีกด้วย
    Joe Dallesandro (1968)
    และผลงานที่เป็นที่จดจำอีกอย่างหนึ่งก็คือ ปกอัลบั้ม Sticky Fingers อันโด่งดังของ The Rolling Stones ซึ่งถ่ายโดยวอร์ฮอล์ ที่จริงการถ่ายรูปปกอัลบั้มนี้มีนายแบบหลายคนรวมถึงโจด้วย และไม่เคยมีการเปิดเผยว่าใครเป็นเจ้าของเป้านี้ แต่โจได้ออกมาบอกว่านั่นเป็นเขาเอง

    และโจยังได้ไปปรากฎอยู่ปกอัลบั้มเดบิวต์อันโด่งดังของวง The Smiths อีกด้วย ซึ่งภาพนี้เป็นภาพถ่ายที่นำมาจากภาพยนตร์เรื่อง Flesh นั่นเอง


    Sugar Plum Fairy came and hit the streets
    Looking for soul food and a place to eat
    Went to the Apollo
    You should have seen him go go go
    They said "Hey sugar, take a walk on the wild side"
    I said "Hey babe, take a walk on the wild side" alright, huh
    Sugar Plum Fairy เป็นชื่อเล่นของ Joe Campbell ซึ่งมีที่มาจากภาพยนตร์ My Hustler ของวอร์ฮอล์ที่แคมป์เบลล์เล่นในปี 1965 เนื่องจากแคมป์เบลล์ไม่ได้มีบทบาทสำคัญในฐานะซูเปอร์สตาร์ของวอร์ฮอล์เท่าใดนัก แต่เขาเป็นที่รู้จักจากการเป็นอดีตคนรักของ Harvey Milk หนึ่งในบุคคลสำคัญของวงการ LGBT เราจึงขอเล่าเรื่องของฮาร์วีย์ มิลค์ เสริมเข้ามาแทน 
    Harvey Milk และ Joe Campbell (1950)
    ในปลายยุค 70 ที่สังคมอเมริกายังเต็มไปด้วยอคติและความเกลียดชังต่อเพศทางเลือก ชาวเกย์ถูกตำรวจตั้งข้อหาอย่างไม่เป็นธรรมและถูกทำร้ายร่างกาย หรือแม้กระทั่งถูกฆาตกรรม ฮาร์วีย์ มิลค์จึงได้ตัดสินใจลงมือเคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อเรียกร้องสิทธิความเท่าเทียมให้กับชาวเกย์ทั้งหลาย มิลค์เป็นนักการเมืองคนแรกที่ประกาศตัวว่าเป็นเกย์อย่างเปิดเผย และไม่เพียงแต่เรียกร้องสิทธิเพื่อชาว LGBT เท่านั้น เขายังต่อสู้เพื่อคนชายขอบ เช่นคนผิวสี คนพิการ และเรียกร้องสิทธิเพื่อมนุษยชนต่างๆ ซึ่งภายหลังมิลค์ได้มีเรื่องขัดแย้งกับคู่แข่งทางการเมืองที่เกลียดเกย์ ทำให้ถูกลอบสังหารในปี 1978

    การเคลื่อนไหวของมิลค์นับเป็นก้าวสำคัญของชาว LGBT ในอเมริกา ที่ก่อให้เกิดกระแสเรียกร้องสิทธิเพื่อชาว LGBT ขึ้นอย่างกว้างขวางยาวนานมาตลอดหลายปี จนมาถึงวันที่อเมริกามีกฎหมายรองรับการแต่งงานของเพศเดียวกันในปี 2015


    Jackie, she is just speeding away
    Thought she was James Dean for a day
    Then you know that she had to crash on
    Valium would have helped that bash
    She said "Hey, babe, take a walk on the wild side
    I said, hey honey, take a walk on the wild side"
    บุคคลสุดท้ายที่ถูกกล่าวถึงในเพลงคือ Jackie Curtis อีกหนึ่งศิลปินมากความสามารถในสังกัดของวอร์ฮอล์ ในวัยเด็ก พ่อแม่ของเธอแยกทางกันและแจคกี้ถูกทิ้งให้เติบโตมากับยายของเธอ แจคกี้ได้พบกับวอร์ฮอล์ตอนอายุเพียง 16 ปี และเริ่มต้นอาชีพในฐานะนักแสดงเมื่ออายุ 17 ปี นอกจากเป็นนักแสดงและแดรกควีนแล้ว เธอยังเขียนบทละคร ร้องเพลง อีกทั้งยังเป็นนักกวีอีกด้วย ในตลอดการทำอาชีพนักแสดงของเธอ แจคกี้สามารถแสดงเป็นได้ทั้งชายและหญิง บางครั้งเธอมักจะรับเอาคาแรคเตอร์ของ James Dean มาใส่ในการแสดง แจคกี้จัดว่าเป็นศิลปินที่เก่ง มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอันโดดเด่น และมีพรสวรรค์ ถือเป็นเรื่องน่าเสียดายที่เธอต้องจบชีวิตลงในวัยเพียง 38 ปีจากการเสพเฮโรอีนเกินขนาด

    Jackie Curtis และ Candy Darling (1971)
    แจคกี้ถือว่าเป็นหนึ่งในบุคคลยุคแรกๆที่เป็น Gender Fluid เธอไม่เคยจำกัดความว่าตัวเธอเป็นเพศใดเพศหนึ่ง และเธอยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับหลายคนรอบตัว เช่น ฮอล์ลี่ วูดลอว์น และโจ ดัลเลแซนโดร รวมไปถึงเดวิด โบวี่ ว่ากันว่าสไตล์การแต่งแดรกของเธอนั้นเป็นต้นแบบให้กับการแต่งกายแบบ Glam Rock ในยุค 70 
    Jackie Curtis (1970)

    Walk on the Wild Side ทำให้เราได้รับรู้เรื่องราวชีวิตของซูเปอร์สตาร์ใน The Factory ที่เป็นบุคคลสำคัญของวงการ LGBT อีกทั้งยังทำให้เราได้รู้ว่าวัฒนธรรมของชาว LGBT นั้นหยั่งรากลึกอยู่ในวงการบันเทิงรวมไปถึงวงการอื่นๆมาอย่างยาวนาน นับตั้งแต่ยุคที่เพศทางเลือกยังไม่เป็นที่ยอมรับ แต่ด้วยความกล้าหาญยืนหยัดในสิ่งตัวเองเป็นของพวกเขาที่เป็นแรงบันดาลใจให้คนรุ่นหลัง ซึ่งทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงมากมาย จนมาถึงยุคปัจจุบันที่ศิลปินสามารถเปิดเผยเพศสภาพของตัวเองได้อย่างเต็มภาคภูมิ


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in